มูจิ รีเทล (ประเทศไทย) ได้ก้าวเข้าสู่การเดินเกมรุกครั้งสำคัญด้วยการเปิดตัว “MUJI Central World Flagship Store” การเคลื่อนไหวนี้ไม่ได้เป็นเพียงการขยายสาขาเท่านั้น แต่คือการการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่เปรียบเสมือนการ “จุดพลุขนาดใหญ่” กลางกรุงเทพฯ เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ไปยังสาขาเล็ก ๆ และเมืองรองทั่วประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่ยังไม่รู้จักมูจิดีพอ
แฟล็กชิปสโตร์แห่งนี้ตั้งอยู่บนชั้น 4 ของศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และครองตำแหน่งสาขาที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ด้วยพื้นที่กว่า 3,700 ตารางเมตร แซงหน้าสาขาสิงคโปร์ที่เคยมีขนาด 2,800 ตารางเมตร และกลายเป็นสาขาที่ 40 ของมูจิในไทย
การเลือกทำเลใจกลางเมืองเช่นนี้ ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางที่โดดเด่นและดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ สะท้อนถึงกลยุทธ์ที่วางแผนมาอย่างตั้งใจ เพื่อใช้สาขานี้เป็น Global Hub และเครื่องมือสร้างอิมแพคของแบรนด์ในระดับประเทศ
กลยุทธ์สร้างการรับรู้ในวงกว้าง
แม้ว่า มูจิ ประเทศไทย จะมีการเติบโตที่น่าประทับใจ โดยมีตัวเลขยอดขายเพิ่มขึ้นมากกว่า 10% ในปีนี้ ซึ่งถือว่าดีกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก แต่ อกิฮิโร่ คาโมการิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มูจิ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวอย่างตรงไปตรงมาถึงความท้าทายเรื่องการรับรู้แบรนด์ในวงกว้างที่ยังคงเป็นโจทย์สำคัญ
“เรายอมรับว่าคนส่วนใหญ่ยังไม่มีความจดจำว่ามูจิขายอะไรกันแน่ แม้จะทราบว่าเป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์จากญี่ปุ่นที่ขายเครื่องใช้ในบ้าน” คุณคาโมการิกล่าว
การเปิดแฟล็กชิปสโตร์ขนาดใหญ่นี้จึงเป็นกลยุทธ์หลักในการสร้างอิมแพคหรือผลสะเทือนระดับประเทศเพื่อแก้โจทย์ในตลาดต่างจังหวัด โดยเฉพาะในภาคอีสานและเมืองรองที่ยอดขายลดลงเมื่อปีก่อน เนื่องจากลูกค้าเหล่านั้นยังไม่รู้จักมูจิดีพอ มูจิเชื่อว่าเมื่อคนรู้จักมากขึ้น ยอดขายก็จะเติบโตตามมาอย่างแน่นอน
“คนต่างจังหวัดไม่ได้มองว่าสินค้าเรามีราคาสูง แต่เขาไม่รู้ว่าเราขายอะไรต่างหาก เขารู้แค่ว่าเป็นแบรนด์ญี่ปุ่น”
คุณคาโมการิ อธิบายว่า เซ็นทรัลเวิลด์คือ “จุดหมายปลายทาง” ที่แท้จริงของทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ
“เราต้องการสถานที่ที่คนเดินผ่านทุกวัน ทั้งคนกรุงเทพฯ คนต่างจังหวัดที่มาเยือน และนักท่องเที่ยวทั่วโลก การเลือกที่นี่จึงเป็นกลยุทธ์ที่วางแผนมาอย่างรอบคอบ เพื่อสร้าง Brand Impact ระดับชาติ”
สาขาใหม่นี้จึงไม่ใช่แค่การขยายสาขา แต่เป็น “Global Hub” ที่มูจิต้องการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าไทยให้เทียบเท่าสาขาใหญ่ในญี่ปุ่น
ด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงเป็นการตอกย้ำว่าตลาดไทยคือ Growth Engine ของ มูจิ โดยร้านสาขานี้ครอบคลุมครบทุกไลน์สินค้าที่จำหน่ายในประเทศไทย โดยปัจจุบันสัดส่วนยอดขายสินค้าของ มูจิ ประเทศไทย แบ่งเป็น เครื่องแต่งกาย 49%, ของใช้ในบ้าน 47% และ อาหาร 4%
จุดเด่นที่แตกต่าง: ผสาน ‘ไทย-ญี่ปุ่น’ และบริการระดับโลก

แฟล็กชิปสโตร์แห่งนี้ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิดหลัก 3 ประการคือ ความเป็นธรรมชาติ ความเป็นอยู่ที่ดี และ ประสบการณ์ โดยมีรายละเอียดการออกแบบและบริการที่แตกต่างจากสาขาอื่นอย่างชัดเจน อาทิ
- ดีไซน์ที่ผสาน ‘ไทย-ญี่ปุ่น’: นี่เป็นครั้งแรกที่มูจิในไทยทำงานร่วมกับบริษัทออกแบบไทยอย่าง Interior Architects 49 ทำให้เกิดการผสมผสานไอเดียระหว่างความเป็นไทยกับความเป็นญี่ปุ่น ซึ่งสาขาอื่น ๆ ก่อนหน้านี้จะเน้นบรรยากาศแบบญี่ปุ่นเพียงอย่างเดียว
- การเลือกใช้วัสดุยั่งยืน: ภายในร้านมีการเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ไม้สักเก่าที่นำกลับมาใช้ใหม่ อิฐและผ้ารีไซเคิล และแม้กระทั่ง กากกาแฟที่นำกลับมาใช้ซ้ำ ตอกย้ำปณิธานด้านการส่งเสริมเรื่องความยั่งยืนของแบรนด์
- พื้นที่พิเศษ “Atelier MUJI”: พื้นที่สร้างสรรค์ที่ต่อยอดแนวคิดจาก MUJI Ginza ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเป็นเวทีแห่งแรงบันดาลใจ การเรียนรู้ และการเชื่อมต่อระหว่างศิลปะ การออกแบบ และวัฒนธรรมร่วมสมัยผ่าน ผ่านกิจกรรม นิทรรศการ และโครงการพิเศษที่จะจัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- บริการพิเศษเฉพาะสาขา: มูจิได้นำโมเดลจากญี่ปุ่นมาทดลองใช้ในไทยเป็นครั้งแรก ได้แก่ บริการ Beauty Advisor และ Styling Advisor เพื่อช่วยให้ลูกค้าทำความเข้าใจและเข้าถึงสินค้ากลุ่มเสื้อผ้าและสกินแคร์ ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มูจิต้องการเน้นเป็นตัวชูโรง
กลยุทธ์และโมเดลการพัฒนาสินค้า

“เรานำสินค้าที่ครบที่สุดเท่าที่เคยมีในประเทศไทยมารวมไว้ที่นี่” คุณคาโมการิกล่าว โดยเฉพาะกลุ่มที่มูจิต้องการให้คนไทยนึกถึงเป็นอันดับแรกเมื่อพูดถึงแบรนด์ นั่นคือ เสื้อยืดและเสื้อผ้า (ขายดีอันดับ 1 ในไทย) สกินแคร์ เครื่องหอม อาหารและขนม
นอกจากนี้ กลยุทธ์ที่โดดเด่นที่น่าสนใจคือ การพัฒนาสินค้าที่ขายเฉพาะในประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่ใช้โมเดลนี้ โดยมีสินค้าที่ทำขึ้นมาขายในไทยเท่านั้นถึง 102 รายการ (เช่น สกินแคร์, เครื่องหอม, อุปกรณ์สำนักงาน, เฟอร์นิเจอร์ Outdoor) และสินค้าอาหารอีก 74 รายการ ซึ่งมี 18 รายการใหม่ที่พัฒนาขึ้นเฉพาะสำหรับสาขาเซ็นทรัลเวิลด์
นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาสินค้าที่ขายเฉพาะในประเทศกลุ่มอาเซียน (ASEAN Merchandise) ประมาณ 362 รายการ โดยสินค้ากลุ่มนี้สามารถสร้างยอดขายได้มากถึง 18% ของยอดขายรวมในไทยทั้งหมด สะท้อนถึงความสำเร็จของการปรับตัวเข้ากับความต้องการของตลาดท้องถิ่น
แผนอนาคต: เปิดเพิ่ม 10 สาขา มุ่งเป้าเมืองรอง
สำหรับแผนการขยายธุรกิจในอนาคตนั้น มูจิมีแผนจะเปิดเพิ่มอีก 10 สาขา กลยุทธ์คือการมุ่งเน้นไปที่ เมืองรอง หลังจากที่ได้ครอบคลุมเมืองหลักทุกภูมิภาคแล้ว
ปัจจุบันสาขา MUJI ในต่างจังหวัดมีอยู่ที่ ชลบุรี นครสวรรค์ หาดใหญ่ ขอนแก่น อุดรธานี โคราช และ เชียงใหม่
ส่วนเป้าหมายยอดขายนั้น มูจิมั่นใจว่าการเปิดแฟล็กชิปสโตร์แห่งนี้จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่จะทำให้ยอดขายของมูจิ ประเทศไทย เติบโตอย่างต่อเนื่องในปีหน้า โดยเฉพาะเมื่อสาขานี้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าคนเมือง วัยรุ่น ผู้ชายและกลุ่มนักท่องเที่ยว ซึ่งมีสัดส่วนลูกค้าชาวต่างชาติในกรุงเทพฯ ประมาณ 20% และมียอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อบิลอยู่ที่ประมาณ 600 กว่าบาท
สำหรับความท้าทายหลักสำหรับธุรกิจในปีหน้าคือการทำอย่างไรให้สาขาต่าง ๆ ยังคงมีความเป็น “ความใหม่” (Newness) อยู่ตลอดเวลา เพื่อรักษายอดทราฟฟิกหลังจากการเปิดตัวช่วงแรก
10 ปีขยายจาก 5 เป็น 40 สาขา
คุณคาโมการิ อยู่เมืองไทยมา 10 ปีเต็ม วันที่เขามาใหม่ ๆ มูจิมีแค่ 5-6 สาขา วันนี้มี 40 สาขา ครอบคลุมทุกภูมิภาค
“ผมภูมิใจมากที่ได้เห็นการเติบโตแบบนี้ และแฟลกชิปสโตร์แห่งนี้คือก้าวที่สำคัญที่สุดในรอบ 10 ปีของผม” เขากล่าวทิ้งท้าย
เขาเชื่อมั่นว่า การรับรู้แบรนด์ในประเทศไทยดีขึ้นเรื่อย ๆ ประกอบกับการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยบวกสำคัญที่ส่งเสริมให้เศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้น และสนับสนุนให้มูจิ ประเทศไทย ซึ่งเป็น Growth Engine ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
เอปสัน มุ่งพันธกิจเพื่อโลกยั่งยืน เล็งขยายอายุใช้งานสินค้านานขึ้น ไม่กระทบแผนออกโปรดักส์รุ่นใหม่
หนี้ลดภาพลวงตา SCB EIC ชี้วิกฤติ ‘คนหมดแรงกู้’ ลามชนชั้นกลาง
เจาะลึก Lemon8 ผนึก TikTok: ปั้นพลัง ‘รีวิวจริงใจ’ สู่ Global Platform




