Share on
×

Share

AI สร้างภาพ: ใครคือเจ้าของลิขสิทธิ์? กฎหมายยุคดิจิทัลที่ศิลปินต้องรู้

AI สร้างภาพ: ใครคือเจ้าของลิขสิทธิ์? กฎหมายยุคดิจิทัลที่ศิลปินต้องรู้

การมาถึงของ Generative AI ได้สร้างแรงสะเทือนไปทั่วทุกวงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ศิลปินและนักสร้างสรรค์ ที่จากเดิมต้องใช้เวลาแรมปีฝึกฝนฝีมือ บัดนี้กลับถูกท้าทายด้วยเทคโนโลยีที่สามารถสร้างสรรค์ผลงานได้ในเวลาไม่กี่วินาที ปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดความกังวลเรื่องการจ้างงาน แต่ยังจุดประกายคำถามสำคัญที่ยังคงไร้คำตอบที่ชัดเจนในสังคมไทยว่าผลงานที่สร้างโดย AI นั้น ใครคือเจ้าของลิขสิทธิ์ที่แท้จริง?

เวทีเสวนาในงาน Community Meetup ของกลุ่ม AI เพื่อธุรกิจและสังคม ในหัวข้อลิขสิทธิ์ยุค AI ซึ่งดำเนินรายการโดย ปัญจพัฒน์ เกรียงวีระยุทธ เจ้าของเพจ Realtify_ai ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญสองท่านมาร่วมถอดรหัสปัญหานี้ คือ ผศ.ดร.สมชาย รัตนชื่อสกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายธุรกิจแฟรนไชส์และมีผลงานด้านกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา และ ศานติ ชาติวชิรกุล ซีอีโอแห่ง LM Studio เพื่อให้ความกระจ่างแก่นักสร้างสรรค์และผู้ใช้งาน AI ทุกคน

เสียงสะท้อนจากนักวาด: จาก “ภาวะตื่นตระหนก” สู่การปรับตัว

คุณศานติ กล่าวว่า การมาของ AI ในช่วงแรกสร้างภาวะตื่นตระหนก (Panic) ถึงขั้นที่ศิลปินจำนวนมากประกาศสงครามและต่อต้านอย่างรุนแรง เพราะรู้สึกว่าทักษะและจิตวิญญาณที่สั่งสมมานานปีถูกลดทอนคุณค่าลงด้วยผลงานที่สร้างขึ้นอย่างรวดเร็วและสวยงามโดย AI

“เราวาดรูปกัน 5 ปี 10 ปี แต่อยู่ ๆ AI ก็สร้างผลงานที่สวยและดีออกมาได้ในไม่กี่วินาที มันทำให้ศิลปินรู้สึกเหมือนแตกสลาย” คุณศานติ กล่าว

อย่างไรก็ตาม เมื่อคลื่นแห่งเทคโนโลยีถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง การต่อต้านเพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช่ทางออก ศิลปินหลายคนเริ่มปรับตัวและมองหาหนทางในการอยู่ร่วมกับ AI ผ่านหลากหลายแนวทาง ศิลปินบางกลุ่มเลือกใช้ AI เป็นผู้ช่วยหาไอเดีย แม้จะไม่ใช้ในการสร้างภาพโดยตรง แต่ก็ยังใช้เครื่องมืออย่าง ChatGPT หรือ Gemini เพื่อช่วยระดมความคิดและหาข้อมูลสำหรับงานลูกค้า 

ในขณะที่ศิลปินซึ่งเปิดรับมากขึ้น จะใช้ AI เป็นแบบร่าง (Draft) โดยสร้างภาพขึ้นมาเป็นต้นแบบ หรือเป็น Reference เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของไอเดีย แล้วจึงนำไปต่อยอดวาดขึ้นใหม่ด้วยสไตล์และฝีมือของตนเอง

“หัวใจสำคัญคือการนำมาประยุกต์ใช้เป็นไอเดีย แต่ไม่ได้นำภาพนั้นมาแปะใช้โดยตรง” คุณศานติ เน้นย้ำถึงแนวทางการปรับตัวของนักสร้างสรรค์ในปัจจุบัน

เบื้องหลังการทำงานของ AI และที่มาของข้อมูล

ผศ.ดร.สมชาย อธิบายกระบวนการเรียนรู้ของ AI ได้อย่างเห็นภาพว่า “ถ้า AI จะเก่งได้ มันต้องกินอาหารดี ๆ และกินอาหารเยอะ ๆ” อาหารของ AI ก็คือข้อมูลมหาศาลที่อยู่บนโลกอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นข้อความ รูปภาพ หรืองานศิลปะต่าง ๆ

AI ไม่ได้ “จำ” ภาพต้นฉบับทั้งหมด แต่เรียนรู้ “ลักษณะเด่น” หรือ “เอกลักษณ์” ของสิ่งต่าง ๆ เช่นเดียวกับที่มนุษย์เห็นกระต่ายมานับร้อยตัวจนสามารถวาดภาพกระต่ายขึ้นมาใหม่ได้โดยจำไม่ได้ว่ามาจากต้นแบบตัวไหน AI ก็เรียนรู้ในลักษณะเดียวกัน มันจึงสามารถสร้างภาพในสไตล์ของแวนโก๊ะได้ เพราะได้เรียนรู้จากผลงานของแวนโก๊ะมาเป็นจำนวนมาก

ปัญหาสำคัญทางกฎหมายจึงเกิดขึ้นตรง “อาหาร” ที่ AI นำไปใช้เทรนนั้น ส่วนใหญ่เป็นงานที่มีลิขสิทธิ์ของผู้อื่น และถูกนำไปใช้โดยไม่เคยขออนุญาตเจ้าของผลงานเลย

ผศ.ดร.สมชาย ให้หลักคิดที่สำคัญว่า “อะไรก็ตามที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่ามีลิขสิทธิ์” การนำไปใช้โดยพลการจึงมีความเสี่ยงเสมอ

สมรภูมิกฎหมาย: Input และ Output ของ AI

ประเด็นทางลิขสิทธิ์ของ AI แบ่งได้เป็น 2 ส่วนหลัก คือ การนำข้อมูลเข้าไปเทรน (Input) และการสร้างผลงานออกมา (Output)

1. การนำข้อมูลเข้า (Input): ทำได้หรือไม่?

กรณีศึกษาล่าสุดจากศาลสหรัฐฯ ในคดีที่บริษัท Anthropic (ผู้สร้าง Claude AI) ถูกฟ้องร้องจากการนำข้อมูลลิขสิทธิ์ไปเทรน AI ศาลได้วางบรรทัดฐานที่น่าสนใจไว้ว่า การนำข้อมูลที่ได้มาอย่างถูกกฎหมาย เช่น การซื้อหนังสือมาสแกนเพื่อเทรน ถือเป็นการใช้งานโดยเป็นธรรม (Fair Use) และไม่ผิดกฎหมาย แต่ในทางกลับกัน การนำข้อมูลจากแหล่งผิดกฎหมาย เช่น เว็บไซต์เถื่อน มาใช้ ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ทันที ตั้งแต่ขั้นตอนการคัดลอก (Copy) แม้จะยังไม่ได้นำข้อมูลนั้นไปใช้เทรนจริงก็ตาม คดีนี้ทำให้เห็นว่าแหล่งที่มาของข้อมูลที่ใช้เทรน AI มีความสำคัญอย่างยิ่งในทางกฎหมาย

2. ผลงานที่ออกมา (Output): ใครคือเจ้าของลิขสิทธิ์?

นี่คือคำถามที่ทั่วโลกกำลังหาคำตอบ และแนวทางการตัดสินก็แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ สำหรับแนวทางของสหรัฐอเมริกานั้นจะไม่ให้ลิขสิทธิ์แก่ผลงานที่สร้างโดย AI ล้วน ๆ โดยให้เหตุผลว่าผู้ใช้งานเป็นเพียงคน “สั่ง” ผ่าน Prompt แต่ไม่สามารถควบคุมผลลัพธ์สุดท้ายได้ทั้งหมด หากมนุษย์นำภาพจาก AI ไปแก้ไขดัดแปลงเพิ่มเติม จะให้ลิขสิทธิ์เฉพาะ “ส่วนที่มนุษย์ทำเพิ่ม” เท่านั้น 

ในทางตรงกันข้าม แนวทางของจีนและยุโรปจะมองที่ “สัดส่วน” การทำงานของมนุษย์ โดยศาลจีนเคยตัดสินให้ลิขสิทธิ์แก่ภาพที่สร้างโดย AI เพราะพิจารณาว่าผู้สร้างได้ใช้ Prompt นับร้อยคำสั่งและมีการปรับแก้อย่างต่อเนื่อง จนถือได้ว่าผลงานนั้นเกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์เป็นสำคัญ 

ส่วนแนวโน้มของประเทศไทย ผศ.ดร.สมชาย คาดการณ์ว่าน่าจะเดินตามแนวทางของจีน คือพิจารณาจากภาพรวมว่ามนุษย์มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์มากน้อยเพียงใด มากกว่าจะแยกส่วนอย่างเข้มงวดแบบสหรัฐฯ

กรณีศึกษา: จากสไตล์งานศิลป์ถึงเสื้อสกรีน

เพื่อความชัดเจน ผศ.ดร.สมชาย ได้ยกตัวอย่างกรณีที่เกิดขึ้นจริง เริ่มจากประเด็นการสร้างงานลอกเลียน “สไตล์” ซึ่งไม่ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ เนื่องจากกฎหมายคุ้มครอง “การแสดงออก” (Expression) แต่ไม่คุ้มครอง “แนวคิด” หรือ “สไตล์” (Style/Idea) ดังนั้น เราสามารถสร้างภาพสไตล์ศิลปินชื่อดังได้ ตราบใดที่ผลงานนั้นไม่ได้เหมือนกับภาพต้นฉบับ

อีกกรณีศึกษาหนึ่งที่ใกล้ตัวผู้คนมากขึ้นคือ กรณีอินฟลูเอนเซอร์ทำเสื้อสกรีน ซึ่งมีการนำภาพของบุคคลมีชื่อเสียงจากอินเทอร์เน็ตมาแปลงเป็นภาพสไตล์เกม GTA แล้วนำไปสกรีนเสื้อขาย กรณีนี้มีความซับซ้อนทางกฎหมาย โดยต้องย้อนกลับไปดูว่าภาพต้นฉบับที่นำมาใช้นั้นเป็นของผู้ใดและมีลิขสิทธิ์หรือไม่ หากภาพต้นฉบับมีลิขสิทธิ์ การนำภาพนั้นมาดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ตั้งแต่ต้น ดังนั้น ภาพที่ AI สร้างขึ้นมาใหม่ก็จะกลายเป็นงานที่ไม่มีลิขสิทธิ์คุ้มครองไปด้วย เพราะมันเกิดจากการละเมิดงานอื่นมาอีกทอดหนึ่ง

บทสรุปจากกรณีศึกษานี้คือ กุญแจสำคัญอยู่ที่ความชอบธรรมของภาพต้นทาง หากเรานำภาพที่ไม่มีสิทธิ์มาใช้ ผลงานที่สร้างต่อยอดออกมาก็จะไม่ได้รับการคุ้มครองเช่นกัน

ท้ายที่สุด แม้กฎหมายไทยจะยังไม่มีคำตัดสินที่ชัดเจนในเรื่องนี้ แต่แนวทางที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับศิลปินและนักสร้างสรรค์คือ การใช้ AI เป็นเพียงเครื่องมือหรือผู้ช่วยในกระบวนการทำงาน และให้แน่ใจว่าผลงานขั้นสุดท้ายได้ผ่านการสร้างสรรค์ ดัดแปลง และลงแรงด้วยสติปัญญาของมนุษย์อย่างมีนัยสำคัญ เพื่อให้สามารถอ้างสิทธิ์ในผลงานนั้นได้อย่างเต็มภาคภูมิในโลกยุคใหม่ที่เส้นแบ่งระหว่างมนุษย์และเครื่องจักรกำลังพร่าเลือนลงทุกขณะ

ไม่ใช่แค่ Chatbot: TANSK AI พลิกโฉม R&D สู่การสร้างสิทธิบัตร

AI เพื่อนรัก…หรือภัยเงียบ? เจาะลึกความสัมพันธ์มนุษย์-ปัญญาประดิษฐ์ ผ่านมุมมองจิตแพทย์

DATA FARM: ปฏิวัติเกษตรไทยด้วยข้อมูล

×

Share

ผู้เขียน