ในสมรภูมิข้อมูลข่าวสารที่ท่วมท้นยุคปัจจุบัน “Fake News” (ข่าวปลอม) อาจเป็นเพียงส่วนยอดของภูเขาน้ำแข็ง แต่โครงสร้างของ “ข้อมูลลวง” นั้นซับซ้อนและอันตรายกว่าที่คิด นี่คือประเด็นสำคัญจากเวทีอบรมเชิงปฎิบัติการความปลอดภัยดิจิทัลและการตรวจสอบข่าวลวงสำหรับผู้สื่อข่าวหญิง #FactFreeFair Workshop for Women Journalists/Fact checkers in Thailand 2025
กุลธิดา สามะพุทธิ กองบรรณาธิการ โคแฟค (Cofact) ประเทศไทย ในฐานะวิทยากรในหัวข้อ “ทำความเข้าใจกับบริบท องค์ประกอบและประเภทต่าง ๆ ของข้อมูลลวงหรือบิดเบือน (Disinformation)” ได้ชำแหละให้เห็นภูมิทัศน์ของข้อมูลเท็จที่ไม่ได้มีแค่ “จริง” หรือ “ปลอม” แต่แตกแขนงออกไปหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ Deepfakes, เนื้อหาที่สร้างโดย AI ไปจนถึงเรื่องเล่าที่ถูกบิดเบือน
คำถามสำคัญที่สะท้อนหัวใจของงานว่า “การเป็นนักข่าวกับการเป็น Fact Checker มันต่างกันยังไง?
คำตอบของคำถามนี้ ถูกคลี่คลายผ่านการอธิบาย “3 ก้อนหลัก” ของข้อมูลลวง (False Information) ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้สื่อข่าวต้องแยกแยะให้ชัดเจน
- Misinformation (ข้อมูลผิด): คือข้อมูลที่ผิด แต่ผู้เผยแพร่ “เชื่อว่าจริง” และส่งต่อโดย “ไม่มีเจตนาร้าย” ตัวอย่างคลาสสิกคือ ข้อมูลสุขภาพที่แชร์ต่อกันใน LINE กลุ่มครอบครัว
- Disinformation (ข้อมูลเท็จ): คือข้อมูลที่ “เท็จ” และผู้สร้างรู้อยู่แก่ใจว่าเท็จ โดยมี “เจตนาร้าย” ชัดเจน เพื่อมุ่งสร้างความเสียหายต่อบุคคลหรือองค์กร
- Malinformation (ข้อมูลจริงที่มุ่งร้าย): คือ “ข้อมูลจริง” แต่ถูกนำมาเผยแพร่โดยมี “เจตนาร้าย” เช่น การปล่อยแชทส่วนตัวเพื่อทำลายชื่อเสียง หรือการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
ในบรรดา 3 ก้อนนี้ คุณกุลธิดาชี้ว่า Cofact และทีม Fact Checker ทั่วโลก ให้ความสำคัญกับการรับมือ Disinformation มากที่สุด เพราะมีเจตนาในการทำลายล้างสูง
ชำแหละ 7 ประเภทของ Disinformation: อาวุธที่ซ่อนในชีวิตประจำวัน
ประเด็นที่แหลมคมที่สุดในเซสชันนี้ คือการ “ชำแหละ” ว่า Disinformation ไม่ได้มีแค่การ “กุเรื่อง” แต่แตกแขนงออกเป็น 7 ประเภทย่อย ที่ซ่อนเร้นอยู่ในหน้าฟีดของเรา
1. Satire and Parody (การเสียดสีขบขัน)
เป็นการล้อเลียน ไม่ได้ตั้งใจก่ออันตราย แต่ปัญหาคือ “คนหลงเชื่อว่าเป็นจริง”
ตัวอย่าง: “เรื่อง Thank you three times” หรือการอ่าน “คอนกรีต” เป็น “คอ-นก-รีต” ของอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งกุลธิดาชี้ว่า “ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าเขาพูดจริง ๆ” แต่เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี เรื่องล้อเล่นเหล่านี้กลับถูกส่งต่อจนคนคิดว่าเป็นเรื่องจริง
2. False Connection (จับแพะชนแกะ)
การใช้พาดหัว ภาพ หรือคำบรรยาย ที่ “ไม่ตรงกับเนื้อหา” ทำให้เกิดความเข้าใจผิดไปคนละทิศละทาง
3. Misleading Content (ข้อมูลชี้นำ)
การใช้ข้อมูลเพื่อ “จงใจชี้แนะให้เข้าใจผิด”
ตัวอย่าง: กรณีภาพผู้หญิงสูบบุหรี่ไฟฟ้าในรัฐสภา ที่ถูกนำมาโพสต์ชี้นำในตอนแรกว่า “หน้าคล้าย ส.ส. พรรคส้ม” หรือระบุว่าเป็น ส.ส. ไอซ์ รัชนก ศรีนอก ทั้งที่ไม่ใช่บุคคลเดียวกัน
4. False Context (บิดเบือนบริบท)
นี่คือ “ข้อมูลจริง” หรือ “ภาพจริง” แต่ถูกนำไปใช้ใน “บริบทที่ผิด”
ตัวอย่าง: คลิปงานครบรอบ 76 ปีของพรรคประชาธิปัตย์ ถูกกลุ่มเกลียดชังมุสลิมนำไป “ตัดต่อสั้น ๆ” เฉพาะช่วงพิธีของศาสนาอิสลาม แล้วอ้างว่า “จัดงานมีเฉพาะศาสนาอิสลามเต็มรูปแบบ” เพื่อสร้างความเข้าใจผิดว่าพรรคไม่สนใจศาสนาพุทธ ทั้งที่ในคลิปเต็มมีพิธีครบทุกศาสนา
5. Imposter Content (แอบอ้างตัวตน)
การสวมรอยเป็นบุคคลหรือองค์กรอื่นเพื่อหลอกลวง
ตัวอย่าง: เพจ Facebook ปลอมที่ใช้ชื่อและภาพของ ปารีณา ไกรคุปต์ จัดทำโพล หรือเพจที่ใช้โลโก้ “ประกันสังคม” ประกาศรับสมัครงานแม่บ้าน
6. Manipulated Content (ตัดต่อดัดแปลง)
การนำภาพนิ่งหรือวิดีโอ “จริง” มา “ตัดต่อหรือตกแต่ง” เพื่อสร้างเรื่องเท็จใหม่
ตัวอย่าง: ภาพไวรัล “ทิม พิธา” ถือหนังสือชีวประวัติของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งภาพจริงคือถือหนังสือ “มาเหนือเมฆ” แต่ถูกมือดีตัดต่อเป็นภาพเอาหนังสือของคุณประยุทธ์ไป “รองขาโต๊ะ”
7. Fabricated Content (กุเรื่องใหม่ทั้งหมด)
“เท็จล้วน ๆ 100%” สร้างเรื่องใหม่ทั้งหมด
ตัวอย่าง: การสร้างหน้าเว็บไซต์เลียนแบบ “ไทยรัฐมันนี่” (Thairath Money) พร้อมกุเรื่องว่า “ธนาคารแห่งประเทศไทยกำลังดำเนินคดีกับเศรษฐา ทวีสิน” โดยใช้ภาพตัดมาจากคลิปสัมภาษณ์ของเพจ “อีจัน”
นักข่าว vs Fact Checker: เส้นแบ่งที่ชัดเจน
คุณกุลธิดากลับมาที่คำถามตั้งต้นของเธอ พร้อมให้คำตอบที่ชัดเจนว่า “หัวใจของงานคือการตรวจสอบความถูกต้องเหมือนกัน” แต่มีความแตกต่างที่สำคัญคือ
- ผู้สื่อข่าว (Reporter) เน้น “การรายงานคำพูด” ให้ถูกต้องตรงตามที่บุคคลในข่าวพูด (เช่น นาย A พูดว่า “X”)
- นักตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact Checker) เน้น “การตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหา” ที่บุคคลนั้นพูด (เช่น สิ่งที่นาย A พูดว่า “X” นั้น จริงหรือไม่?)
เธอยกตัวอย่างการทำงานของ Fact Checker ที่ต้องลงลึกกว่าการรายงานข่าวทั่วไป โดยยกตัวอย่างการตรวจสอบคำกล่าวของนักการเมือง 2 กรณี ได้แก่ กรณีคำปราศรัยของ ทักษิณ ชินวัตร ที่ว่า “ผมกลับมาประเทศไทยมีเงินเดือน 700 บาท ค่าเบี้ยคนชรา” และกรณีคำอภิปรายในสภาของ อนุทิน ชาญวีรกูล ที่อ้างว่าตน “เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุด” และกล่าวว่ารัฐบาลชุดที่แล้ว “เอาฟอกไตฟรีทั้งหมดออกไปเป็นฟอกไตฟรีบางส่วน”
การตรวจสอบ: Cofact เลือกตรวจสอบประเด็น “ฟอกไต” เพราะเห็นว่ากระทบประโยชน์สาธารณะ โดยสัมภาษณ์เลขาธิการ สปสช. ซึ่งยืนยันว่า สปสช. ไม่เคยเอาการฟอกไตฟรีทั้งหมดออกไป เหลือเฉพาะฟอกไตฟรีบางส่วน ตามที่นายกฯ กล่าว
นอกจากนี้ โคแฟคยังได้สืบค้นความเป็นมาและการปรับเปลี่ยนสิทธิการฟอกไตในระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า พบว่าแม้จะมีการปรับเปลี่ยนนโยบายที่อาจทำให้ผู้ป่วยต้องจ่ายค่ารักษาเองหากยืนยันจะฟอกไตด้วยวิธีฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียมแทนการล้างไตทางหน้าท้อง แต่การปรับเปลียนนี้ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการ “เอาฟอกไตฟรีทั้งหมดออกไป เหลือฟอกไตฟรีบางส่วน” ตามที่นายอนุทินระบุ
อ่านรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ได้ ที่นี่
ภาคปฏิบัติ: เมื่อ “Google Lens” คืออาวุธในห้องข่าว
ในช่วงท้าย คุณบัญชา จันทร์สมบูรณ์ Fact Checker กองบรรณาธิการ Cofact ได้สาธิตแนวทางและวิธีการตรวจสอบข้อมูลจริง โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์ตึงเครียดไทย-กัมพูชา ที่ข้อมูลเท็จถูกใช้เป็นอาวุธปลุกปั่นอย่างหนัก โดยแสดงให้เห็นว่าเครื่องมือง่ายๆ อย่าง Google Lens สามารถหักล้างข้อมูลเท็จได้อย่างไร
กรณีคลิปขนจรวด (PHL03): โซเชียลไทยแชร์คลิปอ้าง “กัมพูชาขนอาวุธหนักมาประชิดชายแดน”
วิธีตรวจ: ใช้ Google Lens ส่องภาพจากคลิป
ผลลัพธ์: พบต้นตอคลิปจาก TikTok ที่โพสต์ตั้งแต่ 19 มกราคม 2567 (ปี 67) ซึ่งเป็น “คลิปเก่า” ไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบัน
กรณีคลิปน้ำท่วมกัมพูชา: โซเชียลไทยโพสต์คลิปน้ำท่วมหนักในกัมพูชาในเชิง “สมน้ำหน้า”
วิธีตรวจ: สังเกตโลโก้ “IZZI” บนรถตู้ในคลิป แล้วใช้ Google Lens ค้นหา
ผลลัพธ์: “IZZI” เป็นบริษัทโทรคมนาคมใน “เม็กซิโก” และคลิปนี้เป็นเหตุการณ์น้ำท่วมที่เม็กซิโก เมื่อมิถุนายน 2568 (ปี 68)
เสียงในหัว: “เช็กไปทำไม…ในเมื่อคนไม่สนความจริง“
ความท้าทายที่สุดของการเป็น Fact Checker ไม่ใช่แค่การมีข้อมูลเท็จมหาศาล หรือการถูก “ทัวร์ลง” (โจมตีทางโซเชียล) แต่คือ “เสียงในหัว” ที่กุลธิดายอมรับว่าเกิดขึ้นตลอดเวลา
“เช็กไปทำไม เธอเองก็รู้ว่าปลอม” “เราไม่ได้สู้กับแค่ข่าวลวง แต่เราสู้กับอคติ ความเกลียดชัง” “Fact check ไปมันก็ไม่ไวรัลเท่าข่าวลวง แล้วมันไม่เซ็กซี่” “คนรู้อยู่แล้วว่ามันไม่จริง แต่…มันปั่นหัวกัมพูชาดีอ่ะ เกลียดอ่ะ”
แม้จะมีความท้าทายเหล่านี้ แต่ทีม Cofact ยืนยันว่า “ยังไม่แพ้เสียงในหัว” เพราะพวกเขาเชื่อมั่นในภารกิจ 4 ข้อ:
- เพื่อใส่ข้อมูลที่ถูกต้องเข้าไปในระบบนิเวศ: แม้จะเป็นเพียงชิ้นเดียว เผื่อว่าใครจะผ่านมาเห็น
- เพื่อสร้างวัฒนธรรมความรับผิดชอบ: ให้บุคคลสาธารณะรู้ว่า “อย่ามามั่ว”
- เพื่อสร้างสังคมแห่งความจริง: แม้จะไม่เห็นด้วยหรือจะวิพากษ์วิจารณ์ ก็ขอให้อยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่เป็นจริง
- เพื่อไม่ปล่อยให้ความเท็จลอยนวล: “แม้ว่าความเท็จนั้นจะมาจากคนที่เราชอบ หรือแม้ว่าความจริงนั้นมันจะไม่ถูกใจเลยก็ตาม”
และแม้จะมีคำถามว่า “ถ้าแฟ็กเช็กออกมาแต่มันช้าไปแล้ว ลุกลามไปแล้วจะทำยังไง?” กุลธิดาตอบอย่างชัดเจนว่า แม้ Fact Check จะรวดเร็วปานสายฟ้าฟาดไม่ได้ แต่ “ข้อมูลเท็จมันอยู่ยาว”
“ในเมื่อมันยังไม่หายไป มันไม่มีวันสายไปที่เราจะเอาข้อมูลจริงนั้นไปใส่ไว้ในระบบ เผื่อใครจะผ่านมาเห็น”
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
‘AI สองขั้ว’ สร้างความเหลื่อมล้ำ AIS กางภารกิจ ‘คิดเผื่อ’ สู้กับดัก ‘ความกลัว’
PDPA – พ.ร.บ.คอมฯ : กฎหมายหรืออาวุธฟ้องปิดปากสื่อ?




