Share on
×

Share

Lifestyle Medicine: ศาสตร์ 6 เสาหลัก พลิกโรคเรื้อรังด้วย ‘วินัย’ ไม่ใช่ ‘ทางลัด’

Lifestyle Medicine: ศาสตร์ 6 เสาหลัก พลิกโรคเรื้อรังด้วย 'วินัย' ไม่ใช่ 'ทางลัด'

ชำแหละมายาคติ Longevity ไม่ใช่ทางลัดกินอาหารเสริม-ฟอกเลือด: วงเสวนาชี้คนไทยไล่ตาม Biohacker แต่รากฐานพัง แนะกลับสู่พื้นฐาน Healthspan เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี

กระแสการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันและการมีอายุยืนยาว (Longevity) กำลังเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวาง แต่ดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่กำลังเข้าใจผิด หลงทางไปกับการแสวงหาทางลัด ไม่ว่าจะเป็นอาหารเสริมราคาแพง การฉีดสารต่าง ๆ หรือนวัตกรรมที่ยังไม่มีผลวิจัยรองรับชัดเจน โดยละเลยพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของชีวิต

วงเสวนา “The Power of Longevity” ภายในงาน Bitkub Summit 2025 ซึ่งประกอบด้วย พญ.วรรณวิพุธ สรรพสิทธิ์วงศ์, นพ.ธนีย์ ธนียวัน, พญ.สุวรรณี ศิริวิมลานันท์, พงศ์พรหม ยามะรัต และ จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ได้ร่วมกันชี้ประเด็นสำคัญว่า แก่นแท้ของเรื่องนี้ไม่ใช่แค่การมีอายุขัย (Lifespan) ที่ยืนยาว แต่คือการมีคุณภาพชีวิตที่ดี (Healthspan) ตลอดช่วงอายุนั้น

พญ.วรรณวิพุธ สรรพสิทธิ์วงศ์ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์ป้องกัน (Preventive Medicine Specialist) และสุขภาพองค์รวม ชี้ให้เห็นถึง Longevity Pyramid ว่า ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือการที่ผู้คนกระโดดไปสู่ยอดพีระมิดของนวัตกรรม หรือสิ่งที่เรียกว่า Biohacker โดยหวังผลการย้อนวัยเซลล์ โดยที่พีระมิดขั้นพื้นฐานที่ 1 คือการรู้จักตัวเอง และขั้นที่ 2 คือ 6 เสาหลักของวิถีชีวิต (การนอน การกิน การออกกำลังกาย การจัดการความเครียด การเลี่ยงสารพิษ และการมีสัมพันธ์ที่ดี) ยังไม่แข็งแรง

Biohacking อาจให้ผลแค่ 20% แต่ “วินัยพื้นฐาน” คือ 80% ของสุขภาพที่ดี

จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา แห่ง Bitkub
จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา แห่ง Bitkub

ในยุคที่นวัตกรรมสุขภาพและการ “Biohacking” หรือ การแฮ็กร่างกาย ที่กำลังเป็นที่นิยม หลายคนอาจทุ่มเงินไปกับเทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อหวังผลทางลัด แต่ จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา แห่ง Bitkub ผู้ซึ่งนิยามตัวเองว่าเป็นสาย Biohacker ตัวยง ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจ

แม้ว่าคุณจิรายุสจะทดลองนวัตกรรมมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสเต็มเซลล์ คีเลชั่น (Chelation) หรือโอโซนบำบัด เขากลับยืนยันว่า เทคโนโลยีเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งที่ดูหรูหราทันสมัย (Fancy Stuff) ที่ส่งผลต่อสุขภาพของเขาเพียง 20% เท่านั้น

ในทางกลับกัน เขาย้ำว่าผลลัพธ์ที่แท้จริงอีก 80% กลับมาจากสิ่งที่ “ไม่ต้องเสียเงิน แต่ต้องมีวินัย” นั่นคือปัจจัยพื้นฐานที่ทุกคนมองข้าม ได้แก่ การนอนหลับให้เพียงพอ การเลือกกินอาหารที่ดี (Whole Food) และการมีสังคม หรือคอมมูนิตี้ที่ดี ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดของสุขภาพ

แนวคิดนี้สอดคล้องอย่างยิ่งกับคำเตือนจากฝ่ายการแพทย์ โดย นพ.ธนีย์ ธนียวัน อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคปอดฯ ประจำสหรัฐอเมริกา ได้ชี้ให้เห็นถึงอันตรายของ “ทางลัด” สุขภาพที่หลายคนกำลังใฝ่หา

นพ.ธนีย์ ได้ยกตัวอย่าง การทำพลาสมาฟีรีซิส (Plasmapheresis) หรือการฟอกเลือด ซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังได้รับความสนใจ โดยอธิบายว่า แม้เทคนิคเหล่านี้จะมีจุดเริ่มต้นมาจากแง่มุมทางวิทยาศาสตร์ แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นการทดลองในระดับเซลล์หรือในสัตว์ทดลองเท่านั้น

ปัญหาคือ นวัตกรรมเหล่านี้มักถูกเร่งนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์อย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะมีการพิสูจน์ผลลัพธ์และความปลอดภัยในมนุษย์อย่างชัดเจน การ “ลอง” โดยที่ยังไม่มีหลักฐานรองรับเพียงพอ จึงอาจนำไปสู่ผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายร้ายแรงได้ เช่น ภาวะเลือดออกง่าย, ระดับเกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ หรืออาจรุนแรงถึงขั้นทำให้ร่างกายเกิดภาวะช็อกได้

นิยามใหม่ของสุขภาพ: ทำไม “Healthspan” จึงสำคัญกว่า “Lifespan”

ในแวดวงสุขภาพปัจจุบัน มีการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ครั้งสำคัญ นั่นคือการเปลี่ยนจุดโฟกัสจาก Lifespan อายุขัย ซึ่งหมายถึงการมีชีวิตที่ยืนยาวที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะ 100 ปี หรือ 120 ปี ไปสู่ Healthspan หรือช่วงชีวิตที่มีสุขภาพดีซึ่งเน้นการมีชีวิตที่ยืนยาวอย่างมีคุณภาพ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บเรื้อรัง และไม่เป็นผู้ป่วยติดเตียง

พญ.วรรณวิพุธชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลถึงขั้นที่วงการวิทยาศาสตร์เริ่มหันมาใช้คำศัพท์เฉพาะทางมากขึ้น เช่น Healthspan Science หรือ Geroscience (วิทยาศาสตร์ว่าด้วยความชรา) เพื่อหลีกหนีจากความเข้าใจผิดเดิม ๆ ที่ว่า Longevity หรือ การมีอายุยืน คือการแสวงหาทางลัดหรือนวัตกรรมพิเศษเพื่อยืดชีวิตเพียงอย่างเดียว

มุมมองนี้สะท้อนชัดเจนผ่านประสบการณ์ของ พงศ์พรหมยามะรัต ผู้บริหารจาก VERV Wellness และนักการเมือง ซึ่งปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตครั้งใหญ่หลังเผชิญอาการป่วยหนักในวัย 35 ปี

คุณพงศ์พรหม กล่าวว่า เป้าหมายของเขาในวันนี้ไม่ใช่การอยู่ให้ถึง 100 ปี แต่คือการวางแผนให้ 5-10 ปีสุดท้ายของชีวิต เป็นช่วงเวลาที่มีคุณภาพที่สุด สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ไม่เป็นภาระของคนอื่น และอยู่ห่างไกลจากความเสี่ยงที่จะต้องเป็นผู้ป่วยติดเตียงให้มากที่สุด

เขาย้ำว่า สิ่งที่จะนำไปสู่เป้าหมาย Healthspan นี้ได้ ไม่ใช่สิ่งที่ต้องใช้เทคโนโลยีราคาแพง แต่อย่างใด แต่คือผลลัพธ์ที่มาจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมพื้นฐานในชีวิตประจำวันเท่านั้น

ความเครียดและความเชื่อผิด ๆ: ภัยเงียบที่คนมองข้าม

ความเครียดแฝง ภัยร้ายที่ร่างกายไม่ได้บอก อุปสรรคสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่ทำให้สุขภาพของผู้คนพังลงโดยไม่รู้ตัวก็คือ “ความเครียด”

พญ.สุวรรณี ศิริวิมลานันท์ แพทย์เวชศาสตร์ป้องกันแห่ง TRIA ได้ชี้ให้เห็นประเด็นที่น่าสนใจว่า คนส่วนใหญ่เมื่อถูกถาม มักจะตอบทันทีว่า “ไม่เครียด” แต่เมื่อซักถามลงลึกถึงวิถีชีวิต (Lifestyle) กลับพบว่า กิจวัตรประจำวันของพวกเขาเต็มไปด้วย “ความเครียดแฝง” อยู่เต็มไปหมด

ปัญหาที่ร้ายแรงที่สุดคือ ร่างกายของเราแยกไม่ออก ระหว่าง ความเครียดทางจิตใจ (เช่น ความกังวลเรื่องงาน หรือภาวะรถติด) กับ ความเครียดทางร่างกาย (Physical Stress)

“การไม่กินข้าวเช้า การนอนดึกเป็นประจำถึงตี 3 ตี 4 หรือการบริโภคน้ำตาลในปริมาณมาก ล้วนเป็นการสร้างความเครียดมหาศาลให้กับร่างกายทั้งสิ้น นั่นหมายความว่า ต่อให้คุณเป็นคนอารมณ์ดี หัวเราะง่าย แต่หากมีพฤติกรรมเหล่านี้ ร่างกายของคุณก็กำลัง “เครียดสุด ๆ” อยู่ตลอดเวลา ซึ่งการจัดการความเครียดพื้นฐานเหล่านี้สามารถทำได้ง่าย ๆ เช่น การฝึกหายใจเข้าออกทางจมูก และการจัดลำดับความสำคัญของการนอนหลับให้เพียงพอ”

ความเชื่อผิด ๆ ด้านสุขภาพที่ยิ่งทำยิ่งแย่ คือ ภัยเงียบอีกประการ ความรู้ด้านสุขภาพที่เข้าใจผิด หรือรู้เพียงครึ่งเดียว ซึ่งนำไปสู่การปฏิบัติที่ส่งผลเสียร้ายแรง ตัวอย่างที่พบบ่อยคือ ความเชื่อที่ว่าผลไม้ดีต่อสุขภาพซึ่งแม้จะเป็นความจริง แต่ก็นำไปสู่ปัญหาได้

พญ.สุวรรณี ชี้ว่า ความเชื่อนี้ทำให้หลายคน โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีภาวะเบาหวานแฝง (Pre-diabetes) กินผลไม้ที่มีน้ำตาลฟรุกโตสสูง (Fructose) ในปริมาณที่มากเกินไป เช่น การกินทุเรียน หรือ ลองกอง จำนวนมากในครั้งเดียว

ผลลัพธ์ที่ตามมาแทนที่จะเป็นสุขภาพดี กลับกลายเป็นการนำไปสู่ภาวะกรดยูริกสูง และที่อันตรายคือ ภาวะไขมันพอกตับ (Fatty Liver) จากการที่ร่างกายได้รับน้ำตาลฟรุกโตสมากเกินความจำเป็นนั่นเอง

Lifestyle Medicine: ศาสตร์พิสูจน์แล้ว 6 เสาหลักพลิกโรคได้จริง

หลายคนอาจเข้าใจว่าการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเป็นเพียงการป้องกันโรค แต่ในความเป็นจริง นี่คือ “ศาสตร์การรักษา” แขนงหนึ่งที่เรียกว่า Lifestyle Medicine หรือ เวชศาสตร์วิถีชีวิต

พญ.วรรณวิพุธ ได้ชี้ให้เห็นว่า เวชศาสตร์วิถีชีวิตไม่ใช่แค่คำแนะนำลอย ๆ แต่เป็นศาสตร์ที่มีงานวิจัยรองรับอย่างชัดเจนว่า การปรับพฤติกรรมพื้นฐาน 6 เสาหลัก เช่น โภชนาการ การออกกำลังกาย การนอนหลับ การจัดการความเครียด สามารถส่งผลต่อการรักษาโรคได้จริง

โดยมีหลักฐานพิสูจน์แล้วว่า ศาสตร์นี้สามารถช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันและลดอัตราการกลับมาเป็นซ้ำของโรคได้

ที่สำคัญคือ Lifestyle Medicine สามารถทำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานเข้าสู่ภาวะสงบ (Remission) หรือช่วยให้ผู้ป่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จนถึงขั้นที่ไม่จำเป็นต้องใช้ยาอีกต่อไป

ไม่ต้องรอเวลา: “Exercise Snack” ทางออกของคนยุคใหม่ที่ “ไม่มีเวลา”

ในยุคที่ตารางชีวิตอัดแน่น “ไม่มีเวลา” อาจเป็นข้ออ้างยอดนิยมสำหรับการไม่ออกกำลังกาย แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพชี้ว่า กุญแจสำคัญอาจไม่ใช่ “ระยะเวลา” ที่ยาวนาน แต่เป็น “ความสม่ำเสมอ” ที่ทำได้จริงในชีวิตประจำวัน ซึ่งนำไปสู่สองแนวคิดที่กำลังเป็นที่นิยมสำหรับคนยุคใหม่

นพ.ธนีย์ ธนียวัน อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคปอดฯ ประจำสหรัฐอเมริกา
นพ.ธนีย์ ธนียวัน อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคปอดฯ ประจำสหรัฐอเมริกา และ พญ.วรรณวิพุธ สรรพสิทธิ์วงศ์ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านเวชศาสตร์ป้องกัน (Preventive Medicine Specialist) และสุขภาพองค์รวม

นพ.ธนีย์ ได้เสนอแนวคิดที่เรียกว่า VILPA (Vigorous Intermittent Lifestyle Physical Activity) ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนกิจกรรมในชีวิตประจำวันให้เป็นการออกกำลังกายอย่างหนัก (Vigorous) แต่ใช้เวลาสั้น ๆ (Intermittent) สลับกันไป

แนวคิดนี้คือการใช้ช่วงเวลาสั้น ๆ เพียง 1 นาที แต่ออกแรงอย่างเต็มที่ เช่น การวิ่งขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์ หรือการเร่งฝีเท้าเดินให้เร็วที่สุดในระยะสั้น ๆ โดย นพ.ธนีย์ แนะนำให้ทำเช่นนี้ 3 ครั้งต่อวัน (เช่น เช้า-กลางวัน-เย็น) ซึ่งมีงานวิจัยรองรับว่า แม้จะใช้เวลาเพียงสั้น ๆ แต่ก็เพียงพอที่จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูงได้

ในขณะเดียวกัน พญ.วรรณวิพุธ สรรพสิทธิ์วงศ์ (หมอฟ้า) ได้เสนอแนวคิดที่สอดคล้องกันอย่าง ‘Exercise Snack’ หรือการ “กินของว่างด้วยการออกกำลังกาย”

นี่คือการซอยย่อยการออกกำลังกายให้เกิดขึ้นระหว่างวัน แทนที่จะรอไปทำทีเดียวหลังเลิกงาน เช่น ทุก 45 นาที หรือ 1 ชั่วโมงที่นั่งทำงาน ให้ลุกขึ้นมาทำท่าลุกนั่ง (Squat) สัก 10 ครั้ง เพื่อขยับร่างกาย

หรือแม้แต่ในขณะที่กำลังประชุมหรือนั่งอยู่บนรถที่การจราจรติดขัด ก็สามารถออกกำลังกายกล้ามเนื้อน่องด้วยการเขย่งปลายเท้า (Soleus Push-up) ซึ่งเป็นการบริหารกล้ามเนื้อที่ช่วยในการเผาผลาญพลังงานได้ดี โดย พญ.วรรณวิพุธ แนะนำว่าการทำท่านี้ 60 ครั้งใน 1 นาที ก็สามารถช่วยเผาผลาญแคลอรีได้

แนวคิดเหล่านี้จึงเป็นทางออกที่ทำได้จริงสำหรับคนยุคใหม่ โดยเปลี่ยนมุมมองจากการ “หาเวลา” ไปออกกำลังกาย เป็นการ “ใช้เวลา” ที่มีอยู่ระหว่างวันให้เกิดประโยชน์สูงสุดแทน

Longevity วาระแห่งชาติ: เดิมพันอนาคตประเทศไทย

สุดท้าย ประเด็นเรื่อง Longevity ไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพส่วนบุคคล แต่คือวิกฤติของประเทศ คุณจิรายุส ปิดท้ายว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤติซ้อน ทั้งคนติดเตียงเพิ่ม ต้นทุนสุขภาพระเบิด เด็กเกิดใหม่น้อยกว่าคนเสียชีวิต คาดการณ์ว่าในอีก 50 ปี คนไทยจะเหลือเพียง 33 ล้านคน จาก 70 ล้านคน

ในขณะที่ GDP ประเทศจะหายไปครึ่งหนึ่ง แต่คนสูงวัยกลับเพิ่มเป็นต้นทุนค่ารักษา คุณจิรายุสชี้ว่า ประเทศไทยใช้เงินรักษามะเร็ง 1 คน เทียบเท่ากับที่ฟินแลนด์ให้วิตามิน D3 คนได้เป็นหมื่นคน สะท้อนว่าเราทุ่มงบไปกับ Sick Care (การรักษา) มากกว่า Prevention (การป้องกัน)

“ถ้าเราไม่เปลี่ยนจาก 30 บาทรักษาทุกโรค เป็น 30 บาทป้องกันทุกโรคเนี่ยครับ มันจะไฟแนนซ์ Rollover ยังไงครับ” เขากล่าวทิ้งท้าย การสร้างความตระหนักรู้เรื่อง Healthspan และ Longevity จึงไม่ใช่แค่เทรนด์ แต่เป็นทางรอดของสังคมไทยในอนาคต

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

เปิดขุมทรัพย์ Longevity: ชู ‘Healthspan’ ทองคำใหม่ท่องเที่ยวไทย

‘กระทิง พูนผล’ เตือนวิกฤติสมอง: AI ไม่ได้ฆ่าคุณแต่ ‘Lazy Thinking’ จะฆ่าคุณ

MALEE พลิกเกมสู่ Global Wellbeing ชูแบรนด์ตัวเอง 55% แซง OEM

×

Share

ผู้เขียน