ท่ามกลางภูมิทัศน์ของโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จนองค์ความรู้ในตำราแทบมิอาจไล่ตามได้ทัน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดย ศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU Innovation Hub) และ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ได้เล็งเห็นถึงความจำเป็นในการปรับกระบวนทัศน์การศึกษา จึงได้ริเริ่มความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ ด้วยการผนึกกำลังลงนามในบันทึกความร่วมมือ (MOU) ด้านวิชาการ วิจัย และนวัตกรรม
ความร่วมมือนี้มุ่งมั่นที่จะทลายภาพจำเดิม ๆ ที่มักมองบัณฑิตจบใหม่เป็นเพียง ‘วัตถุดิบ’ (Raw Materials) ซึ่งจำเป็นต้องรอให้ภาคธุรกิจนำไปหล่อหลอมหรือ “ปั้นต่อ” อีกทอดหนึ่งหลังก้าวออกจากรั้วมหาวิทยาลัย
เป้าหมายสูงสุดคือการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในการผลิตบุคลากร ผ่านโครงการ “ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัย (Chula–NIA Grant)” ซึ่งมุ่งยกระดับนักศึกษาให้กลายเป็น ‘ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป’ (Finish Product) หรือนวัตกร ที่พร้อมขับเคลื่อนวงการธุรกิจได้ทันที และขยายผลองค์ความรู้สู่การประยุกต์ใช้จริงทั้งในระดับ นโยบายสาธารณะ และ นวัตกรรมภาครัฐ
หัวใจสำคัญ: ‘นวัตกร’ ต้องมาก่อน‘นวัตกรรม’

ศาสตราจารย์ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า แม้ภารกิจของ NIA คือการสร้าง “นวัตกรรม” แต่ภารกิจของจุฬาฯ คือการสร้าง “คน” ซึ่งนำไปสู่บทสรุปที่ชัดเจนว่า “นวัตกรมาก่อนนวัตกรรมเสมอ”
แนวคิดนี้จึงเป็นการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของมหาวิทยาลัย โดย CU Innovation Hub จะทำหน้าที่เป็น “กลไกบ่มเพาะนวัตกรรม” และ “พื้นที่เรียนรู้จริง” ยกระดับนักศึกษาให้เป็น ‘ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป’ ที่พร้อมสรรค์สร้างนวัตกรรมระดับชาติ
อธิการบดีจุฬาฯ ย้ำว่า บทบาทของมหาวิทยาลัยในวันนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่การ “ให้ความรู้” (Knowledge) แต่คือการ “บ่มเพาะ” (Incubation) ให้เยาวชนได้ “ลงมือทำจริง ปฏิบัติจริง” โดยมีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญทำหน้าที่เป็น “พี่เลี้ยงและผู้นำโครงการ” (Principal Investigator: PI) คอยให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด นิสิตจะได้เรียนรู้ครบวงจร ตั้งแต่การพัฒนาแนวคิด การเขียนข้อเสนอโครงการ การวางแผนธุรกิจ การบริหารงบประมาณ ไปจนถึงการจัดตั้งบริษัท Startup หรือ Spin-off
ศ.ดร.วิเลิศ ยังได้ขยายความถึงยุคปัญญาประดิษฐ์ (AI) ว่า “ปัจจุบันเราเชื่อว่า AI สามารถแทนที่งานหลายงานได้ แต่วันนี้ สิ่งที่เหนือกว่าโครงการสร้างปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) คือโครงการ ‘ประดิษฐ์ปัญญา’ (Inventing Intelligence)” โดยสรุปว่า โครงการนี้คือกระบวนการ “ประดิษฐ์ปัญญา” เพื่อสร้างสติปัญญาทางนวัตกรรมให้หยั่งรากลึกในตัวตนของเยาวชน
NIA ชี้: โลกธุรกิจไม่รอ “ทำไมต้องรอให้เขาจบ?”
แนวคิดดังกล่าวสอดคล้องกับ ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ซึ่งอธิบายถึงพลวัตการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจที่รวดเร็วว่า ในอดีต การเป็นผู้ประกอบการอาจต้องรอถึงวัย 30 หรือ 40 ปี แต่ปัจจุบัน การยึดถือกอบเวลาเดิมที่ต้องรอให้นักศึกษาสำเร็จการศึกษาก่อนนั้น ถือเป็นความล่าช้า
ผู้อำนวยการ NIA จึงตั้งคำถามสำคัญว่า “ในเมื่อน้อง ๆ ในรั้วมหาวิทยาลัยมีแววที่ดี สามารถประกอบการได้ เราจะต้องเสียเวลารอเขาจบทำไม”
ผอ.ย้ำถึงข้อได้เปรียบของการ “ทดลอง” เป็นผู้ประกอบการตั้งแต่ยังเป็นนิสิต คือการมี “ระบบสนับสนุน” (Support System) ที่แข็งแกร่งจากสถาบันการศึกษา ทั้งการเข้าถึงอาจารย์ที่ปรึกษาและห้องปฏิบัติการ แม้จะประสบความล้มเหลว ก็จะได้รับผลกระทบในวงจำกัด ซึ่งมีคุณค่ากว่าการเผชิญความล้มเหลวรุนแรงในโลกธุรกิจจริง
ดร.กริชผกา เปิดเผยว่า โครงการนี้ถือเป็นหมุดหมายใหม่ของ NIA ที่มีกลไก “บ่มเพาะ” และ “ให้ทุน” โดยตรงแก่นักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย โดยมีจุฬาฯ เป็นพันธมิตรแห่งแรก และตั้งเป้าสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ คือผู้เข้าร่วมต้อง “จดทะเบียนบริษัท ทำธุรกิจ และได้รับเงินทุน” จริง
โครงการนี้ยังถือเป็น “Open Innovation” (นวัตกรรมแบบเปิด) ที่มุ่งสร้างสารตั้งต้นและปลูกฝังจิตวิญญาณผู้ประกอบการให้กับเยาวชน ภายใต้นิยาม “นวัตกรใหม่” ที่ต้อง “คู่คุณธรรมและความยั่งยืน”
อัดฉีดทุนบ่มเพาะ 10 ทีมสู่เวทีโลก

ศาสตราจารย์ เภสัชกรหญิง ดร.พรอนงค์ อร่ามวิทย์ รองอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จุดประสงค์หลักของโครงการคือการผลิตนวัตกรรมร่วมกัน เพื่อมุ่งเน้นการสร้าง “นวัตกร” ตั้งแต่ในรั้วมหาวิทยาลัย โครงการนี้จึงเป็นต้นแบบในการหล่อหลอมและพัฒนาเยาวชนให้เป็น Young Entrepreneur และ Young Innovator ที่ดีสำหรับอนาคตของประเทศไทย โดยถือเป็นความร่วมมือครั้งแรกที่จะได้เห็นการสร้างนวัตกรรมระดับชาติเริ่มต้นจากเยาวชนในระดับนิสิตนักศึกษา ซึ่งรุ่นแรกได้เปิดรับและคัดเลือกเสร็จสิ้นไปแล้ว
โดยมีผู้ประกอบการที่ได้รับทุนสนับสนุนรวม 10 บริษัท ซึ่งประกอบด้วยนิสิตประมาณ 30 ท่าน และอาจารย์ที่ปรึกษาอีก 10 ท่าน ตัวแทนนิสิตที่ร่วมโครงการ อาทิ นายรัชชานนท์ ถนัดสร้าง นิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ ปี 4 ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเยาวชนในการนำไอเดียมาต่อยอดเป็นธุรกิจนวัตกรรม คาดว่าจะสามารถจบหลักสูตรได้ประมาณเดือนธันวาคม
และสำหรับรุ่นที่ 2 นี้ เตรียมเปิดรับสมัครตั้งแต่ เดือนมกราคมปี พ.ศ. 2569 และมีแผนจะเพิ่มจำนวนผู้รับทุนเป็นประมาณ 20 บริษัท ในปีถัดไป โดยคุณสมบัติและการคัดเลือกเปิดรับนิสิตนักศึกษาทุกคนที่มีความสนใจ ไม่ว่าจะมีนวัตกรรมหรือมีเพียงแค่ “แนวคิด” โดยจะมีการนำเสนอ (Pitching) ต่อคณะกรรมการเพื่อคัดเลือกจากไอเดียที่มีความเป็นไปได้ สามารถตอบสนองความต้องการของสังคม และมีจุดเด่นที่แตกต่างจากผลิตภัณฑ์อื่น
รศ.ดร.สุกัญญา สมไพบูลย์ รองอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า โครงการความร่วมมือนี้มุ่งเน้นไปที่การสร้าง “นวัตกร” ที่จะสามารถสร้าง “นวัตกรรมระดับโลก” ได้ โดยมีจุดเด่นสำคัญคือการส่งเสริมให้นิสิตของจุฬาฯสามารถเริ่มทำงานวิจัยและพัฒนาระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่ได้ โดยไม่จำเป็นต้องรอเรียนจบ ซึ่งข้อดีคือมีอาจารย์ที่ปรึกษาคอยช่วยเหลือดูแลตลอดกระบวนการ และผลงานของทีมนิสิตทั้ง 10 ทีมที่ผ่านเข้ารอบมานั้นไม่เพียงแต่เป็นผลงานระดับชาติ แต่ยังอยู่ในระดับนานาชาติและระดับโลก ด้วย
สำหรับในด้านการสนับสนุน โครงการนี้ได้รับความร่วมมือจาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) โดยแต่ละทีมจะได้รับทุนสนับสนุนรวม ทีมละ 1,000,000 บาท จากทั้งสองฝ่ายในสัดส่วนเท่ากัน สำหรับสาขาของนวัตกรรมในช่วงเริ่มต้นเน้นไปที่งานวิจัยทางด้าน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทั้งวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ (Pure Science) และสุขภาพ แต่ในอนาคตมีความมุ่งหวังว่าจะขยายไปสู่ด้านมนุษย์และสังคมด้วย เพื่อเปิดโอกาสให้นิสิตจากทุกศาสตร์สามารถเข้ามามีบทบาทในการสร้างนวัตกรรมเชิงสังคมได้เช่นกัน
เสียงสะท้อนจากนวัตกรรุ่นใหม่
หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนคือ สตาร์ตอัพ “Eyequila” จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ รัชชานนท์ ถนัดสร้าง นิสิตผู้ร่วมก่อตั้ง อธิบายว่า Eyequila คือเกมออกกำลังกายสายตาเพื่อสุขภาพ ที่พัฒนาขึ้นเพื่อป้องกันภาวะสายตาสั้น และช่วยลด “อาการตาล้า (Digital Eye Strain)” จากการใช้จอเป็นเวลานาน
โครงการนี้มีประโยชน์อย่างมากที่ทางมหาวิทยาลัยร่วมกับ NIA ให้การสนับสนุนนักศึกษาที่มีความสนใจด้านสตาร์ตอัพ โดยให้ทั้งเงินทุน (Funding) การสร้างเครือข่าย (Connection) และความช่วยเหลือในการพัฒนาจากแนวคิด (Idea) ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ (Product) ที่สามารถสร้างผลกระทบ (Impact) ต่อสังคมได้อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ทีมงาน ไม่ได้มีเป้าหมายที่จะหยุดอยู่แค่ในประเทศไทย แต่ตั้งใจที่จะ ขยายแพลตฟอร์ม “Eyequila” ออกไปในระดับโลก
จากต้นแบบนำร่องสู่การขยายผลระดับชาติ
ทั้งสององค์กรได้วางยุทธศาสตร์ให้โครงการที่จุฬาฯ นี้ เป็น “โครงการนำร่อง” (Pilot Project) ที่สำคัญ เพื่อทำหน้าที่เป็น “ต้นแบบ” (Prototype) ในการพิสูจน์ประสิทธิภาพของกระบวนการบ่มเพาะรูปแบบใหม่นี้
เป้าหมายของต้นแบบดังกล่าว คือการสร้างแรงบันดาลใจและผลกระทบเชิงบวกในวงกว้าง โดย NIA ได้วางแผนว่า หากโมเดลนี้ประสบความสำเร็จ ก็พร้อมที่จะนำองค์ความรู้และกลไกนี้ไป “ขยายผล” เพื่อประยุกต์ใช้กับมหาวิทยาลัยพันธมิตรอื่น ๆ ทั่วประเทศต่อไป
ศาสตราจารย์ ดร.วิเลิศ ได้ทิ้งท้ายถึงเป้าหมายสูงสุดของโครงการว่า คือการสร้าง “นวัตกรุ่นใหม่” ที่มีคุณสมบัติสมบูรณ์ครบถ้วน กล่าวคือ มิใช่เพียงผู้ที่มี “แนวคิด” หรือ “ผลิตภัณฑ์” ที่ดี แต่ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจ “ระบบนิเทศทั้งหมด” ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อให้มั่นใจว่านวัตกรรมนั้นสามารถ “ส่งมอบคุณค่าถึงมือผู้บริโภค” และสร้างผลกระทบต่อสังคมได้จริง
และมิติที่สำคัญที่สุด ซึ่งเป็นรากฐานของนวัตกรในแบบฉบับนี้ คือการต้องดำเนินงานโดยมี “จริยธรรม มโนธรรม” และจิตสำนึกที่มุ่งเน้น “การมองเรื่องความยั่งยืน” (Sustainability) ควบคู่ไปกับการพัฒนาในทุกย่างก้าว
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
พ.ร.บ.โลกร้อน สร้างดีมานด์แรงงานสิ่งแวดล้อม 50,000 ตำแหน่ง GCC จับมือสถาบันการศึกษาพัฒนาหลักสูตร
Beyond Greenwash: 4 สตาร์ตอัพ พลิกนิยาม ‘Sustainability’ สู่โมเดลธุรกิจที่จับต้องได้




