ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกผันผวน ราคาขายที่ลดลง และผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า ที่กดดันผลประกอบการ 9 เดือนแรกปี 2568 ของ บริษัทเอสซีซี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP (รายได้ 94,204 ล้านบาท ลดลง 7%, กำไร 2,873 ล้านบาท ลดลง 20%) แต่เมื่อเจาะลึกรายละเอียดกลับพบการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง
โดยผลการดำเนินงานเฉพาะไตรมาสที่ 3 ปี 2568 SCGP ทำรายได้จากการขาย 30,438 ล้านบาท มี EBITDA 4,154 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 เมื่อเทียบกับปีก่อน) และมีกำไรสำหรับงวด 953 ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ 65 เมื่อเทียบกับปีก่อน) ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินงานของธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษในอินโดนีเซียที่ดีขึ้น
SCGP ไม่ได้หยุดนิ่งรอรับแรงกระแทก แต่กำลังเดินเกมรุก 2 สมรภูมิสำคัญพร้อมกัน คือ การทุ่มงบประมาณ 956 ล้านบาท ปิดดีล M&A โรงงานกล่องกระดาษในอินโดนีเซีย เพื่อต่อจิ๊กซอว์ซัพพลายเชนให้ครบวงจร และ การใช้ยุทธศาสตร์ ‘Loose Coupling’ (การลดการพึ่งพา) กับตลาดจีน ที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง จนสามารถ “ไดเวิร์ท” ออเดอร์ส่งออกที่หายไปจากจีน ไปบุก “อินเดีย” ซึ่งกำลังจะกลายเป็นฐานทัพใหม่แห่งอนาคต
ยุทธศาสตร์ ‘Loose Coupling’: เมื่อจีนไม่ใช่คำตอบ… ‘อินเดีย’ คือฐานทัพใหม่
หนึ่งในการปรับตัวเชิงกลยุทธ์ที่น่าสนใจที่สุดของ SCGP คือการบริหารความเสี่ยงในพอร์ตการส่งออก วิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP อธิบายแนวคิดนี้ว่า บริษัทได้เริ่มดำเนินกลยุทธ์ “Loose Coupling from China” หรือ การลดระดับการพึ่งพาตลาดจีน มาอย่างจริงจังตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา
เหตุผลสำคัญมาจากวิสัยทัศน์ของผู้บริหารที่ประเมินสถานการณ์ล่วงหน้าว่า “เราเห็นแล้วว่าจีนจะโดนภาษีจากฝั่งอเมริกา ซึ่งถือเป็นสัญญาณความเสี่ยงที่ชัดเจนในมิติการค้าระหว่างประเทศ ปัจจัยนี้ทำให้ SCGP ต้องตัดสินใจกระจายฐานลูกค้าและตลาดเพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น”
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ สัดส่วนการส่งออกไปยังประเทศจีนในช่วง 9 เดือนแรกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากเดิมที่เคยสูงถึง 8% ของการส่งออกรวม เหลือเพียง 4% ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ปริมาณการส่งออกที่หายไปจากตลาดจีนไม่ได้สูญเปล่า ทีมงานขายของบริษัทสามารถปรับเปลี่ยนทิศทาง (Divert) การส่งออก ไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูงได้อย่างสำเร็จ ซึ่งก็คือ ประเทศอินเดีย รวมถึงตลาดใหม่อย่างออสเตรเลียด้วย
คุณวิชาญเน้นย้ำว่า การบุกตลาดอินเดียในครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการหาตลาดใหม่เพื่อระบายสินค้า (Dumping) แต่เป็นการมองการณ์ไกลในเชิงยุทธศาสตร์ โดย SCGP มองอินเดียในฐานะฐานในการที่จะขยายการลงทุนของประเทศอินเดียในอนาคตซึ่งถือเป็นการเข้าไปเรียนรู้ตลาดและสร้างรากฐานที่แข็งแกร่ง เพื่อรองรับโอกาสการเติบโตใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม
SCGP ทุ่ม 956 ล้านปิดดีล M&A อินโดนีเซีย: กลยุทธ์ต่อยอด ‘Fajar’ และการผนึกกำลังซัพพลายเชน
ท่ามกลางภาพรวมผลกำไรที่ปรับตัวลดลง SCGP ได้ประกาศการเคลื่อนไหวทางธุรกิจครั้งสำคัญ โดยคณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติ (เมื่อ 28 ต.ค. 2568) การเข้าซื้อกิจการ (M&A) โรงงานผลิตกล่องกระดาษในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นการเข้าถือหุ้นสามัญในสัดส่วนร้อยละ 100 ใน PT Prokemas Adhikari Kreasi (MYPAK)
การลงทุนครั้งนี้มีมูลค่ากิจการไม่เกิน 455 พันล้านรูเปียห์ หรือประมาณ 956 ล้านบาท โดยคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2568 นี้
การลงทุนครั้งนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการขยายกำลังการผลิต แต่ถือเป็น “จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญ” ในการต่อยอดกลยุทธ์ Vertical Integration (การควบรวมแนวดิ่ง) ภายในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่ง SCGP ประเมินว่าเป็น “ประเทศดาวรุ่ง” ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เทียบเท่ากับเวียดนาม
ดนัยเดช เกตุสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP อธิบายเพิ่มเติมว่า กลยุทธ์นี้คือการสร้างความแข็งแกร่งให้กับห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) กล่าวคือ เดิมที SCGP มีฐานการผลิต “ต้นน้ำ” (Upstream) ที่แข็งแกร่งมากในอินโดนีเซียอยู่แล้ว ผ่าน “Fajar” (PT Fajar Surya Wisesa Tbk.) ซึ่งเป็นโรงงานผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ แต่บริษัทยังขาดสินทรัพย์ “ปลายน้ำ” (Downstream) หรือโรงงานผลิตกล่องกระดาษ ที่จะนำกระดาษเหล่านั้นมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อส่งถึงมือลูกค้าโดยตรง
ดังนั้น การเข้าซื้อโรงกล่องในครั้งนี้ ซึ่งมีฐานการผลิตตั้งอยู่ที่ เมือง Bekasi ทางตะวันตกของเกาะชวา และอยู่ใกล้กับฐานการผลิตของ Fajar จะเข้ามาเติมเต็มช่องว่างดังกล่าว ส่งผลให้ระดับ Integration Level (สัดส่วนการนำกระดาษที่ผลิตเองไปใช้ในโรงงานของตนเอง) เพิ่มขึ้นจาก 18% เป็น 26% ในทันที ซึ่งจะช่วยสร้างเสถียรภาพด้านต้นทุนและอุปทาน โดยบริษัทตั้งเป้าหมายระยะยาวไว้ที่ 50% เช่นเดียวกับฐานการผลิตในไทยและเวียดนาม
นอกเหนือจากประโยชน์เชิงกลยุทธ์แล้ว ดีลนี้ยังคาดว่าจะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 1,800 ล้านบาทต่อปี และทำให้ SCGP ได้ฐานลูกค้ากลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) ที่เป็นแบรนด์ชั้นนำในอินโดนีเซีย เข้ามาเสริมพอร์ตอีกด้วย โดยบริษัทคาดว่าจะช่วยเพิ่มโอกาส Cross-selling จากฐานลูกค้าเดิม และสามารถนำ เทคโนโลยีของ MYPAK มาช่วยผลักดันการผลิตและบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

SCGP รุกธุรกิจ Healthcare: ยกระดับจากบรรจุภัณฑ์สู่การผลิต ‘เข็มฉีดยา’ ทดแทนการนำเข้า
นอกจากการเติบโตในธุรกิจบรรจุภัณฑ์หลักแล้ว SCGP ยังมีการเคลื่อนไหวที่สะท้อนถึงการปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจครั้งสำคัญ นั่นคือการขยายการลงทุนเข้าไปในธุรกิจใหม่ อย่างจริงจัง โดยมีกลุ่มที่โดดเด่นคือ Healthcare Supply หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งคาดว่าในปีนี้เพียงกลุ่มเดียวจะสามารถสร้างยอดขายได้สูงถึง 2,700 – 2,800 ล้านบาท
การเคลื่อนไหวล่าสุดที่ตอกย้ำทิศทางนี้ คือการตัดสินใจลงทุนติดตั้งเครื่องจักรสำหรับผลิตหลอดฉีดยาและเข็มฉีดยาภายในประเทศไทย ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในกระบวนการติดตั้ง และคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ 2569
เป้าหมายหลักของโครงการนี้มีความชัดเจน คือการเจาะตลาดโรงพยาบาลและสถานพยาบาลในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้า (Import Substitution) อุปกรณ์ดังกล่าวซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าสูง
นี่จึงไม่ได้เป็นเพียงการขยายสายการผลิตธรรมดา แต่ถือเป็นการยกระดับธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ จากการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านบรรจุภัณฑ์ (Packaging) สู่การเป็นผู้เล่นในตลาดโซลูชั่นทางการแพทย์ (Medical Solutions) ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีความซับซ้อนและมีมูลค่าสูงขึ้นอย่างชัดเจน
วิเคราะห์แนวโน้ม Q4: สัญญาณบวกหลังราคาเยื่อกระดาษผ่านจุดต่ำสุด
สำหรับภาพรวมตลาดและแนวโน้มในไตรมาสที่ 4 SCGP ได้ให้สัญญาณเชิงบวกในหลายมิติ โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากสถานการณ์วัตถุดิบหลักที่กำลังคลี่คลาย และคาดว่าจะได้รับปัจจัยบวกจากการเตรียมเพิ่มสต๊อกสินค้าช่วงปลายปี โดยเฉพาะอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น มาตรการคนละครึ่ง และ มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว
ประการแรกคือ ราคาเยื่อกระดาษ (Pulp) คุณวิชาญ ระบุว่า ราคาได้ผ่านจุดต่ำสุด (Bottom) ไปแล้วในไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา สาเหตุเนื่องจากผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกในประเทศบราซิล สามารถบรรลุข้อตกลงประเด็นภาษีกับสหรัฐอเมริกาได้แล้ว ส่งผลให้ราคาในตลาดโลกเริ่มปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาสที่ 4 ซึ่งสะท้อนการฟื้นตัวของอุปสงค์
ประการที่สองคือ ราคาเศษกระดาษ (RCP) ซึ่งมีทิศทางสวนทางกับเยื่อกระดาษ โดยในไตรมาสที่ 4 ราคาเศษกระดาษมีแนวโน้ม “ขาลง” สถานการณ์นี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ ได้ออกมาตรการห้ามนำเข้าชั่วคราว ทำให้เกิดภาวะอุปทานส่วนเกิน (ของเหลือ) ในภูมิภาค ซึ่งกลายเป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลดีต่อการบริหารจัดการต้นทุนของ SCGP
เพื่อรับมือกับความผันผวนของราคาวัตถุดิบนำเข้า SCGP ได้ใช้กลยุทธ์ลดต้นทุนเชิงรุก โดยหันมา เพิ่มสัดส่วนการใช้เศษกระดาษภายในประเทศ (Domestic Content) ทั้งในฐานการผลิตที่ไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย ซึ่งปัจจุบันสามารถเพิ่มสัดส่วนการใช้ในประเทศขึ้นมาอยู่ที่ 65% จากเดิม 55% นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มสัดส่วนการใช้ พลังงานทดแทนเป็นร้อยละ 38.6 และนำเทคโนโลยี AI และ Machine Learning มาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การปรับกลยุทธ์นี้ช่วยให้บริษัทบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงจากราคาตลาดโลกได้ดียิ่งขึ้น
จากปัจจัยบวกด้านต้นทุนเศษกระดาษ ประกอบกับการฟื้นตัวของตลาดเยื่อกระดาษ ผู้บริหารจึงแสดงความมั่นใจว่า ผลประกอบการในไตรมาส 4 ปี 2568 นี้ จะดีกว่าไตรมาส 4 ของปีก่อนอย่างแน่นอน (ซึ่งเคยติดลบ) และจะส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงานตลอดทั้งปี 2568 “ไม่น่าจะน้อยหน้าปีที่แล้ว”
กฎหมาย EPR: SCGP พลิกความท้าทายสู่โอกาสชูความพร้อมช่วย ‘แบรนด์โอนเนอร์’
สำหรับประเด็นกฎหมาย EPR (Extended Producer Responsibility) หรือหลักการความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นของผู้ผลิต ซึ่งกำลังจะถูกนำมาบังคับใช้ในประเทศไทย และคาดว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์เป็นกลุ่มแรกนั้น SCGP กลับมีมุมมองที่แตกต่าง โดยมองว่านี่คือ “โอกาส” ทางธุรกิจครั้งสำคัญ มากกว่าจะเป็นอุปสรรค
ผู้บริหารได้อธิบายขยายความว่า สาเหตุที่ SCGP มองเช่นนั้น เพราะบริษัทมีความได้เปรียบและความพร้อมสูงในเรื่องนี้อยู่แล้ว กล่าวคือ มีประสบการณ์ตรง SCGP ได้ดำเนินงานภายใต้ข้อกำหนด EPR ลักษณะนี้มาก่อนแล้วในต่างประเทศ ทั้งในตลาดยุโรปและเวียดนาม ทำให้มีความเข้าใจในกระบวนการเป็นอย่างดี และมีโครงสร้างพื้นฐาน บริษัทได้ลงทุนสร้าง “ระบบนิเวศในการรีไซเคิล” (Recycling Station) ที่แข็งแกร่งไว้พร้อมรองรับการจัดการขยะบรรจุภัณฑ์แล้ว
SCGP วิเคราะห์ว่า ภายใต้การบังคับใช้กฎหมายใหม่นี้ ผู้ที่จะได้รับผลกระทบหลักและมีภาระความรับผิดชอบโดยตรงมากที่สุด ไม่ใช่ผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ แต่เป็นกลุ่ม “แบรนด์โอนเนอร์” (Brand Owners) หรือเจ้าของสินค้าที่เป็นผู้เลือกใช้บรรจุภัณฑ์เหล่านั้น
ด้วยเหตุนี้ SCGP จึงสามารถใช้ความพร้อมทั้งด้านประสบการณ์และโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ มาปรับรูปแบบธุรกิจ (Business Model) เพื่อนำเสนอเป็น “โซลูชัน” ในการเข้าไป “ช่วยเหลือ” ลูกค้ากลุ่มแบรนด์โอนเนอร์เหล่านี้ ให้สามารถบริหารจัดการขยะบรรจุภัณฑ์ได้อย่างถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งถือเป็นการสร้างบริการใหม่ที่จะสร้างประโยชน์และรายได้กลับมาสู่บริษัทในอนาคต
ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงขับเคลื่อนด้านความยั่งยืนอย่างเข้มข้น โดยตั้งเป้าหมาย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 25 ภายในปี 2573 และมุ่งสู่ Net Zero ภายในปี 2593 พร้อมขยายความร่วมมือกับลูกค้ากลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มชั้นนำ จำนวน 6 ราย ในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ติดฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (CFP)
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
MALEE พลิกเกมสู่ Global Wellbeing ชูแบรนด์ตัวเอง 55% แซง OEM
ตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดแกว่งผันผวน จับตาประชุมเฟด-เจรจาการค้าสหรัฐฯ-จีน




