บนเวทีการประกาศผลรางวัล “เกษตรกรสำนึกรักบ้านเกิด” ประจำปี 2568 (ครั้งที่ 17) บรรยากาศไม่ได้อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของท้องทุ่งแบบดั้งเดิมเพียงอย่างเดียว แต่กลับคุกรุ่นไปด้วยพลังของ “นวัตกรรม” และ “วิสัยทัศน์” ของคนรุ่นใหม่ ภายใต้หัวข้อที่ท้าทายยุคสมัยอย่าง “ฟาร์มแห่งอนาคต เกษตรกรผู้นำการเปลี่ยนแปลงสีเขียว (Farm of the Future)” ตลอด 17 ปีของการเดินทาง โครงการนี้ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง มูลนิธิร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิด, กรมส่งเสริมการเกษตร, ทรู คอร์ปอเรชั่น และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เกษตรกรรมไม่ใช่เรื่องของคนรุ่นเก่าที่รอวันโรยรา แต่คือเวทีของคนหนุ่มสาวที่กล้ากลับบ้านไปเพื่อ “เปลี่ยนโลก” ด้วยการผสานเทคโนโลยีเข้ากับภูมิปัญญาเพื่อความอยู่รอดที่ยั่งยืน
ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ปลูกข้าวไม่ได้: สัจธรรมจากกระดูกสันหลังของโลก

ท่ามกลางกระแสธารของเทคโนโลยีที่ถาโถมเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คนในทุกมิติ ซิกเว่ เบรกเก้ (Sigve Brekke) ประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ขึ้นกล่าวปาฐกถาที่กระตุกต่อมความคิดของคนยุคดิจิทัลให้กลับมาตระหนักถึงความจริงขั้นพื้นฐานได้อย่างชะงัด โดยเขามิได้พูดในฐานะผู้บริหารบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกเพียงอย่างเดียว แต่ได้ย้อนรำลึกถึงรากเหง้าของตนเองที่เติบโตมาในฟาร์มแกะเล็ก ๆ บนภูเขาที่ประเทศนอร์เวย์ ซึ่งประสบการณ์ในวัยเยาว์นั้นทำให้เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า แม้โลกจะก้าวไปข้างหน้าด้วยความเร็วของสัญญาณอินเทอร์เน็ตมากเพียงใด แต่ปัจจัยสี่ในการดำรงชีวิตของมนุษย์ยังคงเดิม
ถ้อยคำที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังของเขาได้ตอกย้ำความจริงที่ว่า “ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไม่สามารถเสกอาหารให้คุณได้ เทคโนโลยีไม่ได้ให้อาหาร และติ๊กต็อก (TikTok) ก็ไม่ได้ทำให้คุณอิ่มท้อง มนุษย์ยังคงต้องกินต้องใช้ และนั่นคือเหตุผลที่เกษตรกรคือกระดูกสันหลังของสังคม ไม่ว่าจะในประเทศไทยหรือนอร์เวย์” คำกล่าวนี้เปรียบเสมือนการดึงสติให้สังคมตระหนักว่า แม้เราจะหลงใหลในความล้ำสมัยของปัญญาประดิษฐ์ (AI) หรือความบันเทิงบนโลกโซเชียลมีเดีย แต่สุดท้ายแล้ว “อาหาร” คือสิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิต และผู้ที่ผลิตอาหารเหล่านั้นคือเกษตรกร ผู้ปิดทองหลังพระที่ค้ำจุนโครงสร้างของสังคมเศรษฐกิจไว้อย่างแท้จริง
การลงมือปฏิบัติเพื่อรับมือกับสภาพอากาศ (Climate Action) จาก “ภาวะโลกเดือด” สู่ “โมเดลทำเงิน”
ประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเน้นย้ำบนเวทีประกาศรางวัลในปีนี้ คือเรื่องของ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งนับวันยิ่งทวีความรุนแรงและส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรโดยตรง โดยทางด้าน นฤมล สงวนวงศ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ชี้ให้เห็นภาพความจริงที่เกษตรกรไทยกำลังเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภัยแล้ง อุทกภัย และฝุ่นพิษ PM 2.5 ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพียงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ แต่คือโจทย์ใหญ่ที่บีบบังคับให้เกษตรกรต้องเร่งปรับตัวเพื่อความอยู่รอด อย่างไรก็ตาม กลุ่มเกษตรกรผู้ชนะรางวัลในปีนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การลงมือปฏิบัติเพื่อรับมือกับสภาพอากาศ (Climate Action) นั้น ไม่ใช่ภาระทางต้นทุน แต่สามารถเปลี่ยนให้เป็นผลกำไรที่จับต้องได้ ผ่านการเปลี่ยนแนวคิดจากนามธรรมสู่โมเดลธุรกิจที่สร้างรายได้จริงในรูปแบบที่น่าสนใจ
โมเดลแรกที่โดดเด่นคือ การบริหารจัดการของเสีย (Waste Management) ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการลดก๊าซเรือนกระจก ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณีขอ อภิชาติ พูลเอียด จากจังหวัดพัทลุง อดีตวิศวกรโทรคมนาคมที่ผันตัวมาเป็นเกษตรกร โดยนำกระบวนการคิดเชิงวิศวกรรมมาประยุกต์ใช้ในการเลี้ยงไส้เดือน เพื่อให้ทำหน้าที่เสมือนเครื่องจักรชีวภาพในการกำจัดขยะอินทรีย์จำนวนมหาศาล ทั้งมูลวัวและกากกล้วยได้เดือนละหลายตัน กระบวนการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดปัญหาโลกร้อนได้มากกว่าวิธีการกำจัดขยะแบบเดิมถึง 28 เท่า แต่ยังสามารถเปลี่ยนของเสียไร้ค่าให้กลายเป็นปุ๋ยคุณภาพสูงสร้างรายได้กลับคืนสู่ฟาร์ม ในขณะเดียวกันที่จังหวัดสุพรรณบุรี ปิยะกิจประสงค์ได้นำแนวคิด ขยะเหลือศูนย์ (Zero Waste) มาใช้ในฟาร์มมะเขือเทศเชอรี่ โดยนำต้นมะเขือเทศเก่าที่หมดอายุการให้ผลผลิตมาบดย่อยผสมกับมูลกระต่าย เพื่อปรุงเป็นวัสดุปลูกในรอบถัดไป ทำให้เกิดการหมุนเวียนทรัพยากรภายในฟาร์มโดยไม่เหลือทิ้ง
อีกหนึ่งแนวทางที่น่าจับตามองคือ การประยุกต์ใช้แนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพเศรษฐกิจหมุนเวียนและเศรษฐกิจสีเขียว (BCG Model) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มสูงสุดจากทรัพยากรที่มีอยู่ ดังเช่นกรณีของ ธนิถา ทีปกรนราพิตร จากจังหวัดเพชรบูรณ์ ที่มองเห็นโอกาสจากสิ่งที่คนอื่นมองข้าม โดยนำเมล็ดมะขามซึ่งเดิมทีเป็นเพียงของเหลือทิ้งจากการแปรรูป มาผ่านกระบวนการนวัตกรรมจนกลายเป็นแป้งจากเมล็ดมะขามที่ปราศจากกลูเตน และยังต่อยอดไปสู่การผลิตไซเดอร์จากมะขาม ซึ่งเป็นการยกระดับสินค้าเกษตรไทยให้ตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพโลกพร้อมกับแก้ปัญหาขยะไปพร้อมกัน
ปิดท้ายด้วย โมเดลเกษตรแม่นยำ (Precision Farming) ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดการสิ้นเปลืองทรัพยากรธรรมชาติ โดย ธราพงศ์ วงศ์วัฒนากิจ จากจังหวัดราชบุรี ได้นำระบบ สถานีตรวจวัดอากาศ (Weather Station) และ เซนเซอร์อัจฉริยะ (Smart Sensor) เข้ามาช่วยในการวัดค่าความชื้นในดิน ทำให้สามารถคำนวณการให้น้ำและปุ๋ยได้อย่างแม่นยำตรงตามความต้องการของพืช ส่งผลให้ลดต้นทุนและรักษาความสมดุลของดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับทางภาคใต้ที่ สันติสุข พุฒพรม จากจังหวัดชุมพร ได้ออกแบบโรงเรือนตากกาแฟที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้กระบวนการผลิตสะอาดและได้มาตรฐานแล้ว ยังเป็นการใช้พลังงานทดแทนที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ปฏิวัติวิธีคิด (Mindset) ธุรกิจเกษตรจากผู้รอราคาตลาดสู่ผู้กำหนดชะตาชีวิตตนเอง
นอกเหนือจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแล้ว สิ่งที่สร้างความประทับใจและถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเวทีนี้คือ วิธีคิด (Mindset) ทางธุรกิจของเกษตรกรยุคใหม่ที่เลิกง้อกลไกตลาดแบบเดิม พวกเขาไม่ยอมจำนนต่อราคาที่ถูกกำหนดโดยพ่อค้าคนกลาง แต่หันมาสร้างอำนาจการต่อรองด้วยตัวเองผ่านกลยุทธ์ทางธุรกิจที่แยบยล ซึ่งเริ่มต้นจากการมองปัญหาของผู้บริโภคเป็นที่ตั้งเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์อย่างแท้จริง
กลยุทธ์แรกที่น่าสนใจคือ การแก้ปัญหาที่เป็นจุดเจ็บปวด (Pain Point) ของผู้บริโภคและข้อจำกัดของสินค้าเกษตร โดย ปิยะ กิจประสงค์ (ฟาร์มมะเขือเทศเชอรี่แตะขอบฟ้า) เกษตรกรจากจังหวัดสุพรรณบุรี ได้ตั้งโจทย์ที่ท้าทายเพื่อเอาชนะใจกลุ่มคนที่ไม่ชอบทานผัก ด้วยการเปลี่ยนนิยามของมะเขือเทศเชอรี่ใหม่ให้กลายเป็นผลไม้ที่มีรสชาติหวานกรอบและทานง่าย ซึ่งเป็นการเปิดตลาดกลุ่มลูกค้าใหม่ได้อย่างน่าสนใจ ในขณะเดียวกันทางด้าน พีระพงษ์แดงสะอาด (อาณาจักรมันหวานญี่ปุ่น) จากจังหวัดราชบุรี ได้มองเห็นจุดอ่อนสำคัญของมันหวานญี่ปุ่นที่มักเน่าเสียง่าย จึงแก้เกมด้วยการแปรรูปเป็นมันหวานพร้อมทานที่สามารถเก็บรักษาได้นานถึง 1 ปี นวัตกรรมนี้ทำให้เขาก้าวข้ามข้อจำกัดเรื่องฤดูกาล สามารถบริหารจัดการสต็อกสินค้าและทยอยส่งขายได้ทั่วประเทศตลอดทั้งปีโดยไม่ต้องกังวลกับภาวะราคาผลผลิตตกต่ำในช่วงล้นตลาด
นอกจากการแก้ปัญหาแล้ว การเล่าเรื่อง (Storytelling) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ทรงพลัง ดังจะเห็นได้จากความสำเร็จของ ทศพร เลิศคอนสาร (ปูนาแสนสวย) จากจังหวัดชัยภูมิ ผู้คว้ารางวัล ขวัญใจมหาชน (Popular Vote) ที่สามารถเปลี่ยนฟาร์มปูนาธรรมดาให้กลายเป็นแหล่ง การท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy) โดยนำเสนอในรูปแบบเชฟเทเบิล (Chef Table) ที่สร้างความประทับใจให้กับผู้มาเยือน สิ่งที่ทำให้แบรนด์ของเขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้นคือเรื่องราวของการสร้างโอกาส ด้วยการดึงผู้พิการในชุมชนเข้ามาร่วมงาน เปลี่ยนคำสบประมาทในอดีตที่ว่าเลี้ยงปูนาไม่ได้ ให้กลายเป็นแรงบันดาลใจและแหล่งรายได้ที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน
ในขณะที่การสร้างความเข้มแข็งจากภายในชุมชนผ่านองค์ความรู้ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่นำไปสู่ความยั่งยืน โดย สันติสุข พุฒพรม (กาแฟเขาพระเจ้า) จากจังหวัดชุมพร ผู้คว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าการทำธุรกิจเกษตรไม่จำเป็นต้องเติบโตเพียงลำพัง เขาได้ยกระดับกาแฟโรบัสต้าท้องถิ่นให้กลายเป็นสินค้าอินทรีย์คุณภาพสูงแบบครบวงจร และที่สำคัญคือการเปิดพื้นที่ฟาร์มกาแฟเขาพระเจ้าให้เป็นศูนย์เรียนรู้ เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคนิคการผลิตให้แก่คนในชุมชน โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับอาชีพและรายได้ของเพื่อนเกษตรกรในท้องถิ่นให้สามารถเติบโตและก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยกันได้อย่างมั่นคง
ท้ายที่สุดคือ วิสัยทัศน์ที่มองไกลกว่าแค่ความสำเร็จระดับชุมชน แต่คือความอยู่รอดของเกษตรกรไทยทั้งระบบ ภายใต้แนวคิด แบรนด์เดียวทั่วไทย (One Brand One Thailand) ของ สุพเจตน์ สินธุพัฒน์ (สวนทุเรียนแม่น้ำภูเขา) เกษตรกรผู้คว้ารางวัลชนะเลิศจากจังหวัดจันทบุรี เจ้าของสวนทุเรียนที่นำเทคโนโลยี อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) และ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อลดต้นทุนและยกระดับคุณภาพผลผลิต โดยเขาได้นำเสนอแนวคิดที่ยิ่งใหญ่ว่า เกษตรกรชาวสวนทุเรียนไทยควรรวมตัวกันสร้างแบรนด์เดียวเพื่อแชร์มาตรฐานคุณภาพและสร้างอำนาจต่อรองในตลาดโลก แทนที่จะต่างคนต่างขายและถูกกดราคาอย่างที่ผ่านมา ซึ่งนี่คือหนทางที่จะทำให้เกษตรกรไทยก้าวขึ้นมาเป็นผู้กำหนดราคาตลาดโลกได้อย่างแท้จริง
โฉมหน้าเกษตรกรต้นแบบ ผู้คว้ารางวัลแห่งความภาคภูมิใจประจำปี 2568

ความสำเร็จของเกษตรกรทั้งหมดนี้ ล้วนผ่านการคัดกรองอย่างเข้มข้นจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภายใต้เกณฑ์การพิจารณาใน 4 มิติสำคัญ เพื่อเฟ้นหาต้นแบบที่สมบูรณ์ที่สุด เริ่มต้นจากมิติด้านสังคม ที่พิจารณาถึงความเป็นผู้นำ การถ่ายทอดองค์ความรู้ การสร้างเครือข่าย และความสามารถในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน มิติด้านเศรษฐกิจที่เน้นความสามารถในการเพิ่มมูลค่าผลผลิต การบริหารจัดการต้นทุน การขยายตลาด และการพึ่งพาตนเองมิติด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งให้ความสำคัญกับการลดผลกระทบต่อธรรมชาติ การฟื้นฟูดินและน้ำ การใช้ทรัพยากรหมุนเวียน และการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ และสุดท้ายคือมิติด้านความยั่งยืนที่มองถึงวิสัยทัศน์ระยะยาว การสืบทอดอาชีพเกษตรกรรม และความสามารถในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและสภาพภูมิอากาศโลกได้อย่างเท่าทัน
สำหรับผลการประกาศรางวัลในปีนี้ รางวัลชนะเลิศเปรียบเสมือนเครื่องยืนยันความสำเร็จของโมเดล ฟาร์มอินทรีย์อัจฉริยะ (Smart Organic Farm) โดยตกเป็นของ ธราพงศ์ วงศ์วัฒนากิจ จากการ์เดนเนอร์เฮาส์ (Gardener House) จังหวัดราชบุรีผู้ที่สามารถพลิกชีวิตจากอดีตมนุษย์เงินเดือนก้าวสู่การเป็นเกษตรกรยุคใหม่อย่างเต็มภาคภูมิ ด้วยการนำเทคโนโลยี อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) ระบบรดน้ำอัตโนมัติ และ สถานีตรวจวัดอากาศ (Weather Station) มาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการสวนมะพร้าวอินทรีย์ได้อย่างแม่นยำ พร้อมทั้งผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นผ่านการใช้แตนเบียนและการเลี้ยงผึ้งชันโรง รวมถึงการสร้างแนวกันชนสีเขียว จนกลายเป็นต้นแบบที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่อย่างกว้างขวาง
ตามมาด้วย รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ สันติสุข พุฒพรม จากกาแฟเขาพระเจ้าจังหวัดชุมพรผู้มุ่งมั่นพัฒนากาแฟท้องถิ่นให้ก้าวสู่ความเป็นสินค้าอินทรีย์แบบครบวงจร ครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการปลูก การบริหารจัดการน้ำและดิน ไปจนถึงการแปรรูปผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง อีกทั้งยังเปิดพื้นที่ฟาร์มให้เป็นศูนย์เรียนรู้เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้สู่ชุมชน ช่วยยกระดับอาชีพและสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้กับท้องถิ่น
ส่วน รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ตกเป็นของ อภิชาติ พูลเอียด จากฟาร์มไส้เดือนบ้านเล็กในป่าใหญ่จังหวัดพัทลุงอดีตวิศวกรผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมจากสิ่งเล็ก ๆ ภายใต้แนวคิดเปลี่ยนมูลให้เป็นมูลค่า โดยพัฒนาฟาร์มไส้เดือนด้วยระบบ สมาร์ทฟาร์ม (Smart Farm) ที่สามารถควบคุมอุณหภูมิและความชื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์และสารปรับปรุงดินคุณภาพสูง ซึ่งเป็นที่พึ่งสำคัญให้กับเกษตรกรและชุมชนรากหญ้า
นอกจากนี้ เวทียังได้ประกาศเกียรติคุณแก่เกษตรกรดีเด่นอีก 7 ท่าน ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนภาคการเกษตรไทย ได้แก่ ทศพร เลิศคอนสาร จากปูนาแสนสวย จังหวัดชัยภูมิ ธนิถา ทีปกรนราพิตร จากนารา แทมมารินด์ (Nara Tamarind) จังหวัดเพชรบูรณ์ ปิยะ กิจประสงค์ จากฟาร์มมะเขือเทศเชอรี่แตะขอบฟ้า จังหวัดสุพรรณบุรี พีระพงษ์ แดงสะอาด จากไร่แดงสะอาด อาณาจักรมันหวานญี่ปุ่น จังหวัดราชบุรี วิภาดา โควินท์ จากโควิน การ์เดน (Kowin Garden) จังหวัดราชบุรี สุพเจตน์ สินธุพัฒน์ จากสวนทุเรียนแม่น้ำภูเขา จังหวัดจันทบุรี และ สุไรนา บือราเฮง จากญาญา สุไรนา จังหวัดนราธิวาส
พลิกโฉมโลจิสติกส์ เชื่อมโลกเปิดประตูการค้าไทยสู่จีนด้วยระบบราง
นอกเหนือจากการตื่นตัวในเรื่องเทคโนโลยีการผลิตแล้ว อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมานำเสนออย่างชัดเจนบนเวทีเสวนา คือศักยภาพด้านโลจิสติกส์ที่จะเข้ามาเปลี่ยนโฉมหน้าการส่งออกสินค้าเกษตรไทย โดยมีการกล่าวถึงความก้าวหน้าของระบบขนส่งทางรางที่เชื่อมโยงระหว่างนครฉงชิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน มายังนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง ซึ่งเส้นทางรถไฟสายนี้มีระยะทางรวมกว่า 2,900 กิโลเมตร แต่ใช้เวลาในการเดินทางเพียง 95 ชั่วโมง หรือประมาณ 4 วันเท่านั้น
ความรวดเร็วในการขนส่งดังกล่าวเปรียบเสมือนการเปิดประตูบานใหญ่ที่เชื่อมโอกาสทางการค้าระหว่างภาคตะวันออกของไทยเข้ากับภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีนโดยตรง ซึ่งนครฉงชิ่งนั้นถือเป็น ศูนย์กลางการกระจายสินค้าขนาดใหญ่ (Super Hub) ที่สำคัญไปยังมณฑลเสฉวนและพื้นที่ใกล้เคียง การที่สินค้าเกษตรของไทย โดยเฉพาะผลไม้สดที่เน่าเสียง่าย สามารถเดินทางไปถึงมือผู้บริโภคชาวจีนได้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ จึงถือเป็นแต้มต่อสำคัญที่จะช่วยขยายตลาดและสร้างรายได้มหาศาลให้กับเกษตรกรไทย
อย่างไรก็ตาม โอกาสที่เปิดกว้างนี้ย่อมมาพร้อมกับความท้าทายที่เกษตรกรต้องเตรียมรับมือ โดยเฉพาะโจทย์สำคัญในเรื่องมาตรฐานสินค้าและ การตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดปลายทางให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ในจุดนี้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่าง บล็อกเชน (Blockchain) จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ด้วยการบันทึกข้อมูลการผลิตและการขนส่งที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ เพื่อยืนยันว่าสินค้าที่ส่งไปนั้นมีคุณภาพและความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล ซึ่งหากเกษตรกรไทยสามารถปรับตัวและยกระดับกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับเงื่อนไขเหล่านี้ได้ ระบบรางสายไหมสายนี้ก็จะกลายเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจฐานรากของไทยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน
พิมพ์เขียวใหม่ประเทศไทยเมื่อคนรุ่นใหม่ใช้ปัญญาเปลี่ยนผืนดินให้เป็นทองคำ
งานประกาศผลรางวัลในปีนี้จึงมิใช่เป็นเพียงพิธีการมอบถ้วยรางวัลเพื่อเป็นเกียรติประวัติเท่านั้น หากแต่เป็นเสมือนสัญญาณที่ส่งเสียงไปทั่วสังคมไทยว่า ภาพลักษณ์ของเกษตรกรไทยได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาคือคนรุ่นใหม่ที่เปี่ยมไปด้วย การพัฒนาจากภายใน (Inner Development) ซึ่งหมายถึงการมีจิตใจที่เข้มแข็งและยืดหยุ่น พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนของธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกด้วยระบบความคิดที่แยบยลและซับซ้อน
ในวันนี้ ภาคการเกษตรของไทยไม่ได้ต้องการเพียงแค่แรงงานในการเพาะปลูกอีกต่อไป แต่กำลังโหยหา “นักจัดการแห่งอนาคต” ผู้มีความสามารถในการพลิกฟื้นผืนดินธรรมดาให้กลายเป็นทองคำ เปลี่ยนวิกฤติทางธรรมชาติให้กลายเป็นโอกาสทางธุรกิจ และแปรรูปขยะเหลือทิ้งให้กลายเป็นเม็ดเงิน สิ่งเหล่านี้คือบทพิสูจน์ว่าเกษตรกรรมยุคใหม่คือทางรอดที่แท้จริง และเป็นพิมพ์เขียวสำคัญที่จะเปลี่ยนบ้านเกิดให้กลายเป็นฐานที่มั่นทางเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืน เป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยต่อไปในอนาคต
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
เปิดฉาก gSIC 2025 เวทีนานาชาติเฟ้นหาสุดยอดนวัตกรรม ยกระดับคุณภาพชีวิตคนพิการและผู้สูงวัย
InnovestX เปิดตัว DR23 ‘ChiNext 50’ ครั้งแรก ให้คนไทยเข้าถึงหุ้นเทคฯ จีน 50 บริษัท




