ในยุคที่องค์กรต่างชาติเข้ามามีบทบาทในตลาดเทคโนโลยีไทย การที่บริษัทซอฟต์แวร์สัญชาติไทยจะก้าวขึ้นมาสร้างสรรค์นวัตกรรมของตัวเองและได้รับการยอมรับในระดับประเทศนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ STelligence บริษัทเทคโนโลยีที่คร่ำหวอดในวงการมานาน 14 ปี ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพวกเขากำลังก้าวสู่บทใหม่ที่ท้าทายและน่าจับตา จากเดิมที่เคยเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายซอฟต์แวร์จากต่างประเทศ
วันนี้พวกเขาได้พลิกบทบาทสู่การเป็นผู้พัฒนา AI เต็มตัว และสร้างความสำเร็จครั้งสำคัญ ด้วยการคว้ารางวัลใหญ่ถึง 2 รางวัลจากเวทีประกวด Thailand ICT Awards (TICTA) ครั้งที่ 21 ได้แก่ รางวัลชนะเลิศ หมวด Technology Award: Artificial Intelligence และ รางวัลชนะเลิศ ในหมวด Cross Category: Research and Development จากผลงาน Compliance Mapping Platform (CMP) ซึ่งถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของ “Growth Chapter” ครั้งสำคัญ
เมื่อ Gen AI ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย: กำเนิด CMP และเทคโนโลยี “กราฟ”
เบื้องหลังความสำเร็จของ STelligence คือการมองเห็นโอกาสใน Pain Point ที่องค์กรขนาดใหญ่และหน่วยงานภาครัฐต้องเผชิญ นั่นคือการจัดการกับเอกสารและข้อบังคับ (Compliance) จำนวนมหาศาลที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
CMP คือแพลตฟอร์มจัดการเอกสารที่ไม่ได้ใช้เพียง Generative AI ทั่วไป แต่ได้ผสานเทคโนโลยีที่เรียกว่า “กราฟ (Graph Technology)” เข้ามาเป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งถือเป็นบริษัทแรก ๆ ในไทยที่นำสองเทคโนโลยีนี้มาทำงานร่วมกันอย่างจริงจัง
หลักการทำงานของ CMP คือการใช้ Gen AI อ่านและสกัดข้อมูลจากเอกสารสองชุด ชุดแรกคือ ข้อบังคับภายนอก เช่น ประกาศจากธนาคารแห่งประเทศไทย หรือมาตรฐานสากลต่างๆ และอีกชุดคือ ข้อมูลภายในองค์กร เช่น นโยบายและกระบวนการทำงาน จากนั้น เทคโนโลยีกราฟจะเข้ามาทำหน้าที่ค้นหาความสัมพันธ์เชิงลึกระหว่างข้อมูลทั้งสองฝั่ง ทำให้สามารถวิเคราะห์ช่องว่าง (Gap Analysis) ได้อย่างแม่นยำว่าองค์กรจะต้องปรับปรุงส่วนไหนเพื่อให้สอดคล้องกับข้อบังคับภายนอก
สุชญา นฤธนปกรณ์ Program Manager and Business Transformation Lead บริษัท เอสที เทเลลิเจนซ์ จำกัด กล่าวว่า “เรามีความเชื่อว่า Gen AI อาจมีความฟุ้ง (Hallucinate) อยู่บ้าง การมีเทคโนโลยีกราฟเข้ามาช่วย จะทำให้ผลลัพธ์มีความแม่นยำสูงขึ้น เพราะมันคือการหาความสัมพันธ์ของข้อมูลจริงๆ นี่คือ Core Technology ของเรา”
พิสูจน์ฝีมือด้วยโปรเจกต์ระดับชาติ: เทียบชั้นกฎหมายไทยสู่มาตรฐานสากล
ความท้าทายที่พิสูจน์ศักยภาพของ CMP ได้อย่างชัดเจน คือโครงการที่ทำร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ในการเปรียบเทียบกฎหมายไทยนับแสนฉบับกับมาตรฐานสากลของ OECD เพื่อจัดทำรายงานเสนอต่อประเทศฝรั่งเศส
“ความยากคือเราต้องจัดการกับเอกสารกฎหมายไทยนับแสนฉบับ และต้องเข้าใจความสัมพันธ์ในระดับมาตรา” สุชญาอธิบาย “เทคโนโลยีกราฟทำให้เราสามารถสร้างความเชื่อมโยงระหว่างกฎหมายแต่ละมาตราได้อย่างแม่นยำ แม้จะมีความซับซ้อนทางภาษาและบริบทเฉพาะทาง ซึ่งนี่คือจุดที่ท้าทายที่สุดและทำให้เราได้รับรางวัล”
ความสำเร็จจากโครงการนี้สะท้อนให้เห็นว่าศักยภาพของ CMP ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในภาคธุรกิจ แต่สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกอุตสาหกรรมที่มีกฎระเบียบข้อบังคับ ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งระหว่างประเทศ, การค้า, โรงงาน, การลงทุน, การแพทย์ หรือแม้แต่ภาคการเงินและการธนาคาร
การเดินทาง 14 ปี: จากผู้ขายสู่ผู้สร้าง และความท้าทายใหม่
STelligence ไม่ได้เพิ่งกระโดดเข้าสู่สนาม AI ตามกระแส แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ตั้งอยู่บนรากฐานที่แข็งแกร่งกว่าทศวรรษ ดร.สันติสุข ลิ้มปีติเจริญโชติ CEO ของ STelligence ได้ให้ภาพการเดินทางครั้งสำคัญนี้ว่า 12 ปีแรก บริษัทเติบโตในฐานะผู้ให้บริการโซลูชันด้าน Data, Cybersecurity และ Automation โดยเป็นผู้นำเข้าซอฟต์แวร์จากต่างประเทศ ทำให้มีความเข้าใจในความต้องการของลูกค้าระดับ Enterprise และมีองค์ความรู้ด้านการจัดการข้อมูลที่ลึกซึ้ง
ในช่วง 2 ปีล่าสุด การมาถึงของ AI กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้บริษัทตัดสินใจสร้างผลิตภัณฑ์ของตัวเอง “AI ทำให้เราสร้างซอฟต์แวร์ได้ง่ายขึ้น ประกอบกับองค์ความรู้ที่เราสะสมมา 12 ปี มันจึงเป็นเวลาที่ใช่ที่เราจะต้องทำซอฟต์แวร์ของตัวเอง” ดร.สันติสุขกล่าว เพื่อตอกย้ำทิศทางใหม่นี้ บริษัทได้สร้างแบรนด์ย่อยในชื่อ “STEL.AI” ขึ้นมาเพื่อดูแลกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้าน AI โดยเฉพาะ เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงการเริ่มต้นภารกิจใหม่อย่างเต็มตัว
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนบทบาทครั้งนี้ต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญ นั่นคือทัศนคติของตลาดที่มักให้ความเชื่อมั่นกับซอฟต์แวร์ต่างชาติมากกว่า “เวลาเราเอาซอฟต์แวร์คนไทยไปขายคนไทยด้วยกัน จะเจอความรู้สึกว่ามีคุณค่าหรือมาตรฐานไม่เทียบเท่าของต่างประเทศ การที่เราตัดสินใจเข้าประกวดและได้รับรางวัล เพื่อยกระดับและพิสูจน์ให้เห็นว่าซอฟต์แวร์ไทยมีคุณภาพไม่แพ้ใคร”
เบื้องหลังการทรานส์ฟอร์มครั้งนี้ ยังขับเคลื่อนด้วยปรัชญาที่เชื่อว่า “ทุกคนคือ AI Engineer” โดยไม่จำเป็นต้องมาจากสาย IT โดยตรง เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าคือความเข้าใจในธุรกิจอย่างลึกซึ้ง แล้วจึงนำ AI เข้ามาเป็นเครื่องมือเสริม ด้วยเหตุนี้ ในช่วงเริ่มต้นบริษัทจึงไม่ได้เร่งขยายการเติบโตเชิงพาณิชย์ แต่ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา (R&D) โดยใช้โจทย์จากลูกค้าแต่ละรายมาต่อยอดและพัฒนาผลิตภัณฑ์หลักให้แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งเป็นแนวทางที่เน้นการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนในระยะยาว
ก้าวต่อไป: ไม่ใช่แค่ 1 แต่คือ 12 อุตสาหกรรม เพื่อปฏิรูปประเทศไทย
วิสัยทัศน์ของ STelligence ไม่ได้หยุดอยู่แค่ความสำเร็จของ CMP แต่พวกเขามองไกลไปถึงการนำ AI เข้าไปแก้ปัญหาใน 12 อุตสาหกรรมหลัก ที่มีผลกระทบสูงต่อประเทศ เช่น การศึกษา เกษตรกรรม การท่องเที่ยว กฎหมาย และภาครัฐ
“เราไม่ได้เลือกแค่อุตสาหกรรมที่มีเงิน แต่เราเลือกอุตสาหกรรมที่ต้องการความช่วยเหลือ ประเทศไทยอยู่ในจุดที่ถ้าไม่รีบทรานส์ฟอร์มตอนนี้ เราจะล้าหลังกว่าประเทศอื่นมาก” ดร.สันติสุขเน้นย้ำ
เขายังมองว่า การที่ STelligence ก้าวมาเป็นผู้บุกเบิก (First Mover) ไม่ใช่เพื่อความได้เปรียบทางธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่เพื่อพิสูจน์ให้ตลาดเห็นว่า “คนไทยก็ทำได้” ซึ่งจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้เกิดผู้พัฒนา AI สัญชาติไทยรายอื่น ๆ ตามมา อันจะนำไปสู่การสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ด้านเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งขึ้นทั้งประเทศ
เป้าหมายต่อไปคือการขยายสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ซึ่งความเชี่ยวชาญด้านความหลากหลายทางภาษาและกฎระเบียบอันซับซ้อนจะกลายเป็นข้อได้เปรียบสำคัญ เพราะสิ่งที่เป็น “กำแพง” สำหรับบริษัท AI จากโลกตะวันตก กลับเป็น “โอกาส” สำหรับ STelligence ที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถรับมือกับความท้าทายลักษณะนี้ได้เป็นอย่างดี
การคว้ารางวัลในครั้งนี้ จึงไม่ใช่บทสรุปของความสำเร็จ แต่เป็นเพียงการเปิดฉาก “Growth Chapter” ของ STelligence ที่พร้อมจะพิสูจน์ว่า นวัตกรรมและซอฟต์แวร์ที่สร้างโดยคนไทย ก็สามารถก้าวไกลและสร้างการเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
AI เพื่อนรัก…หรือภัยเงียบ? เจาะลึกความสัมพันธ์มนุษย์-ปัญญาประดิษฐ์ผ่านมุมมองจิตแพทย์
‘Inspecta’ AI สัญชาติไทยคว้า 2 รางวัล TICTA ตั้งเป้าสู่ยูนิคอร์น
