Share on
×

Share

สหฟาร์ม ผนึก Cobb คืนชีพตำนาน ปักหมุดรายได้แสนล้าน

สหฟาร์ม ผนึก Cobb คืนชีพตำนาน ปักหมุดรายได้แสนล้าน

การกลับมาจับมือกันอีกครั้งในรอบหลายปีระหว่าง สหฟาร์ม ผู้นำการส่งออกไก่สดอันดับหนึ่งของไทย และ Cobb บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านสายพันธุ์ไก่เนื้อระดับโลก ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 109 ปี ไม่ใช่เป็นเพียงการลงนามในสัญญาธุรกิจทั่วไป แต่คือการ “คืนชีพ” ตำนานความร่วมมือที่หยั่งรากลึกกว่า 3 ทศวรรษ การผนึกกำลังครั้งประวัติศาสตร์นี้ ขับเคลื่อนด้วยเจตนารมณ์ของ ดร.ปัญญา โชติเทวัญ ผู้ก่อตั้ง และภารกิจของทายาทรุ่นที่ 2 ที่ตั้งเป้าทะยานสู่รายได้ “แสนล้านบาท” ภายใน 10 ปี

เบื้องหลังพิธีลงนามที่ดูเรียบง่าย คือเรื่องราวความมุ่งมั่นของ ดร.จารุวรรณ โชติเทวัญ ประธานสายการตลาดต่างประเทศ บัญชี การเงิน และเลขานุการประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหฟาร์ม จำกัด (SAHA FARMS)

ที่ใช้เวลากว่า 3 ปีในการเจรจาเพื่อฟื้นความสัมพันธ์นี้กลับคืนมา หลังจากสัญญาต้องหยุดชะงักไปในช่วงที่บริษัทเข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการ

ดร.จารุวรรณ โชติเทวัญ ประธานสายการตลาดต่างประเทศ บัญชี การเงิน และเลขานุการประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหฟาร์ม จำกัด (SAHA FARMS)
ดร.จารุวรรณ โชติเทวัญ ประธานสายการตลาดต่างประเทศ บัญชี การเงิน และเลขานุการประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหฟาร์ม จำกัด (SAHA FARMS)

“ดิฉันใช้เวลากว่า 3 ปีในการเจรจาเพื่อฟื้นฟูและนำสิ่งสำคัญนี้กลับมา เพื่อเป็นเกียรติแก่คุณพ่อ (ดร.ปัญญา) และบริษัทสหฟาร์มอีกครั้ง” ดร.จารุวรรณกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมความหมาย นี่คือจุดเริ่มต้นที่สะท้อนว่า ดีลครั้งนี้มีความสำคัญมากกว่าแค่เรื่องธุรกิจ แต่คือการสานต่อ “มรดก” และ “วิสัยทัศน์” ของผู้เป็นพ่อ

การกลับมาของตำนาน: จาก “หนึ่งเดียว” สู่พันธมิตรเชิงกลยุทธ์

ความร่วมมือระหว่างสหฟาร์มและ Cobb ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่คือการฟื้นคืนชีพตำนานความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่หยั่งรากลึกยาวนานกว่า 3 ทศวรรษ ซึ่งริเริ่มโดยผู้ก่อตั้งอย่าง ดร.ปัญญา โชติเทวัญ ในยุคแรกเริ่มนั้น สหฟาร์มเคยดำรงสถานะเป็น Sole Distributor หรือตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวของ Cobb ในประเทศไทย สะท้อนถึงความไว้วางใจและสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นในฐานะพันธมิตรรายแรกและรายสำคัญที่สุดในประเทศ อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือดังกล่าวได้หยุดชะงักไปในช่วงที่บริษัทเข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนที่เปิดโอกาสให้ตลาดมีการแข่งขันและมีผู้เล่นรายใหม่เกิดขึ้น

การกลับมาจับมือกันอีกครั้งในวันนี้จึงมีบริบทที่เปลี่ยนไป สหฟาร์มไม่ได้กลับมาในฐานะ “หนึ่งเดียว” เหมือนในอดีต แต่เข้ามาเป็นหนึ่งในพันธมิตรเชิงกลยุทธ์รายสำคัญ ท่ามกลางผู้เล่นรายใหญ่อื่น ๆ ที่ Cobb ได้ร่วมมือด้วยในประเทศไทย ทั้งในรูปแบบ Distributor เช่นเดียวกับสหฟาร์ม ที่มีสิทธิ์ในการจำหน่ายพ่อแม่พันธุ์ให้กับลูกค้ารายอื่นในประเทศ และรูปแบบ “Producer Agreement” ที่เป็นการผลิตเพื่อใช้ในองค์กรของตนเองเท่านั้น ภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนไปนี้สะท้อนถึงตลาดอุตสาหกรรมสัตว์ปีกในไทยที่เติบโตและซับซ้อนขึ้น

ภายใต้ข้อตกลงใหม่ซึ่งมีระยะเวลาสัญญา 5 ปีและสามารถต่ออายุได้โดยอัตโนมัติ เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างความร่วมมือระยะยาว สำหรับสหฟาร์ม นี่คือภารกิจในการสานต่อมรดกและวิสัยทัศน์ของผู้เป็นพ่อ ส่วนสำหรับ Cobb การตัดสินใจครั้งนี้เป็นเรื่องง่ายดาย ดังที่ผู้บริหารกล่าวว่ามาจาก ความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ที่ยอดเยี่ยม และความร่วมมืออันดีที่มีมาโดยตลอด การกลับมาครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การเริ่มต้นใหม่ แต่คือการต่อยอดตำนานบนรากฐานแห่งความไว้วางใจที่แข็งแกร่งกว่าเดิม

หัวใจสำคัญของการเป็นตัวแทนจำหน่าย คือการที่สหฟาร์มสามารถเข้าถึงและกุม “ต้นน้ำ” ของการผลิตไก่เนื้อทั้งหมด นั่นคือ “ปู่ย่าพันธุ์” (Grandparent Stock – GP) ซึ่งเปรียบเสมือน “หัวเชื้อ” ทางพันธุกรรม การมีความมั่นคงในส่วนนี้หมายถึงการวางแผนการผลิตในระยะยาวได้อย่างแม่นยำ และลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนพ่อแม่พันธุ์ ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อสายพานการผลิตทั้งหมด

“เมื่อไหร่ก็ตามที่เราไม่มี GP มันก็จะทำให้ธุรกิจของเราไม่สมบูรณ์” ดร.จารุวรรณย้ำถึงความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์

สานต่อเจตนารมณ์… สู่เป้าหมายแสนล้าน

จากฐานรายได้ปัจจุบันราว 34,000 ล้านบาทต่อปี สหฟาร์มตั้งเป้าหมายที่ท้าทายในการสร้างการเติบโตสู่ระดับ 100,000 ล้านบาท ภายในไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า ซึ่งการรักษาความมั่นคงด้านสายพันธุ์คือจิ๊กซอว์ชิ้นแรกที่สำคัญที่สุด หนึ่งในกลยุทธ์ที่จับต้องได้คือการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถสร้างมูลค่ามหาศาลได้ โดยสหฟาร์มคาดว่าการจัดการฟาร์มที่ดีขึ้นจะทำให้ได้ผลผลิตลูกไก่เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2% ซึ่งคิดเป็นจำนวนลูกไก่ถึง 60 ล้านตัวต่อปี หรือสร้างรายได้เพิ่มขึ้นนับพันล้านบาท นี่คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าการมีสายพันธุ์ที่ดีและการจัดการที่เป็นเลิศคือหัวใจของการเติบโต

ยุทธศาสตร์สำคัญขั้นแรกคือการเข้ากุม “ต้นน้ำ” ของสายพานการผลิตให้สมบูรณ์อีกครั้ง การมีความมั่นคงในการเข้าถึงสายพันธุ์ไก่ปู่ย่า (GP) คุณภาพสูงจาก Cobb ช่วยขจัดความเสี่ยงด้านการขาดแคลนวัตถุดิบหลัก ทำให้สหฟาร์มสามารถวางแผนการขยายกำลังการผลิตในระยะยาวได้อย่างมั่นใจ โดยมีแผนที่จะเพิ่มปริมาณการผลิตจากปัจจุบันที่ประมาณ 800,000 ตัวต่อวัน มุ่งสู่ 1 ล้านตัวต่อวันและขยายต่อไปในอนาคต เพื่อรองรับตลาดส่งออกที่ยังคงเป็นเป้าหมายหลัก

อย่างไรก็ตาม เส้นทางสู่แสนล้านไม่ได้อาศัยเพียงการเพิ่มปริมาณ แต่ยังมาจากการเพิ่มประสิทธิภาพอย่างมีนัยสำคัญ ดร.มนูญศรีโชติเทวัญประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหฟาร์ม จำกัด และบริษัทในเครือ กล่าวว่า ความร่วมมือกับ Cobb และการปรับปรุงการจัดการฟาร์มที่กำลังจะเกิดขึ้น คาดว่าจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตลูกไก่ได้ทันทีอย่างน้อย 2% ซึ่งแม้จะดูเป็นตัวเลขที่ไม่สูง แต่ในสเกลการผลิตของสหฟาร์มนั้นหมายถึงจำนวนลูกไก่ที่เพิ่มขึ้นถึง 60 ล้านตัวต่อปี เมื่อคำนวณจากราคาตลาด ตัวเลขนี้สามารถแปรเปลี่ยนเป็นรายได้ที่เพิ่มขึ้นกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี ได้อย่างไม่ยากเย็น นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่าการผนึกกำลังครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงสัญญาทางใจ แต่คือเครื่องยนต์ที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทได้ในทันที เพื่อเป็นแรงส่งให้ภารกิจการสานต่อเจตนารมณ์ครั้งนี้ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ได้สำเร็จ

เบื้องหลังยักษ์ใหญ่ Cobb: ปรัชญา‘เป็ดลอยน้ำ’ และคุณค่าที่เหนือกว่าธุรกิจ

เชลบี วัตคินส์ (Shelby Watkins) ประธานกรรมการ บริษัท คอบบ์-แวนเทรส อิงค์ (Cobb-Vantress, Inc.) ประเทศสหรัฐอเมริกา ย้ำว่า Cobb มองหาพันธมิตรที่ขับเคลื่อนด้วย “คุณค่า” (Value Driven) มากกว่าแค่ “ผลประโยชน์” (Transactional) และเหตุผลสำคัญที่เลือกสานต่อความร่วมมือกับสหฟาร์มคือ “ความรับผิดชอบ” (Accountability) ที่พิสูจน์มาอย่างยาวนาน “เมื่อสหฟาร์มบอกว่าจะทำอะไร พวกเขาก็จะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ”

เขายังได้ให้ภาพการพัฒนานวัตกรรมของ Cobb ไว้อย่างน่าสนใจว่า “เหมือนเป็ดที่ลอยน้ำ มองจากข้างบนเหมือนนิ่ง แต่ใต้น้ำเท้าขยับตลอดเวลา” เปรียบกับการพัฒนาสายพันธุ์ที่ต้องใช้เวลาวิจัยเบื้องหลังนาน 4-5 ปี กว่าจะเห็นผลสู่ตลาด ปัจจุบัน Cobb กำลังจะเปิดตัวสายพันธุ์ “Next Generation” ในเดือนมกราคม 2569 ซึ่งจะมาต่อยอดความสำเร็จของสายพันธุ์ Cobb 500 ที่ครบรอบ 40 ปีในปีนี้

นอกจากพันธุกรรมแล้ว Cobb ยังนำเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาใช้ในการวิจัย เช่น การใช้เทคโนโลยีภาพ (Vision Technology) เพื่อวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของไก่ หรือการสแกนเพื่อทำความเข้าใจโครงสร้างกระดูก ซึ่งจะช่วยให้การคัดเลือกสายพันธุ์มีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เมื่อถูกถามถึงโปรตีนทางเลือก (Alternative Protein) Cobb แสดงความเชื่อมั่นว่า “วันนี้เนื้อไก่ยังคงอร่อยและราคาจับต้องได้” และจะยังคงเป็นโปรตีนหลักของผู้บริโภคต่อไป

การที่ Cobb บริษัทสายพันธุ์ไก่เนื้อที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าศตวรรษ เลือกที่จะฟื้นคืนความสัมพันธ์กับสหฟาร์มนั้น มีรากฐานมาจากปรัชญาการดำเนินธุรกิจที่ลึกซึ้งกว่าแค่ผลประโยชน์ทางการค้าเชลบี้วอล์คกินส์ประธานของ Copventures (Cobb) กล่าวว่า Cobb ขับเคลื่อนด้วย “คุณค่า” (Value Driven) มากกว่าการมุ่งเน้นเพียงผลประโยชน์ทางธุรกิจ (Transactional) เนื่องจากธุรกิจสายพันธุ์ต้องอาศัยความมุ่งมั่นและไว้วางใจในระยะยาวจากทั้งสองฝ่าย คุณค่าหลัก 4 ประการที่เป็นเสาหลักขององค์กร ได้แก่ ครอบครัว (ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่อยากให้เขาปฏิบัติต่อเรา) ความเป็นเลิศ (เป็นมากกว่าที่หนึ่ง แต่คือความมุ่งมั่นในคุณภาพ) ความซื่อสัตย์ (ความจริงและความโปร่งใส) และ นวัตกรรม

ซึ่งคุณค่าเหล่านี้คือสิ่งที่ Cobb มองหาในพันธมิตร และเหตุผลสำคัญที่การตัดสินใจร่วมมือกับสหฟาร์มอีกครั้งเป็นเรื่องง่าย ก็คือ “ความรับผิดชอบ” (Accountability) ที่พิสูจน์มาอย่างยาวนาน ดังที่เขากล่าวว่า “เมื่อสหฟาร์มบอกว่าจะทำอะไร พวกเขาก็จะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ”

ในมิติของนวัตกรรม เชลบี้ได้ให้ภาพที่น่าสนใจผ่านปรัชญา “เป็ดลอยน้ำ” เขาเปรียบเทียบการทำงานวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ว่า “เหมือนเป็ดที่ลอยน้ำ มองจากข้างบนเหมือนนิ่ง แต่ใต้น้ำเท้าขยับตลอดเวลา” สะท้อนให้เห็นว่าแม้ภายนอกอาจดูเหมือนการเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างเชื่องช้า แต่เบื้องหลังนั้นมีการคัดเลือกและพัฒนาสายพันธุ์อย่างไม่หยุดนิ่ง ซึ่งกระบวนการนี้ต้องใช้เวลานานถึง 4-5 ปี กว่าที่นวัตกรรมทางพันธุกรรมที่ยอดเยี่ยมที่สุดจะเดินทางมาถึงฟาร์มของลูกค้า

เมื่อมองไปที่ภาพรวมอุตสาหกรรม Cobb มีมุมมองที่มั่นคงต่ออนาคต แม้จะเผชิญกับกระแส “โปรตีนทางเลือก” (Alternative Protein) พวกเขายังคงเชื่อมั่นในจุดแข็งของผลิตภัณฑ์ โดยให้ทรรศนะว่า “วันนี้เนื้อไก่ยังคงอร่อยและราคาจับต้องได้” ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงต้องการ

นอกจากนี้ Cobb ยังมองว่าอุตสาหกรรมอาหารจะยังคงเติบโตควบคู่ไปกับจำนวนประชากรโลก และเนื้อสัตว์ปีกอยู่ในจุดที่ได้เปรียบเนื่องจากราคาที่เข้าถึงง่ายและสามารถตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แม้แต่ในประเด็นสังคมสูงวัย (Aging Society) มร.เชลบี้มองว่าการเปลี่ยนแปลงทางประชศาสตร์นั้นเกิดขึ้นช้าพอที่ภาคธุรกิจจะสามารถปรับตัวและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ (เช่น เนื้อไก่แปรรูป, นักเก็ต) ให้ตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนไปได้ทันท่วงที

พร้อมกันนี้ เขายังได้ฝาก “ความท้าทายถึงคนรุ่นต่อไป” ให้ช่วยกันสื่อสารคุณประโยชน์และความสำคัญของภาคเกษตรกรรมให้สังคมในเมืองได้เข้าใจมากขึ้น เพื่อลดช่องว่างและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับแหล่งที่มาของอาหารต่อไป

กางแผนอนาคต: สู่ Smart Farming และฟาร์มประสิทธิภาพสูง

เบื้องหลังความร่วมมือครั้งสำคัญนี้ สหฟาร์มได้วางยุทธศาสตร์การเติบโตแห่งอนาคตไว้อย่างชัดเจนและรอบคอบผ่านแผนการลงทุนสองระยะที่ต่อเนื่องกัน โดยเริ่มต้นจากการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งก่อนจะก้าวกระโดดสู่เทคโนโลยีขั้นสูง

ในระยะสั้นสำหรับปี 2569 บริษัทได้เตรียมงบประมาณเพื่อก่อสร้างโรงเรือนสำหรับเลี้ยงไก่ปู่ย่าพันธุ์ (GP) เพิ่มอีก 2 หลัง ซึ่งสามารถรองรับไก่ได้รวม 16,000 ตัว ทว่าหัวใจของการลงทุนครั้งนี้ไม่ได้อยู่ที่การเพิ่มปริมาณไก่ในทันที แต่เป็นการเดิมพันที่ประสิทธิภาพและความปลอดภัยทางชีวภา เป็นหลัก เนื่องจากโรงเรือนใหม่จะช่วยให้สามารถยืดระยะเวลาพักเล้าให้นานขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดวงจรเชื้อโรคและลดความเสี่ยง

การจัดการที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นนี้คาดว่าจะส่งผลให้ได้ผลผลิตลูกไก่เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2% แม้จะยังคงจำนวนไก่ปู่ย่าพันธุ์ไว้เท่าเดิมก็ตาม โดยโรงเรือนใหม่นี้จะถูกสร้างภายใต้ระบบ Compartmentalization ที่ทันสมัยและพร้อมสำหรับการต่อยอดสู่ระบบอัจฉริยะในอนาคต

สำหรับแผนระยะยาวซึ่งเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญ จะเริ่มต้นขึ้นหลังปี 2570 เมื่อบริษัทได้ชำระหนี้สินต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว สหฟาร์มมีแผนที่จะทุ่มเม็ดเงินลงทุนระดับหลายพันล้านบาทเพื่อดำเนินโครงการ “Smart Farming” อย่างเต็มรูปแบบ โดยจะเป็นการสร้างฟาร์มแห่งใหม่ทั้งหมดที่นำเทคโนโลยีอัตโนมัติเข้ามาเป็นหัวใจหลักของกระบวนการผลิต

วิสัยทัศน์ของฟาร์มอัจฉริยะแห่งนี้มุ่งเน้นการปฏิวัติรูปแบบการทำงานเพื่อลดการพึ่งพาแรงงานคน เพิ่มผลผลิตต่อพื้นที่ให้สูงขึ้น และยกระดับการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยให้มีความแม่นยำสูงสุด ยุทธศาสตร์สองระยะนี้จึงสะท้อนภาพการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืน โดยเริ่มจากการเสริมความแข็งแกร่งของฐานการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ก่อนจะทะยานสู่อนาคตด้วยเทคโนโลยีที่จะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระดับโลกต่อไป

เติบโตอย่างยั่งยืน: เมื่อ “Saha Go Green” คืออีกหนึ่งหัวใจ

นอกเหนือจากยุทธศาสตร์การเติบโตทางธุรกิจที่มุ่งสู่รายได้แสนล้าน สหฟาร์มยังให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างยั่งยืนในฐานะอีกหนึ่งหัวใจหลักขององค์กร โดยขับเคลื่อนผ่านโครงการ “Saha Go Green” ซึ่งสะท้อนความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม

บริษัทได้จับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อลงทุนในโครงการพลังงานสะอาดขนาดใหญ่ โดยได้ดำเนินโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ครบทั้ง 3 รูปแบบ คือ โซลาร์ฟาร์ม (Solar Farm) โซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) และโซลาร์ลอยน้ำ (Solar Floating) ซึ่งโครงการทั้งหมดนี้ได้ก่อสร้างเสร็จสิ้นและดำเนินการแล้ว

ผลลัพธ์จากการลงทุนด้านพลังงานสะอาดนี้นับว่าน่าประทับใจอย่างยิ่ง โดยสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของบริษัทได้ถึง 35,000 ตันต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้มากถึง 2 ล้านต้น เป็นการแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในสเกลที่จับต้องได้

ยิ่งไปกว่านั้น แนวคิดเรื่องความยั่งยืนยังครอบคลุมไปถึงการจัดการของเสียในฟาร์ม โดยเฉพาะมูลไก่ ซึ่งบริษัทกำลังศึกษาแนวทางการนำไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ปัจจุบัน สหฟาร์มได้นำมูลไก่ไปผลิตและจำหน่ายเป็นปุ๋ยคุณภาพสูงให้แก่เกษตรกร ซึ่งเป็นแนวทางที่สร้างผลตอบแทนได้ดี เนื่องจาก “มูลไก่จากฟาร์มปู่ย่าพันธุ์และพ่อแม่พันธุ์มีมูลค่าสูงกว่ามูลไก่เนื้อ” ทำให้การขายเป็นปุ๋ยยังคงเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าที่สุดในเชิงเศรษฐกิจ

ขณะเดียวกันบริษัทก็กำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการนำมูลไก่ไปต่อยอดเป็นพลังงานชีวมวล (Biomass) หรือพลังงานทดแทนรูปแบบอื่นในอนาคต สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางการบริหารจัดการที่ทั้งมองการณ์ไกลและตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสมเหตุสมผลทางธุรกิจ เพื่อให้การเติบโตของสหฟาร์มเป็นไปอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในทุกมิติ

การผนึกกำลังระหว่างสหฟาร์มและ Cobb จึงเป็นมากกว่าข้อตกลงทางธุรกิจ แต่คือการวางรากฐานแห่งอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วยสองพลังสำคัญ คือการสานต่อมรดกของผู้ก่อตั้ง และการมุ่งทะยานสู่เป้าหมายทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ ทว่าในภาพที่ใหญ่กว่านั้น ความร่วมมือนี้ยังสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ที่มองไปไกลกว่าขอบเขตขององค์กร ดังที่ผู้บริหารของ Cobb ได้ฝากเป็นความท้าทายถึงคนรุ่นต่อไป ในการสื่อสารคุณค่าและความสำคัญของภาคเกษตรกรรมให้สังคมที่ห่างไกลจากฟาร์มได้เข้าใจมากขึ้น ดังนั้น การกลับมาจับมือกันในครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่การสร้างความมั่นคงให้กับธุรกิจของตนเอง แต่ยังเป็นการส่งเสียงยืนยันถึงความมุ่งมั่นที่จะเป็นกำลังหลักในการสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับโลกต่อไปในอนาคต

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

OMODA & JAECOO ทุ่ม 5 พันล้านปักหมุดโรงงาน EV ในไทยฉลองครบรอบ 1 ปี

YouTube Shopping: ถอดรหัส The Art of Influence กลยุทธ์ปั้นยอดขายด้วย Creator

×

Share

ผู้เขียน