ในยุคที่เทคโนโลยีการเงินกำลังเปลี่ยนโลก บีม (Beam) ฟินเทคสตาร์ตอัพสัญชาติไทย ไม่ได้เพียงเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่กำลังประกาศภารกิจครั้งสำคัญ นั่นคือการผลักดันประเทศไทยให้ก้าวสู่สังคมไร้เงินสดให้ได้ถึง 90% ภายในปี 2030
วิสัยทัศน์ที่ท้าทายนี้ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลข แต่คือการปลดล็อกศักยภาพทางเศรษฐกิจมหาศาล พร้อมเปิดตัว “Bolt Plus” (Bolt+)อุปกรณ์รับชำระเงินอัจฉริยะ ที่ถูกวางให้เป็น “อาวุธสำคัญ” ในมือผู้ประกอบการ เพื่อร่วมขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์นี้ไปด้วยกัน
“เงินสดคือต้นทุน” โจทย์ใหญ่ที่ต้องปลดล็อก
หัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อน Beam คือปรัชญาที่ว่า เงินสดมีต้นทุนสูงกว่าที่คิด (Cash is Expensive) ซึ่งเป็นต้นทุนแฝงที่ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจ
ชัยชนะ วารีเกษม ประธานกรรมการบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง Beam กล่าวว่า แม้ปัจจุบันธุรกรรมเงินสดในไทยจะมีสัดส่วนสูงถึง 55% แต่การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลคือความจำเป็นเร่งด่วน โดยมีรากฐานที่แข็งแกร่งจากอัตราการใช้ Mobile Banking ของไทยที่สูงที่สุดในโลกถึง 97% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต
“ปัจจุบันผู้บริโภคทั่วโลกหันมาใช้จ่ายผ่านธุรกรรมไร้เงินสดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการพัฒนาเทคโนโลยีการเงิน เราจึงเชื่อว่าประเทศไทยสามารถก้าวสู่สังคมไร้เงินสดได้ถึง 90% ภายในปี 2030 หรือหมายถึง 90% ของธุรกรรมการชำระเงินทั้งหมดจะอยู่ในรูปแบบดิจิทัล”
ต้นทุนของเงินสดที่ Beam ต้องการจะลดทอนนั้นแฝงอยู่ทุกระดับ ตั้งแต่ ฝั่งธุรกิจ ที่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการเงินทอน ความเสี่ยงจากการสูญหายหรือผิดพลาด ไปจนถึง ฝั่งผู้บริโภค ที่เผชิญความไม่สะดวกในการพกพาและต้นทุนแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ขณะเดียวกัน ฝั่งธนาคาร ก็มีต้นทุนมหาศาลในการจัดการธนบัตรและบำรุงรักษาตู้ ATM ตลอดจน ฝั่งภาครัฐ ที่ต้องรับผิดชอบต้นทุนการพิมพ์ธนบัตรและการควบคุมเงินในระบบ
หากประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการชำระเงินดิจิทัล 90% ได้สำเร็จ คาดว่าจะสามารถ ประหยัด “ต้นทุนเศรษฐกิจ” ได้สูงถึง 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 48,341 ล้านบาท) ลดจำนวนตู้ ATM ลงได้ 80% และลดอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับเงินสดลงได้อย่างมีนัยสำคัญ
Bolt+: คำตอบที่เป็นรูปธรรมสำหรับทุกธุรกิจ

เพื่อทำให้วิสัยทัศน์ดังกล่าวเป็นจริง Beam ได้เปิดตัว Bolt+ อุปกรณ์รับชำระเงินที่ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องรูดบัตร แต่คือโซลูชันที่ถูกออกแบบมาเพื่อทลายทุกข้อจำกัด ณ จุดขาย ภายใต้แนวคิด “เครื่องเดียวครบจบ” ด้วย 5 จุดเด่นที่ทรงพลัง ได้แก่ 1. การรองรับทุกรูปแบบการจ่ายเงินอย่างครบครัน ตั้งแต่บัตรเครดิต เดบิต QR พร้อมเพย์ การผ่อนชำระกับ 7 ธนาคารชั้นนำ ไปจนถึง E-Wallet ยอดนิยม 2. การคิดค่าธรรมเนียมที่โปร่งใส โดยฟรีสำหรับ QR พร้อมเพย์ และเริ่มต้นเพียง 1.8% สำหรับบัตร โดยไม่มีค่าใช้จ่ายแอบแฝง 3. การออกแบบที่ตอบโจทย์ทุกสถานการณ์ ด้วยน้ำหนักเบาเพียง 150 กรัม ทำให้ใช้ได้ทั้งบนเคาน์เตอร์และแบบเคลื่อนที่ 4. ความสามารถในการเชื่อมต่อแบบไร้รอยต่อกับระบบ POS และตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติผ่านเทคโนโลยี “IP Pairing Mechanism” และ 5. ความปลอดภัยมาตรฐานสากล ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย
“Cashless Club”: กลยุทธ์สร้างการมีส่วนร่วมและขับเคลื่อนสังคม
Beam ตระหนักดีว่าการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดการมีส่วนร่วม จึงได้ริเริ่มโครงการ “Cashless Club” เพื่อสร้างแรงจูงใจและมอบเครื่องหมายแห่งความภูมิใจ “Badge of Honour” ให้กับร้านค้าที่พร้อมปรับตัว
โดยมีเกณฑ์การให้รางวัลเป็นดาวตามสัดส่วนการรับชำระเงินดิจิทัล รางวัลเริ่มต้นที่ ระดับ 1 ดาว สำหรับร้านที่มียอดรับชำระดิจิทัลเกิน 10% จะได้รับส่วนลดค่าเครื่อง Bolt+ 5% ขยับขึ้นเป็น ระดับ 2 ดาว เมื่อมียอดเกิน 50% ซึ่งจะได้รับส่วนลดเพิ่มเป็น 10% และ ระดับสูงสุดคือ 3 ดาว สำหรับร้านค้าไร้เงินสด 100% จะได้รับส่วนลดถึง 15% พร้อมสิทธิพิเศษในการรับเครื่อง Bolt+ ฟรีทันทีเมื่อมีการเปิดสาขาใหม่ กลยุทธ์นี้ไม่เพียงกระตุ้นให้เกิดการยอมรับในวงกว้าง แต่ยังสร้างชุมชนของร้านค้าที่พร้อมเติบโตไปกับเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเปิดกว้างให้ทุกร้านค้าสามารถเข้าร่วมได้ แม้ไม่ใช่ลูกค้าของ Beam
สำหรับผู้ประกอบการที่พร้อมจะเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง สามารถสั่งจอง Bolt+ ล่วงหน้าได้ในราคา 4,490 บาท โดยจะเริ่มจัดส่งในเดือนตุลาคม 2568 และสามารถเข้าร่วม Cashless Club ได้ทันที ผ่านเว็บไซต์ทางการของ Beam
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Token X เปิดตัว ‘NOBLX’ แพลตฟอร์มโทเคนไนซ์ สินทรัพย์หรูข้ามพรมแดน บนบล็อกเชนครั้งแรกของไทย
คอราไลน์ เปิดตัว ‘AutoGov’ แพลตฟอร์ม Data Catalog ขับเคลื่อน Data Governance




