Share on
×

Share

โดรนขนส่ง: โอกาสใหม่เศรษฐกิจ หรือภัยความมั่นคงที่ต้องคุม?

ผ่า 32 ปีทะเบียนราษฎร: จาก 'แชมป์โลก' สู่ 'Digital Divide' รัฐไทยติดหล่มอะไร?

นับเป็นก้าวสำคัญอย่างยิ่ง เมื่อประเทศไทยกำลังเปิดม่านสู่ “ยุคใหม่ของการขนส่งด้วยอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน” (The New Era of Drone Delivery) อย่างเป็นรูปธรรม นี่ไม่ใช่เพียงการประกาศนำโดรนมาใช้ขนส่งสินค้า แต่คือการวางรากฐานระบบนิเวศ (Ecosystem) ทั้งระบบให้เกิดขึ้นจริง ภายใต้ความร่วมมือของสองเสาหลักสำคัญอย่าง สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ในฐานะผู้กำกับดูแลกฎระเบียบ และ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ในฐานะผู้กุมโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล

เป้าหมายคือการปลดล็อกศักยภาพใหม่ ๆ ทางเศรษฐกิจและสังคม แต่ในขณะเดียวกัน การเปิดน่านฟ้าครั้งนี้ก็มาพร้อมกับความท้าทายด้านความมั่นคงที่ซับซ้อนอย่างยิ่งยวด นี่คือบทวิเคราะห์ของการเดินเกมสองด้านที่ประเทศไทยต้องสร้างสมดุลให้เกิดขึ้น

ปลดล็อกขีดจำกัด: 4 ภารกิจนำร่องชี้วัดอนาคต

พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.)
พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.)

หัวใจสำคัญของการผลักดันเทคโนโลยีโดรนขนส่งในครั้งนี้ คือการพิสูจน์ให้เห็นว่าอากาศยานไร้คนขับสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของระบบโลจิสติกส์แบบดั้งเดิมได้อย่างเป็นรูปธรรม โดย พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ได้นำเสนอศักยภาพดังกล่าวผ่าน 4 ภารกิจสาธิตนำร่อง ซึ่งสะท้อนโจทย์การใช้งานจริงใน 4 มิติที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

มิติแรก คือการแก้ปัญหาในภาวะเร่งด่วนท่ามกลางวิกฤตอจราจรในเมือง การสาธิตขนส่งเวชภัณฑ์ฉุกเฉินข้ามแม่น้ำจากไอคอนสยามไปยังริเวอร์ซิตี้ ถือเป็นการแสดงศักยภาพในการหลีกเลี่ยงอุปสรรคการจราจรภาคพื้นดิน ซึ่งในสถานการณ์จริงที่ทุกวินาทีมีความหมายต่อชีวิต การขนส่งทางอากาศรูปแบบนี้จะช่วยลดระยะเวลาได้อย่างมหาศาล

มิติที่สอง คือการทลายข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ทางทะเล ภารกิจนี้แบ่งเป็น 2 ส่วน คือการขนส่งอุปกรณ์ผ่าตัดเร่งด่วนจากฝั่งไปยังเกาะใน จ.ชลบุรี และการขนส่งระหว่างเกาะสมุยไปยังเกาะเต่าและเกาะแตน ซึ่งทั้งสองกรณีเป็นการทดแทนการขนส่งทางเรือ ที่โดยปกติไม่เพียงแต่จะใช้เวลานาน แต่ยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของสภาพอากาศและคลื่นลมอีกด้วย

มิติที่สามและสี่ คือการเข้าถึงพื้นที่ทุรกันดารและพื้นที่ภัยพิบัติ โดรนถูกวางบทบาทให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการเจาะเข้าสู่พื้นที่ที่การเข้าถึงเป็นไปได้ยาก เช่น การขนส่งผลผลิตทางการเกษตรจากพื้นที่สูงชันอย่าง อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ซึ่งช่วยลดต้นทุนและรักษาคุณภาพผลผลิต และในมิติการรับมือภัยพิบัติ โดรนจะทำหน้าที่เป็นหน่วยสนับสนุนแนวหน้าในการเข้าถึงพื้นที่ประสบภัย เช่น อุทกภัย ที่ระบบขนส่งภาคพื้นดินถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง

ภารกิจนำร่องเหล่านี้จึงเป็นการตอกย้ำจุดยืนว่า โครงการนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการขนส่งสินค้าเชิงพาณิชย์เท่านั้น แต่มีเป้าหมายที่ใหญ่กว่าคือการวางรากฐานให้โดรนเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเฉพาะในมิติสาธารณสุข และการสนับสนุนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ห่างไกล

เสียงสะท้อนจากภาครัฐ: การประเมิน โดรนในฐานะดาบสองคม

แม้ว่าศักยภาพของเทคโนโลยีโดรนขนส่งจะถูกนำเสนอในแง่ของโอกาสและการพัฒนาอนาคตที่สดใส แต่ประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาอภิปรายอย่างหนักแน่นที่สุดจากฝ่ายรัฐบาล กลับเป็นมิติของ “ความมั่นคง” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการประเมินความเสี่ยงที่มองเทคโนโลยีนี้เป็น “ดาบสองคม” อย่างแท้จริง

พิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้สะท้อนภาพความเป็นจริงที่น่ากังวลว่า เทคโนโลยีใหม่นี้อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือของผู้ไม่หวังดีต่อประเทศ ท่านได้ระบุถึงบริบทที่อ่อนไหวอย่างชัดเจน 3 ประการ ที่โดรนอาจเข้าไปเพิ่มความซับซ้อนของปัญหาเดิม ได้แก่ สถานการณ์ตึงเครียดตามแนวชายแดนที่ติดกับเมียนมาร์และกัมพูชา, ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และความเป็นไปได้ที่ขบวนการลักลอบขนส่งยาเสพติดจะใช้โดรนเป็นช่องทางใหม่

ด้วยเหตุนี้ รองนายกฯ พิพัฒน์จึงได้กำชับไปยังสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ให้ความสำคัญสูงสุดกับการสร้างกรอบกฎหมายที่รัดกุม ซึ่งต้องครอบคลุมมาตรฐานสากล 2 ด้านหลักอย่างชัดเจน คือ Safety (ความปลอดภัย) หมายถึง การป้องกันอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินที่อาจเกิดจากอุบัติเหตุหรือความผิดพลาดทางเทคนิคของตัวอากาศยาน และ Security (การรักษาความปลอดภัย) หมายถึง การป้องกันการนำเทคโนโลยีไปใช้ในทางที่ผิด หรือการจงใจใช้เป็นเครื่องมือในการก่อเหตุร้ายหรืออาชญากรรม โดยย้ำว่า การวางกรอบกำกับดูแลที่เข้มแข็งนี้ ต้องเกิดขึ้นก่อนการอนุญาตให้มีการบริการเชิงพาณิชย์ในวงกว้าง

มุมมองดังกล่าวสอดคล้องอย่างยิ่งกับ ไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) ที่ตอกย้ำว่า ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา การศึกษาเรื่องโดรนในระดับนโยบายได้มุ่งเน้นไปที่มิติของการป้องกันและตอบโต้ภัยคุกคามเป็นสำคัญ รมว.ดีอีได้ชี้ให้เห็นถึงรากฐานของความกังวลในสังคม นั่นคือปัญหาโดรนที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ (Unidentified Drone) การที่ไม่สามารถพิสูจน์ทราบได้ว่าโดรนที่บินอยู่นั้นเป็นของใคร ได้รับอนุญาตหรือไม่ และมีเจตนาใด คือช่องโหว่หลักที่อาจนำไปสู่ปัญหาด้านความมั่นคงที่รุนแรงได้

กางแผน คุมฟ้า’: การบรรจบกันของเทคโนโลยีและกฎกติกา

ความท้าทายหลักที่เกิดขึ้นคือ ทำอย่างไรจึงจะสามารถส่งเสริมโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคม ควบคู่ไปกับการจัดการภัยคุกคามด้านความมั่นคงได้อย่างมีประสิทธิภาพ คำตอบสำหรับสมการที่ซับซ้อนนี้อยู่ที่การบูรณาการเทคโนโลยีเข้ากับการกำกับดูแล (Tech-Regulation Integration) อย่างไร้รอยต่อ

พลอากาศเอก มนัท ได้ชี้แจงถึงบทบาทของกพท. ในฐานะผู้กำกับดูแล ว่าคือการสร้างสมดุลระหว่างการผลักดันนวัตกรรม และการธำรงรักษามาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูงสุด ซึ่งจะดำเนินการผ่านกระบวนการที่เข้มงวด ทั้งการอนุญาต การติดตาม และการตรวจสอบ

พันเอก สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน)
พันเอก สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน)

ในขณะที่ กพท.วางกรอบกติกา พันเอก สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ได้อธิบายถึงกลไกสำคัญที่จะทำให้การกำกับดูแลนั้นเกิดขึ้นได้จริง นั่นคือ ดิจิทัลแพลตฟอร์มบริหารจัดการจราจรทางอากาศอัจฉริยะ หรือที่เรียกในมาตรฐานสากลว่า UTM (Unmanned Aircraft System Traffic Management)

หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ระบบ UTM นี้จะทำหน้าที่เสมือนหอควบคุมการบินสำหรับโดรน มีภารกิจในการจัดระเบียบห้วงอากาศสำหรับอากาศยานไร้คนขับ ให้เกิดความเป็นระเบียบ ปลอดภัย และโปร่งใสในการใช้งาน

โดยแพลตฟอร์มนี้ จะทำงานบนโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมหลัก (Core Infrastructure) ที่ NT มีความพร้อมอยู่แล้ว ได้แก่ คลื่นความถี่ 700MHz ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นในการส่งสัญญาณครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างไกลทั่วประเทศ โครงข่ายไฟเบอร์ออปติกที่เชื่อมโยงลึกถึงระดับอำเภอ และระบบคลาวด์ (Cloud) ที่ปลอดภัยเพื่อรองรับการประมวลผลข้อมูลการบินจำนวนมหาศาลแบบเรียลไทม์

รมว.ไชยชนก ได้สรุปผลลัพธ์เชิงปฏิบัติของระบบนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า นี่คือเครื่องมือที่จะสร้างการบังคับใช้กฎหมายภาคอากาศ โดยกำหนดให้โดรนทุกลำที่จะเข้าสู่ระบบขนส่งนี้ ต้องผ่านการลงทะเบียน (Register Drone) ระบุตัวตน และต้องยื่นแผนการบิน (Flight Plan) อย่างชัดเจนก่อนปฏิบัติภารกิจ

หัวใจสำคัญจึงอยู่ที่ว่า ระบบ UTM นี้จะทำให้ภาครัฐมีเครื่องมือในการระบุตัวตน (Identification) และจำแนก (Differentiation) โดรนที่ถูกกฎหมายออกจากโดรนผิดกฎหมายหรือโดรนนิรนามได้อย่างเป็นระบบ ซึ่งจะช่วยคลายความกังวลด้านความมั่นคงที่ทุกฝ่ายหยิบยกขึ้นมาได้ในที่สุด

การก้าวสู่เวทีโลก: เมื่อ ICAO รับรองทิศทางไทยสู่ ‘Advanced Air Mobility 2026’

ความมุ่งมั่นในการวางรากฐานระบบนิเวศสำหรับอากาศยานไร้คนขับ (Drone Ecosystem) อย่างจริงจังนั้น ไม่เพียงแต่จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงภายในประเทศ แต่ยังกำลังส่งผลให้ประเทศไทยได้รับการยอมรับในระดับสากลอย่างเป็นรูปธรรม

พลอากาศเอก มนัท ได้เปิดเผยหมุดหมายสำคัญที่ยืนยันถึงสถานะใหม่ของไทย นั่นคือการที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ได้มีมติคัดเลือกให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดงาน “Advanced Air Mobility 2026” การได้รับเกียรตินี้มีความหมายอย่างยิ่งยวด เนื่องจากมิใช่การได้มาโดยง่าย แต่เป็นผลจากการแข่งขันนำเสนอวิสัยทัศน์กับกลุ่มประเทศชั้นนำด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมการบินระดับโลกมากมาย อาทิ เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่น และอินเดีย

การคัดเลือกครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการเลือกสถานที่จัดงานประชุม แต่เป็นการรับรอง (Validation) ที่สะท้อนให้เห็นว่า ICAO ซึ่งเป็นองค์กรกำหนดมาตรฐานการบินโลก เล็งเห็นถึงศักยภาพ และที่สำคัญคือ เชื่อมั่นในทิศทางการพัฒนานวัตกรรมการบินแห่งอนาคตของประเทศไทย

ยิ่งไปกว่านั้น พลอากาศเอก มนัท ยังได้กล่าวถึงสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จที่จับต้องได้ในระดับภูมิภาค ซึ่งช่วยยืนยันความก้าวหน้าของไทยได้เป็นอย่างดี นั่นคือการที่ผู้แทนจากสำนักงานการบินพลเรือนสิงคโปร์ได้เดินทางมาร่วมงานในครั้งนี้

“ทั้งสองหน่วยงานเคยมีการหารือและตกลงกันไว้ในเชิงมิตรว่า หากฝ่ายใดสามารถพัฒนาระบบนี้ได้สำเร็จก่อน อีกฝ่ายจะเดินทางไปศึกษาดูงาน ดังนั้น การปรากฏตัวของผู้แทนจากสิงคโปร์ในวันนี้ จึงเปรียบเสมือนการยืนยันเชิงสัญลักษณ์ว่า ก้าวแรกของประเทศไทยในการบุกเบิกเทคโนโลยีนี้ ได้ประสบผลสำเร็จและเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาประชาคมการบินระหว่างประเทศแล้ว”

สมดุลแห่งอนาคตบนน่านฟ้าไทย

การเปิดตัว “ยุคใหม่ของการขนส่งด้วยโดรน” ของไทย จึงเป็นก้าวย่างสำคัญที่ตั้งอยู่บนการบริหารสมดุลระหว่าง “โอกาส” และ “ภัยคุกคาม” อย่างแท้จริง ในขณะที่ 4 ภารกิจนำร่องได้พิสูจน์ศักยภาพในการยกระดับคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะด้านการแพทย์และพื้นที่ห่างไกล ภาครัฐก็ได้ส่งสัญญาณเตือนอย่างหนักแน่นถึงความเสี่ยงด้านความมั่นคง ทั้งปัญหาชายแดนและการใช้ในทางที่ผิด กุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกอนาคตนี้จึงอยู่ที่การบูรณาการเทคโนโลยีและกฎกติกา ผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์ม (UTM) ที่ กพท. และ NT วางรากฐานร่วมกัน เพื่อสร้างระบบคุมฟ้าที่บังคับให้โดรนทุกลำต้องถูกระบุตัวตนและตรวจสอบได้ ซึ่งทิศทางนี้ได้รับการยอมรับในเวทีโลกแล้ว สะท้อนผ่านการที่ ICAO เลือกไทยเป็นเจ้าภาพจัดงาน ‘Advanced Air Mobility 2026’ อันเป็นการยืนยันความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศ

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

MINISO LAND: จักรวาล IP ใจกลางสยามสแควร์ กลยุทธ์มินิโซสู่การเป็น ‘เจ้าพ่อ IP’ ค้าปลีกโลก

Bitkub ขยายสมรภูมิ: รุก AI – สุขภาพ อัด 9 ฟีเจอร์ใหม่ Exchange

×

Share

ผู้เขียน