นับเป็นก้าวสำคัญอย่างยิ่ง เมื่อประเทศไทยกำลังเปิดม่านสู่ “ยุคใหม่ของการขนส่งด้วยอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน” (The New Era of Drone Delivery) อย่างเป็นรูปธรรม นี่ไม่ใช่เพียงการประกาศนำโดรนมาใช้ขนส่งสินค้า แต่คือการวางรากฐานระบบนิเวศ (Ecosystem) ทั้งระบบให้เกิดขึ้นจริง ภายใต้ความร่วมมือของสองเสาหลักสำคัญอย่าง สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ในฐานะผู้กำกับดูแลกฎระเบียบ และ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ในฐานะผู้กุมโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
เป้าหมายคือการปลดล็อกศักยภาพใหม่ ๆ ทางเศรษฐกิจและสังคม แต่ในขณะเดียวกัน การเปิดน่านฟ้าครั้งนี้ก็มาพร้อมกับความท้าทายด้านความมั่นคงที่ซับซ้อนอย่างยิ่งยวด นี่คือบทวิเคราะห์ของการเดินเกมสองด้านที่ประเทศไทยต้องสร้างสมดุลให้เกิดขึ้น
ปลดล็อกขีดจำกัด: 4 ภารกิจนำร่องชี้วัดอนาคต

หัวใจสำคัญของการผลักดันเทคโนโลยีโดรนขนส่งในครั้งนี้ คือการพิสูจน์ให้เห็นว่าอากาศยานไร้คนขับสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของระบบโลจิสติกส์แบบดั้งเดิมได้อย่างเป็นรูปธรรม โดย พลอากาศเอก มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ได้นำเสนอศักยภาพดังกล่าวผ่าน 4 ภารกิจสาธิตนำร่อง ซึ่งสะท้อนโจทย์การใช้งานจริงใน 4 มิติที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
มิติแรก คือการแก้ปัญหาในภาวะเร่งด่วนท่ามกลางวิกฤตอจราจรในเมือง การสาธิตขนส่งเวชภัณฑ์ฉุกเฉินข้ามแม่น้ำจากไอคอนสยามไปยังริเวอร์ซิตี้ ถือเป็นการแสดงศักยภาพในการหลีกเลี่ยงอุปสรรคการจราจรภาคพื้นดิน ซึ่งในสถานการณ์จริงที่ทุกวินาทีมีความหมายต่อชีวิต การขนส่งทางอากาศรูปแบบนี้จะช่วยลดระยะเวลาได้อย่างมหาศาล
มิติที่สอง คือการทลายข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ทางทะเล ภารกิจนี้แบ่งเป็น 2 ส่วน คือการขนส่งอุปกรณ์ผ่าตัดเร่งด่วนจากฝั่งไปยังเกาะใน จ.ชลบุรี และการขนส่งระหว่างเกาะสมุยไปยังเกาะเต่าและเกาะแตน ซึ่งทั้งสองกรณีเป็นการทดแทนการขนส่งทางเรือ ที่โดยปกติไม่เพียงแต่จะใช้เวลานาน แต่ยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของสภาพอากาศและคลื่นลมอีกด้วย
มิติที่สามและสี่ คือการเข้าถึงพื้นที่ทุรกันดารและพื้นที่ภัยพิบัติ โดรนถูกวางบทบาทให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการเจาะเข้าสู่พื้นที่ที่การเข้าถึงเป็นไปได้ยาก เช่น การขนส่งผลผลิตทางการเกษตรจากพื้นที่สูงชันอย่าง อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ซึ่งช่วยลดต้นทุนและรักษาคุณภาพผลผลิต และในมิติการรับมือภัยพิบัติ โดรนจะทำหน้าที่เป็นหน่วยสนับสนุนแนวหน้าในการเข้าถึงพื้นที่ประสบภัย เช่น อุทกภัย ที่ระบบขนส่งภาคพื้นดินถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง
ภารกิจนำร่องเหล่านี้จึงเป็นการตอกย้ำจุดยืนว่า โครงการนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการขนส่งสินค้าเชิงพาณิชย์เท่านั้น แต่มีเป้าหมายที่ใหญ่กว่าคือการวางรากฐานให้โดรนเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเฉพาะในมิติสาธารณสุข และการสนับสนุนเศรษฐกิจฐานรากในพื้นที่ห่างไกล
เสียงสะท้อนจากภาครัฐ: การประเมิน ‘โดรน’ ในฐานะ‘ดาบสองคม’
แม้ว่าศักยภาพของเทคโนโลยีโดรนขนส่งจะถูกนำเสนอในแง่ของโอกาสและการพัฒนาอนาคตที่สดใส แต่ประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาอภิปรายอย่างหนักแน่นที่สุดจากฝ่ายรัฐบาล กลับเป็นมิติของ “ความมั่นคง” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการประเมินความเสี่ยงที่มองเทคโนโลยีนี้เป็น “ดาบสองคม” อย่างแท้จริง
พิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้สะท้อนภาพความเป็นจริงที่น่ากังวลว่า เทคโนโลยีใหม่นี้อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือของผู้ไม่หวังดีต่อประเทศ ท่านได้ระบุถึงบริบทที่อ่อนไหวอย่างชัดเจน 3 ประการ ที่โดรนอาจเข้าไปเพิ่มความซับซ้อนของปัญหาเดิม ได้แก่ สถานการณ์ตึงเครียดตามแนวชายแดนที่ติดกับเมียนมาร์และกัมพูชา, ปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และความเป็นไปได้ที่ขบวนการลักลอบขนส่งยาเสพติดจะใช้โดรนเป็นช่องทางใหม่
ด้วยเหตุนี้ รองนายกฯ พิพัฒน์จึงได้กำชับไปยังสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ให้ความสำคัญสูงสุดกับการสร้างกรอบกฎหมายที่รัดกุม ซึ่งต้องครอบคลุมมาตรฐานสากล 2 ด้านหลักอย่างชัดเจน คือ Safety (ความปลอดภัย) หมายถึง การป้องกันอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินที่อาจเกิดจากอุบัติเหตุหรือความผิดพลาดทางเทคนิคของตัวอากาศยาน และ Security (การรักษาความปลอดภัย) หมายถึง การป้องกันการนำเทคโนโลยีไปใช้ในทางที่ผิด หรือการจงใจใช้เป็นเครื่องมือในการก่อเหตุร้ายหรืออาชญากรรม โดยย้ำว่า การวางกรอบกำกับดูแลที่เข้มแข็งนี้ ต้องเกิดขึ้นก่อนการอนุญาตให้มีการบริการเชิงพาณิชย์ในวงกว้าง
มุมมองดังกล่าวสอดคล้องอย่างยิ่งกับ ไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) ที่ตอกย้ำว่า ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา การศึกษาเรื่องโดรนในระดับนโยบายได้มุ่งเน้นไปที่มิติของการป้องกันและตอบโต้ภัยคุกคามเป็นสำคัญ รมว.ดีอีได้ชี้ให้เห็นถึงรากฐานของความกังวลในสังคม นั่นคือปัญหาโดรนที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ (Unidentified Drone) การที่ไม่สามารถพิสูจน์ทราบได้ว่าโดรนที่บินอยู่นั้นเป็นของใคร ได้รับอนุญาตหรือไม่ และมีเจตนาใด คือช่องโหว่หลักที่อาจนำไปสู่ปัญหาด้านความมั่นคงที่รุนแรงได้
กางแผน ‘คุมฟ้า’: การบรรจบกันของเทคโนโลยีและกฎกติกา
ความท้าทายหลักที่เกิดขึ้นคือ ทำอย่างไรจึงจะสามารถส่งเสริมโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคม ควบคู่ไปกับการจัดการภัยคุกคามด้านความมั่นคงได้อย่างมีประสิทธิภาพ คำตอบสำหรับสมการที่ซับซ้อนนี้อยู่ที่การบูรณาการเทคโนโลยีเข้ากับการกำกับดูแล (Tech-Regulation Integration) อย่างไร้รอยต่อ
พลอากาศเอก มนัท ได้ชี้แจงถึงบทบาทของกพท. ในฐานะผู้กำกับดูแล ว่าคือการสร้างสมดุลระหว่างการผลักดันนวัตกรรม และการธำรงรักษามาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูงสุด ซึ่งจะดำเนินการผ่านกระบวนการที่เข้มงวด ทั้งการอนุญาต การติดตาม และการตรวจสอบ

ในขณะที่ กพท.วางกรอบกติกา พันเอก สรรพชัยย์ หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT ได้อธิบายถึงกลไกสำคัญที่จะทำให้การกำกับดูแลนั้นเกิดขึ้นได้จริง นั่นคือ ดิจิทัลแพลตฟอร์มบริหารจัดการจราจรทางอากาศอัจฉริยะ หรือที่เรียกในมาตรฐานสากลว่า UTM (Unmanned Aircraft System Traffic Management)
หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ระบบ UTM นี้จะทำหน้าที่เสมือนหอควบคุมการบินสำหรับโดรน มีภารกิจในการจัดระเบียบห้วงอากาศสำหรับอากาศยานไร้คนขับ ให้เกิดความเป็นระเบียบ ปลอดภัย และโปร่งใสในการใช้งาน
โดยแพลตฟอร์มนี้ จะทำงานบนโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมหลัก (Core Infrastructure) ที่ NT มีความพร้อมอยู่แล้ว ได้แก่ คลื่นความถี่ 700MHz ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นในการส่งสัญญาณครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างไกลทั่วประเทศ โครงข่ายไฟเบอร์ออปติกที่เชื่อมโยงลึกถึงระดับอำเภอ และระบบคลาวด์ (Cloud) ที่ปลอดภัยเพื่อรองรับการประมวลผลข้อมูลการบินจำนวนมหาศาลแบบเรียลไทม์
รมว.ไชยชนก ได้สรุปผลลัพธ์เชิงปฏิบัติของระบบนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า นี่คือเครื่องมือที่จะสร้างการบังคับใช้กฎหมายภาคอากาศ โดยกำหนดให้โดรนทุกลำที่จะเข้าสู่ระบบขนส่งนี้ ต้องผ่านการลงทะเบียน (Register Drone) ระบุตัวตน และต้องยื่นแผนการบิน (Flight Plan) อย่างชัดเจนก่อนปฏิบัติภารกิจ
หัวใจสำคัญจึงอยู่ที่ว่า ระบบ UTM นี้จะทำให้ภาครัฐมีเครื่องมือในการระบุตัวตน (Identification) และจำแนก (Differentiation) โดรนที่ถูกกฎหมายออกจากโดรนผิดกฎหมายหรือโดรนนิรนามได้อย่างเป็นระบบ ซึ่งจะช่วยคลายความกังวลด้านความมั่นคงที่ทุกฝ่ายหยิบยกขึ้นมาได้ในที่สุด
การก้าวสู่เวทีโลก: เมื่อ ICAO รับรองทิศทางไทยสู่ ‘Advanced Air Mobility 2026’
ความมุ่งมั่นในการวางรากฐานระบบนิเวศสำหรับอากาศยานไร้คนขับ (Drone Ecosystem) อย่างจริงจังนั้น ไม่เพียงแต่จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงภายในประเทศ แต่ยังกำลังส่งผลให้ประเทศไทยได้รับการยอมรับในระดับสากลอย่างเป็นรูปธรรม
พลอากาศเอก มนัท ได้เปิดเผยหมุดหมายสำคัญที่ยืนยันถึงสถานะใหม่ของไทย นั่นคือการที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ได้มีมติคัดเลือกให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดงาน “Advanced Air Mobility 2026” การได้รับเกียรตินี้มีความหมายอย่างยิ่งยวด เนื่องจากมิใช่การได้มาโดยง่าย แต่เป็นผลจากการแข่งขันนำเสนอวิสัยทัศน์กับกลุ่มประเทศชั้นนำด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมการบินระดับโลกมากมาย อาทิ เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่น และอินเดีย
การคัดเลือกครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการเลือกสถานที่จัดงานประชุม แต่เป็นการรับรอง (Validation) ที่สะท้อนให้เห็นว่า ICAO ซึ่งเป็นองค์กรกำหนดมาตรฐานการบินโลก เล็งเห็นถึงศักยภาพ และที่สำคัญคือ เชื่อมั่นในทิศทางการพัฒนานวัตกรรมการบินแห่งอนาคตของประเทศไทย
ยิ่งไปกว่านั้น พลอากาศเอก มนัท ยังได้กล่าวถึงสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จที่จับต้องได้ในระดับภูมิภาค ซึ่งช่วยยืนยันความก้าวหน้าของไทยได้เป็นอย่างดี นั่นคือการที่ผู้แทนจากสำนักงานการบินพลเรือนสิงคโปร์ได้เดินทางมาร่วมงานในครั้งนี้
“ทั้งสองหน่วยงานเคยมีการหารือและตกลงกันไว้ในเชิงมิตรว่า หากฝ่ายใดสามารถพัฒนาระบบนี้ได้สำเร็จก่อน อีกฝ่ายจะเดินทางไปศึกษาดูงาน ดังนั้น การปรากฏตัวของผู้แทนจากสิงคโปร์ในวันนี้ จึงเปรียบเสมือนการยืนยันเชิงสัญลักษณ์ว่า ก้าวแรกของประเทศไทยในการบุกเบิกเทคโนโลยีนี้ ได้ประสบผลสำเร็จและเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาประชาคมการบินระหว่างประเทศแล้ว”
สมดุลแห่งอนาคตบนน่านฟ้าไทย
การเปิดตัว “ยุคใหม่ของการขนส่งด้วยโดรน” ของไทย จึงเป็นก้าวย่างสำคัญที่ตั้งอยู่บนการบริหารสมดุลระหว่าง “โอกาส” และ “ภัยคุกคาม” อย่างแท้จริง ในขณะที่ 4 ภารกิจนำร่องได้พิสูจน์ศักยภาพในการยกระดับคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะด้านการแพทย์และพื้นที่ห่างไกล ภาครัฐก็ได้ส่งสัญญาณเตือนอย่างหนักแน่นถึงความเสี่ยงด้านความมั่นคง ทั้งปัญหาชายแดนและการใช้ในทางที่ผิด กุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกอนาคตนี้จึงอยู่ที่การบูรณาการเทคโนโลยีและกฎกติกา ผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์ม (UTM) ที่ กพท. และ NT วางรากฐานร่วมกัน เพื่อสร้างระบบคุมฟ้าที่บังคับให้โดรนทุกลำต้องถูกระบุตัวตนและตรวจสอบได้ ซึ่งทิศทางนี้ได้รับการยอมรับในเวทีโลกแล้ว สะท้อนผ่านการที่ ICAO เลือกไทยเป็นเจ้าภาพจัดงาน ‘Advanced Air Mobility 2026’ อันเป็นการยืนยันความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศ
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
MINISO LAND: จักรวาล IP ใจกลางสยามสแควร์ กลยุทธ์มินิโซสู่การเป็น ‘เจ้าพ่อ IP’ ค้าปลีกโลก
Bitkub ขยายสมรภูมิ: รุก AI – สุขภาพ อัด 9 ฟีเจอร์ใหม่ Exchange




