ในวันที่ใคร ๆ ต่างกระโดดลงมาเล่นในสนาม Creator Economy คำถามสำคัญจึงเปลี่ยนจาก “ทำไมต้องทำ” เป็น “ทำอย่างไรให้รอด” วงเสวนาล่าสุดได้เปิดมุมมองใหม่ที่น่าสนใจจาก 3 แม่ทัพใหญ่แห่งวงการ ได้แก่ สุวิตา จรัญวงศ์ ประธานกรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เทลสกอร์ จำกัด, ธานัท จารุฤทธิไกร Chief Executive Officer, SHOPGENIX และ วศิน พรวิจิตรจินดา กรรมการบริหาร กัดไม่ปล่อย อะคาเดมี่ เจ้าของเพจ “อาจารย์เชียง กัดไม่ปล่อย” ที่มาร่วมถอดรหัสวิธีคิดตั้งแต่วันที่ต้องใช้ “คน” สร้างความเชื่อ จนถึงวันที่ใช้ “AI” สร้างยอดขายแบบถล่มทลาย
เบื้องหลังตะกร้าสินค้า: ถอดรหัสวิธีคิด Creator ผ่านมุมมอง CEO ผู้บริหารยอดขาย 5 พันล้านบาท
ในยุคที่ใคร ๆ ต่างมองว่า Creator คือกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนยอดขาย แต่ความจริงในสมรภูมินี้กลับมีความซับซ้อนมากกว่าแค่การจ้างคนมาถือสินค้า ธานัท จารุฤทธิไกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) แห่ง SHOPGENIX ผู้ซึ่งคร่ำหวอดในวงการและบริหารจัดการเครือข่าย Creator มาแล้วกว่า 3,000 ราย พร้อมสถิติยอดขายรวมสูงถึง 5,000 ล้านบาท ได้สะท้อนให้เห็นถึง “ความจริง” ที่แบรนด์ต้องตระหนักหากต้องการประสบความสำเร็จในช่องทางนี้
1. ต้นทุนที่มองไม่เห็น: เวลาและพื้นที่หน้าจอคือ “สินทรัพย์” สิ่งแรกที่แบรนด์ต้องทำความเข้าใจคือ Creator ไม่ได้ทำงานให้ฟรี และพวกเขามีต้นทุนแฝงที่สำคัญที่สุดคือ “เวลา” และ “พื้นที่หน้าจอ” (Screen Space) ในการไลฟ์สดขายของแต่ละครั้ง ระบบตะกร้าสินค้ามักมีข้อจำกัดในการปักหมุดสินค้าได้เพียงประมาณ 20 รายการเท่านั้น
2. ทฤษฎีชั้นวางสินค้า (The Shelf Theory) คุณธานัทเปรียบเทียบพื้นที่ 20 ตะกร้านี้ว่า มีมูลค่าไม่ต่างจาก “ชั้นวางสินค้าในร้านสะดวกซื้อทำเลทอง” (Prime Area) ที่มีการแข่งขันสูงมาก กฎเหล็กของพื้นที่นี้คือ “ประสิทธิภาพ” หากสินค้าใดถูกนำขึ้นวางแล้วไม่สามารถสร้างยอดขายได้ภายในวันเดียว วันรุ่งขึ้นสินค้านั้นจะถูกถอดออกทันที เพื่อเปิดทางให้สินค้าตัวอื่นที่มีศักยภาพมากกว่าเข้ามาแทนที่
ดังนั้น การที่สินค้าชิ้นหนึ่งจะสามารถแทรกตัวเข้าไปอยู่ใน 1 ใน 20 ตะกร้าทองคำของ Creator ได้ จึงถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทอย่างชัดเจน ดังนี้
- ประเภทที่ 1: สินค้าติดลมบน (Top Tier Products) คือกลุ่มสินค้าที่เป็นกระแส หรือติดอันดับ Top 5 ของตลาด สินค้ากลุ่มนี้มีอุปสงค์ (Demand) จากผู้บริโภครออยู่แล้ว เป็นสินค้าที่ “ขายตัวเองได้” โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมาก ผลลัพธ์คือเหล่า Creator จะแย่งกันนำสินค้าเหล่านี้ไปขายเองโดยอัตโนมัติ เพราะการันตีรายได้และยอดขายที่แน่นอน โดยที่แบรนด์แทบไม่ต้องร้องขอ
- ประเภทที่ 2: สินค้าที่ต้องอาศัยแรงผลักดัน (Push Products) สำหรับสินค้าใหม่หรือสินค้าที่ยังไม่ได้เป็นกระแสในวงกว้าง โจทย์ของแบรนด์จะยากขึ้นเป็นทวีคูณ การจะนำสินค้ากลุ่มนี้เข้าไปอยู่ในมือ Creator แบรนด์จำเป็นต้องมีการเตรียมการบ้านอย่างหนัก นั่นคือ “แผนการตลาดที่ชัดเจน”แบรนด์ต้องสวมบทบาทเป็นผู้โน้มน้าวใจ เพื่อให้ Creator เชื่อมั่นให้ได้ว่า การเสียสละพื้นที่ 1 ใน 20 ตะกร้าของเขาให้กับสินค้าของคุณ จะไม่เป็นการสูญเสียโอกาสเปล่า แผนการตลาดที่นำเสนอต้องตอบโจทย์ว่าสินค้าชิ้นนี้มีศักยภาพในการทำเงินได้จริง และคุ้มค่ากับต้นทุนเวลาที่เขาต้องเสียไป
มุมมองของคุณธานัทชี้ให้เห็นว่า ความสำเร็จในการร่วมงานกับ Creator ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับ “ความแข็งแกร่งของสินค้า” และ “กลยุทธ์ของแบรนด์” ที่จะทำให้ Creator มั่นใจว่า นี่คือการร่วมมือกันแบบ Win-Win ที่สร้างรายได้ให้กับทั้งสองฝ่ายอย่างแท้จริง
TIA 2025 ‘สุวิตา Tellscore’ ชี้ทางรอดครีเอเตอร์มนุษย์วัดพลัง AI ด้วย ‘ความไว้ใจ
เมื่อ AI เข้ามาพลิกโฉมวงการรีวิว: กรณีศึกษา “เก้าอี้นวดทิพย์” กับยอดขายถล่มทลายโดยไม่ง้อสินค้าจริง
บทบาทของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เข้ามาทลายข้อจำกัดเดิม ๆ ของการทำ Content Marketing โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่มีราคาสูงและขนาดใหญ่
คุณธานัท ได้ยกรณีศึกษาที่น่าสนใจของ SHOPGENIX ในการจำหน่ายสินค้ากลุ่ม High-Ticket Items อย่าง “เก้าอี้นวดไฟฟ้า” และ “ลู่วิ่งออกกำลังกาย” ซึ่งมีราคาหลักหมื่นบาท ในอดีตสินค้าประเภทนี้ถือเป็น “ยาขม” สำหรับการทำการตลาดผ่าน Influencer หรือ Creator เนื่องจากข้อจำกัดด้านโลจิสติกส์ การจะส่งสินค้าขนาดใหญ่และมีน้ำหนักมากไปให้ Creator จำนวนมากทำการรีวิวนั้น เป็นเรื่องยากทั้งในแง่การขนส่ง การติดตั้ง และต้นทุนที่สูงลิ่ว
เพื่อแก้ปัญหานี้ ทาง SHOPGENIX จึงได้นำเทคโนโลยี AI Automation เข้ามาใช้แก้เกม โดยเปลี่ยนจากการใช้คนจริงรีวิว เป็นการสร้างวิดีโอคอนเทนต์และไลฟ์สดเสมือนจริง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้นั้นเหนือความคาดหมายและสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจอย่างมหาศาล ดังนี้
1. ขยายขีดความสามารถในการผลิตแบบไร้ขีดจำกัด (Unprecedented Scalability) ในขณะที่มนุษย์มีขีดจำกัดเรื่องเวลาและแรงงาน แต่ AI สามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทีมงานสามารถใช้ AI ผลิตคลิปวิดีโอขายสินค้าได้สูงถึง 1,200 คลิป ในระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งเป็นปริมาณที่การผลิตด้วยทีมงานมนุษย์แบบดั้งเดิมแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะทำได้ทัน
2. ทลายกำแพงต้นทุนโลจิสติกส์ (Zero Logistics Cost) การใช้ AI สร้างคอนเทนต์ช่วยตัดกระบวนการส่งสินค้าตัวอย่างทิ้งไปได้ทั้งหมด แบรนด์ไม่ต้องแบกรับภาระค่าขนส่ง ไม่ต้องปวดหัวกับการนัดหมายติดตั้งสินค้าให้ Creator แต่ละราย ทำให้กระบวนการขายมีความคล่องตัวสูงสุด
3. ผลลัพธ์ทางธุรกิจที่จับต้องได้ (Tangible Business Impact) ผลจากการใช้กลยุทธ์นี้ ทำให้ SHOPGENIX สามารถสร้างยอดขายเก้าอี้นวดไฟฟ้าได้นับพันตัว โดยที่ Creator ผู้ขายไม่จำเป็นต้องสัมผัสหรือทดลองใช้สินค้าจริงแม้แต่ชิ้นเดียว กลยุทธ์นี้กลายเป็น “Blue Ocean” ที่คู่แข่งยังไม่สามารถไล่ตามได้ทัน เนื่องจากยังไม่มีเทคโนโลยี AI ที่สามารถตอบโจทย์ในลักษณะเดียวกันได้
กรณีศึกษานี้จึงเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่า AI ไม่ใช่เพียงเครื่องมือช่วยทำงาน แต่เป็น “อาวุธสำคัญ” ที่สามารถเปลี่ยนโครงสร้างต้นทุนและวิธีการทำธุรกิจในยุคดิจิทัลไปอย่างสิ้นเชิง
กลยุทธ์ “เขย่าต้นไม้”: ศิลปะการสร้าง Demand เพื่อเก็บเกี่ยวผลลัพธ์ที่ยั่งยืน
ท่ามกลางสมรภูมิการค้าที่ดุเดือด ซึ่งหลายแบรนด์มุ่งเน้นเพียงตัวเลขยอดขายปลายทาง สุวิตา จรัญวงศ์ ประธานกรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เทลสกอร์ จำกัด ชี้ให้เห็นว่าการใช้งาน Creator ไม่ควรถูกจำกัดอยู่เพียงการปิดการขาย (Conversion) ในระยะสั้น แต่ต้องวางแผนในภาพใหญ่แบบ Full Funnel Marketing เพื่อสร้างรากฐานของแบรนด์ให้แข็งแกร่งในระยะยาว
1. ปรัชญาการตลาดแบบ “เขย่าต้นไม้” (Shaking the Tree Strategy) คุณสุวิตา กล่าวว่า กระบวนการทางการตลาดเปรียบเสมือนการ “เขย่าต้นไม้” เพื่อให้ผลไม้ร่วงหล่นลงมา
- การเก็บผล (Harvesting): คือ ยอดขาย หรือ Conversion ที่แบรนด์ต้องการ
- การเขย่า (Shaking): คือ การกระตุ้นให้เกิดความต้องการ (Demand Generation)
หากแบรนด์มุ่งแต่จะรอเก็บผลโดยไม่ใช้แรงเขย่า หรือสร้างแรงกระเพื่อมในตลาด ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย การใช้ Creator จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการทำหน้าที่ “เขย่า” ตลาด เพื่อปลุกเร้าความสนใจและเตรียมความพร้อมให้ผู้บริโภคก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ
2. สร้าง “เหตุผลที่จะเชื่อ” (Reason to Believe) ผ่านพลังของมนุษย์ หัวใจสำคัญของการเขย่าต้นไม้ไม่ใช่การใช้แรงกระแทก แต่คือการสร้าง Reason to Believe หรือเหตุผลที่ทำให้ผู้บริโภคเชื่อถือในแบรนด์ ซึ่งสิ่งนี้เทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวอาจทำได้ไม่สมบูรณ์เท่ากับ “มนุษย์”
- Relationship & Community: Creator ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการสร้างสายสัมพันธ์ (Relationship) และสร้างชุมชน (Community) ที่เหนียวแน่น ความไว้วางใจที่ผู้ติดตามมีต่อ Creator จะถูกถ่ายโอนมายังแบรนด์โดยอัตโนมัติเมื่อมีการสื่อสารที่จริงใจ
- Trust over Ads: ในยุคที่ผู้คนเชื่อถือโฆษณาน้อยลง คำแนะนำจาก Creator ที่พวกเขารักจึงกลายเป็น “น้ำหนัก” สำคัญที่ทำให้เกิดความเชื่อมั่น
3. ปูพรมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ (Full Funnel Execution) คุณสุวิตาย้ำเตือนว่า แบรนด์ไม่ควรจ้าง Creator เพียงเพื่อรีวิวสินค้าแล้วจบไป แต่ต้องมองกระบวนการให้ครบวงจร
- Upper Funnel (Awareness): ใช้ Creator ในการสร้างการรับรู้ในวงกว้าง ทำให้คนเห็นและรู้จักแบรนด์ (Eyeballs)
- Middle to Lower Funnel (Conversion): เมื่อฐานความเชื่อมั่นถูกปูไว้อย่างดีแล้ว การกระตุ้นให้เกิดการสั่งซื้อในภายหลังจึงเป็นเรื่องง่ายและเป็นธรรมชาติมากขึ้น
แนวคิดของคุณสุวิตาสะท้อนให้เห็นว่าการตลาดที่มีประสิทธิภาพคือการผสมผสานระหว่างการสร้างกระแส (Awareness) และการสร้างยอดขาย (Conversion) อย่างสมดุล การใช้ Creator “เขย่าต้นไม้” อย่างถูกวิธี จะช่วยให้แบรนด์สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยไม่ต้องเหนื่อยกับการไล่ล่าหาลูกค้าใหม่เพียงอย่างเดียวตลอดเวลา
คว้าโอกาสในนาทีทอง: กลยุทธ์ “Growth Stage” และบทสรุปการตลาด Hybrid ปี 2025
อีกหนึ่งจิ๊กซอว์สำคัญที่จะทำให้ภาพความสำเร็จสมบูรณ์ คือมุมมองจากผู้ปฏิบัติงานจริงอย่าง วศิน พรวิจิตรจินดา หรือ “อาจารย์เชียง” กรรมการบริหาร กัดไม่ปล่อย อะคาเดมี่ ที่เข้ามาชี้ให้เห็นว่า ในโลกของ Creator สาย Affiliate หรือนายหน้าออนไลน์นั้น ความเก่งกล้าอาจไม่สำคัญเท่าความ “หูตาไว” และการอ่านจังหวะตลาดให้ขาด
1. กฎเหล็ก “7 วันอันตราย” ของวงจรสินค้า
คุณวศินอธิบายธรรมชาติของแพลตฟอร์ม Social Commerce โดยเฉพาะ TikTok ว่ามีพลวัตที่รวดเร็วและรุนแรงมาก วงจรชีวิตของสินค้า (Product Life Cycle) ในช่องทางนี้สั้นกว่าตลาดปกติอย่างเทียบไม่ติด
ความเร็วแสงของเทรนด์: สินค้าที่เป็นกระแสวันนี้ อาจกลายเป็นอดีตภายในเวลาเพียง 1 สัปดาห์ หรือ “7 วันอันตราย”
Data Driven: คนทำคอนเทนต์หรือนายหน้า ไม่สามารถใช้สัญชาตญาณเพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไป แต่ต้องเฝ้าดูข้อมูลหลังบ้าน (Backend Data) อย่างใกล้ชิด เพื่อจับสัญญาณว่าสินค้านี้กำลัง “พุ่ง” หรือกำลัง “ร่วง”
2. จังหวะเข้าทำที่แม่นยำ: นาทีทองของ “Growth Stage”
ความลับของการสร้างรายได้มหาศาลในระยะเวลาสั้น ๆ คือการกระโดดเข้าสู่ตลาดในช่วง Growth Stage หรือช่วงที่สินค้ากำลังเติบโตพุ่งทะยาน
ทำไมต้องช่วงนี้?: เพราะเป็นช่วงเวลาที่ “น้ำขึ้นให้รีบตัก” แบรนด์เจ้าของสินค้าจะทุ่มงบประมาณการตลาดและอัดฉีดค่าคอมมิชชั่น (Commission) สูงที่สุดเพื่อชิงส่วนแบ่งตลาด
ความได้เปรียบ: การขายในช่วงนี้จะทำได้ง่ายกว่า เพราะกระแสสังคมช่วยโหมโรงให้อยากได้อยู่แล้ว (Demand สูง) หาก Creator เข้ามาช้ากว่านี้เพียงนิดเดียว อาจเจอกับสภาวะ “ตลาดวาย” ที่คู่แข่งล้นตลาดและค่าคอมมิชชั่นลดน้อยลง
อนาคตของการตลาดปี 2025 คือ Hybrid Intelligence
จากการแลกเปลี่ยนมุมมองของผู้นำทั้ง 3 ท่าน สามารถสรุปทิศทางของ Creator Economy ในปี 2025 ได้อย่างชัดเจนว่า เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคของการตลาดแบบผสมผสาน หรือ Hybrid Marketing อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งประกอบด้วย 2 แกนหลักที่ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้
Human Touch (บทบาทของมนุษย์): แบรนด์ยังคงต้องพึ่งพา Creator ที่เป็น “มนุษย์” ในการทำหน้าที่สร้างความเชื่อใจ (Trust), ความน่าเชื่อถือ (Credibility) และสานสายสัมพันธ์ (Relationship) กับผู้บริโภค ซึ่งเป็นสิ่งที่หุ่นยนต์ยังไม่สามารถทดแทนได้ในเชิงความรู้สึก
AI Efficiency (พลังของปัญญาประดิษฐ์): ในขณะเดียวกัน แบรนด์ที่ต้องการเติบโตต้องกล้าที่จะนำ “AI” เข้ามาใช้งานเพื่อทลายข้อจำกัดเดิม ๆ ทั้งในแง่การผลิตคอนเทนต์ปริมาณมหาศาล (Scale) การลดต้นทุนการดำเนินงาน และการบริหารจัดการข้อมูล เพื่อสร้างความได้เปรียบในสมรภูมิที่มีการแข่งขันสูง
สูตรสำเร็จของปี 2025 คือการใช้ “คน” เพื่อซื้อใจ และใช้ “AI” เพื่อขยายผล ใครที่สามารถผสานสองสิ่งนี้เข้าด้วยกันได้ จะเป็นผู้ชนะในเกมธุรกิจยุคถัดไปอย่างแท้จริง
NT ชู ‘รถโมบาย DTRS’ หน่วยสื่อสารเคลื่อนที่ความเร็วสูง กู้วิกฤติภัยพิบัติทั่วประเทศ
เริ่มแล้ว! ‘COMMART UNBOX’ มหกรรมไอทีส่งท้ายปี 27 – 30 พ.ย. 2568 ไบเทค บางนา




