Share on
×

Share

Longevity ที่แท้จริง คือ ‘นอน-กิน-ออกกำลังกาย’ ไม่ใช่เทรนด์หรูหรา

Longevity ที่แท้จริงคือ 'นอน-กิน-ออกกำลังกาย' ไม่ใช่เทรนด์หรูหรา

ในยุคที่เทรนด์สุขภาพและการชะลอวัย (Longevity) กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ไฮเทค อาหารเสริมราคาแพง และโปรโตคอลสุดขั้ว หลายคนอาจหลงลืมไปว่าแก่นแท้ของการมีชีวิตที่ยืนยาวและแข็งแรงนั้นอาจเรียบง่ายและอยู่ใกล้ตัวกว่าที่คิด

ประเด็นดังกล่าวถูกนำมาถอดรหัสอย่างเข้มข้นในวงเสวนา งาน StayGold Meetup ครั้งที่ 4 จัดโดย Bitkub ที่รวบรวมเหล่าผู้เชี่ยวชาญและผู้ปฏิบัติจริง นำโดย รวิศ หาญอุตสาหะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด และบริษัท มิชชั่น ทู เดอะ มูน มีเดีย จำกัด เกรซ-กาญจน์เกล้า ด้วยเศียรเกล้า นักแสดงสาวผู้ศึกษาด้าน Longevity อย่างจริงจัง นพ.ยุทธนา สงวนศักดิ์โกศล รองประธานกรรมการบริหารเครือโรงพยาบาลจุฬารัตน์ และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต และ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.นพ.สมอาจ วงษ์ขมทอง ที่มาชี้ให้เห็นว่าการกลับไปแก้ที่ต้นตอของความเสื่อมสำคัญกว่าการไล่ตามรักษาอาการปลายเหตุ

ท๊อป จิรายุส ควงทีมแพทย์ แก้ความเชื่อผิด ๆ เรื่องสุขภาพ

บทสนทนาครั้งนี้ไม่เพียงแต่ให้ความรู้เชิงลึก แต่ยังเป็นการ “ทลายความเชื่อผิด ๆ” (Misconceptions) ที่ฝังรากลึกในสังคม พร้อมมอบพิมพ์เขียวสุขภาพที่ทุกคนสามารถนำกลับไปปฏิบัติได้จริง เพื่อสร้างสมดุลให้ร่างกายแข็งแรงจากภายในสู่ภายนอก

Hallmarks of Aging: เข้าใจ 14 กระดุมเม็ดสำคัญของความเสื่อม

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.นพ.สมอาจ กล่าวว่า ปัจจุบันวงการแพทย์ไม่ได้มองโรคภัยไข้เจ็บกว่า 155,000 ชนิดเป็นเรื่องแยกส่วนอีกต่อไป แต่พบว่าอาการเจ็บป่วยทั้งหมดมีต้นตอมาจาก “กระดุมเพียง 14 เม็ด” ที่เรียกว่า “Hallmarks of Aging” หรือคุณสมบัติของความแก่ชราในระดับเซลล์ ซึ่งแตกต่างจากการแพทย์แผนปัจจุบันที่มุ่งเน้นการรักษาตามอาการ (Suppress Symptom)

นพ.สมอาจได้เน้นย้ำถึง 3 ปัจจัยสำคัญที่เป็นต้นตอของความเสื่อม ปัจจัยแรกคือ ความไม่เสถียรของ DNA (DNA Instability) ซึ่งเปรียบเสมือนพิมพ์เขียวของชีวิตที่หากถูกทำลายหรือกลายพันธุ์จะนำไปสู่โรคร้ายแรงนานาชนิด โดยเฉพาะมะเร็งและโรคจากเซลล์เสื่อมต่าง ๆ ตามมาด้วย การอักเสบเรื้อรังจากความชรา (Inflammaging) ซึ่งไม่ใช่การอักเสบแบบมีแผลภายนอก แต่เป็นการอักเสบในระดับเซลล์ที่ค่อย ๆ ทำลายร่างกายอย่างเงียบ ๆ โดยมีอาหารที่ไม่ดี สารพิษ และไลฟ์สไตล์ที่ขาดสมดุลเป็นตัวกระตุ้น และท้ายที่สุดคือ การลดลงของเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell Exhaustion) ซึ่งทำหน้าที่เป็น “เซลล์ซ่อมเซลล์” แต่จะลดจำนวนลงตามวัย เมื่ออวัยวะสำคัญอย่างสมองเสื่อมสภาพและขาดสเต็มเซลล์ไปซ่อมแซม ก็จะนำไปสู่โรคสมองเสื่อมหรือพาร์กินสัน การทำความเข้าใจต้นตอเหล่านี้คือหัวใจสำคัญที่ทำให้เราเปลี่ยนจากการรอป่วยแล้วรักษามาเป็นการป้องกันเชิงรุก

ไม่ใช่เรื่องลักซ์ชัวรี: ถอดบทเรียน Bryan Johnson สู่ 3 เสาหลักที่ทุกคนทำได้

หนึ่งในกรณีศึกษาที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ Bryan Johnson มหาเศรษฐีผู้ทุ่มเงินมหาศาลในโปรเจกต์ “Blueprint” เพื่อย้อนวัยตัวเอง นพ.สมอาจได้วิเคราะห์และสรุปบทเรียนที่น่าสนใจออกมาเป็น 3 ระดับ เพื่อให้คนทั่วไปเข้าใจว่าอะไรคือสิ่งจำเป็นจริง ๆ  

ในบรรดาโปรโตคอลทั้งหมด มีเพียง 3 เสาหลักพื้นฐานที่วงการแพทย์ทั่วโลกยอมรับและ พิสูจน์แล้วว่าควรทำ นั่นคือ การกิน การนอน และการออกกำลังกาย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ค่าสุขภาพของ Johnson ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ในขณะเดียวกัน ยังมีอีกหลายสิ่งที่จัดอยู่ในกลุ่ม ยังไม่แน่นอน เช่น บรรดาอาหารเสริมหลายสิบเม็ดที่เขากิน และเทคโนโลยีต่าง ๆ (Interventions) เช่น การกระตุ้นเส้นประสาทเวกัส หรือการบำบัดด้วยแสง ซึ่งยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนถึงผลดีและผลเสียในระยะยาว และในระดับสุดท้ายคือสิ่งที่ ไม่แนะนำให้ทำโดยเด็ดขาด คือการถ่ายพลาสมาจากคนหนุ่มสาว ซึ่งมีความเสี่ยงสูง และไม่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ที่ชัดเจน

บทสรุปจากกรณีศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า 85% ของการมีสุขภาพที่ดีมาจากการทำพื้นฐานให้สมบูรณ์ ส่วนที่เหลือ คือเทคโนโลยีขั้นสูงที่ต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายมหาศาลและยังไม่มีผลลัพธ์ที่แน่นอน

ทลายความเชื่อผิด ที่ทำร้ายสุขภาพคนเมือง

หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของเวทีเสวนา คือการชี้ให้เห็นถึงความเข้าใจผิด ๆ ที่คนส่วนใหญ่มีต่อเรื่องสุขภาพ นพ.ยุทธนา ได้ทลายความเชื่อเรื่อง “อาหารคลีน-น้ำผลไม้ คืออาหารสุขภาพ” โดยย้ำว่า “ยิ่งอาหารไหนมีฉลากแปะว่า Healthy จำไว้เลยว่านั่นคือ Unhealthy” เพราะมักมีการเติมน้ำตาลแฝงรูปแบบอื่น อาหารที่ดีต่อสุขภาพอย่างแท้จริงคืออาหารที่ไม่ต้องมีฉลากอย่างผักสดหรือเนื้อสัตว์ที่ไม่ผ่านการแปรรูป (Whole Food)

ด้าน รวิศชี้ให้เห็นถึงการ “ออกกำลังกายเยอะ ๆ ยิ่งดี” ว่าเป็นความเข้าใจที่ผิด เพื่อน ๆ ของเขาส่วนใหญ่มักจะออกกำลังกายหนักเกินไปจนสุขภาพแย่ลง การออกกำลังกายที่ดีต้องมีความสมดุลทั้งคาร์ดิโอโซน 2 (150 นาที/สัปดาห์) HIIT (30 นาที/สัปดาห์) เวทเทรนนิ่ง (3-4 ครั้ง/สัปดาห์) และการยืดเหยียด

นอกจากนี้ เขายังได้ทลายความเชื่อที่ว่า “แคลอรีเท่ากัน ก็เหมือนกัน” โดยยกตัวอย่างว่า “น้ำหวาน 200 แคลอรี กับบลูเบอร์รี 200 แคลอรี ต่างกันโดยสิ้นเชิง” การนับแคลอรีอย่างเดียวโดยไม่สนคุณภาพของอาหารเป็นความผิดพลาดมหันต์

ในขณะที่ เกรซกล่าวว่า “โรค NCDs” ว่าไม่ใช่เรื่องของคนแก่อีกต่อไป ปัจจุบันค่าเฉลี่ยของคนไทยที่ต้องฟอกไตอยู่ที่อายุเพียง 30 กว่าปีเท่านั้น ซึ่งเป็นผลมาจากพฤติกรรมที่สะสมมาตั้งแต่วัยหนุ่มสาว เธอยังเตือนด้วยว่าการ “มีพุงนิดหน่อยไม่เป็นไร” เป็นความคิดที่อันตราย เพราะไขมันในช่องท้องคือ “แหล่งสะสมสารพิษ” และเป็นตัวหลั่งสารอักเสบที่ทำลายร่างกายอย่างต่อเนื่อง

พิมพ์เขียวสู่สุขภาพดี: จากไลฟ์สไตล์สู่การดูแลเชิงลึก

นอกจากการทลายความเชื่อผิด ๆ ผู้เชี่ยวชาญทุกท่านยังได้มอบแนวทางปฏิบัติที่จับต้องได้ โดยทุกคนเห็นตรงกันว่า การนอนคือรากฐานที่ต่อรองไม่ได้ หากนอนไม่ดี ทุกอย่างที่ทำก็จะสูญเปล่า ขณะที่ อาหารคือยาที่ดีที่สุด โดยควรเน้นอาหารจริงที่ไม่ผ่านการแปรรูป กินผักผลไม้ให้หลากหลายอย่างน้อย 30 ชนิดต่อสัปดาห์ โดยทานผักผลไม้ก่อน ตามด้วยโปรตีน และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนเป็นลำดับสุดท้าย เพื่อไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูง

ส่วนความเครียด คือศัตรูตัวฉกาจ ที่เกรซชี้ว่า ส่งผลโดยตรงต่อระบบฮอร์โมน ทำให้เกิดภาวะต่อมหมวกไตล้า (Adrenal Fatigue) และรบกวนการทำงานของไทรอยด์และฮอร์โมนเพศ การจัดการความเครียดและการมีสุขภาวะทางจิตวิญญาณจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้

นพ.ยุทธนากล่าวว่า ต้องให้ความสำคัญกับไมโทคอนเดรีย ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าของเซลล์ การทำ Fasting, Ice Bath, Red Light Therapy และการทานอาหารที่มีวิตามิน B3 ล้วนช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้ไมโทคอนเดรียได้ และยังแนะนำให้เปลี่ยนจากการตรวจสุขภาพทั่วไปมาเป็นการ ตรวจเชิงฟังก์ชัน (Functional Health Check-up) เช่น การตรวจภาวะดื้อต่ออินซูลิน (HOMA-IR) เพื่อประเมินความเสี่ยงได้ก่อนที่โรคจะปรากฏ

ท้ายที่สุดแล้ว ศาสตร์แห่ง Longevity ไม่ใช่การแข่งขันเพื่อมีชีวิตที่ยืนยาวที่สุด แต่คือการเดินทางเพื่อค้นหา “ความสมดุล” ที่เหมาะสมกับตัวเอง การมีสุขภาพกายและใจที่แข็งแรง ไม่ได้เป็นเพียงความรับผิดชอบส่วนบุคคล แต่คือการมอบ “มรดกที่ล้ำค่าที่สุด” ให้กับคนที่เรารักและสังคม ดังที่ คุณรวิศ ทิ้งท้ายไว้อย่างน่าประทับใจว่า “การที่พ่อแม่แข็งแรง ถือเป็นบุญกับลูกมาก” เพราะมันคือการมอบอิสรภาพให้ทั้งสองฝ่ายได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มศักยภาพและมีความสุขในทุกช่วงเวลาของชีวิต

ช่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

รพ.บำรุงราษฎร์ ชูความสำเร็จ ‘สถาบันโรคหัวใจ’ ขึ้นแท่นเบอร์ 1 เอเชีย

รพ.พญาไท พหลโยธิน เดิมพันครั้งใหญ่: ปั้น ‘Hub สุขภาพ’ ด้วยโมเดลที่เข้าถึงได้

×

Share

ผู้เขียน