ความร่วมมือระหว่าง Qualcomm ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีระดับโลก และ Green IO สตาร์ตอัพสัญชาติไทย อาจดูเหมือนเป็นเพียงโครงการเพื่อสังคมในการสร้างเครื่องตรวจจับมลพิษทางอากาศ แต่เบื้องหลังความร่วมมือนี้กลับซ่อนวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่กว่า นั่นคือการใช้เทคโนโลยี AI on Device (Edge AI) เป็นจุดเริ่มต้นในการวางรากฐานสำคัญสำหรับอนาคต เพื่อปักหมุดสร้าง ‘ระบบนิเวศ AI ของคนไทย’ (AI Ecosystem) ที่จะปลดล็อกศักยภาพของนักพัฒนาในประเทศและขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่
จุดเริ่มต้น: Tech for Good เมื่อเทคโนโลยีต้องรับใช้สังคม
โครงการนี้ถือกำเนิดขึ้นภายใต้ “Qualcomm Wireless Reach” ซึ่งเป็นโปรแกรม CSR ระดับโลกของ Qualcomm ที่ดำเนินมาแล้วกว่า 20 ปี ภายใต้แนวคิด “Tech for Good” หรือการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมือถือมาใช้เพื่อสร้างประโยชน์ให้สังคม โดยได้สนับสนุนไปแล้วกว่า 150 โครงการใน 73 ประเทศทั่วโลก
ชารอน อาราลูฟ ผู้อำนวยการฝ่ายขายของ Qualcomm CDMA Technologies Asia-Pacific เผยว่า Qualcomm มองเห็นปัญหาด้านมลพิษทางอากาศ (Air Pollution) ในประเทศไทย ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ Thailand 4.0 ของภาครัฐที่มุ่งเน้นการใช้นวัตกรรมแก้ปัญหาประเทศ จึงได้มอบเงินทุนสนับสนุนให้กับ Green IO ซึ่งเป็นบริษัทท้องถิ่นที่มีความเชี่ยวชาญและเข้าใจบริบทของปัญหาอย่างแท้จริง
ผลลัพธ์แรกของความร่วมมือคือ เครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศ ที่ออกแบบและผลิตโดยคนไทยทั้งหมดจำนวน 200 เครื่อง ซึ่งถูกนำไปติดตั้งในพื้นที่อ่อนไหว เช่น โรงเรียนและโรงพยาบาลในสังกัด กทม. รวมถึงพื้นที่ภาคเหนือที่ประสบปัญหาวิกฤตฝุ่น PM2.5 เป็นประจำทุกปี
เครื่องดังกล่าวไม่เพียงแค่วัดค่า PM2.5 และ PM10 แต่ยังสามารถตรวจวัดค่า CO2 (คาร์บอนไดออกไซด์) เพื่อประเมินความหนาแน่นของคนในพื้นที่, อุณหภูมิ, ความชื้น และ TVOC (สารระเหยอินทรีย์) ที่อาจก่อให้เกิดมะเร็งได้ โดยข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งผ่านเครือข่าย 4G ขึ้นสู่ระบบคลาวด์เพื่อแสดงผลบนแดชบอร์ดแบบเรียลไทม์

ที่สำคัญไปกว่านั้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพและความปลอดภัยสูงสุด Green IO ยังได้นำอุปกรณ์นี้ผ่านการทดสอบและขอใบอนุญาตจาก กสทช. เพื่อให้มั่นใจว่าคลื่นสัญญาณที่ส่งออกมาจะไม่รบกวนอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีความละเอียดอ่อน ซึ่งสะท้อนถึงความเป็นมืออาชีพและมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ “Made in Thailand”
หัวใจเทคโนโลยี: AI on Device พลังการประมวลผลที่ “ปลายทาง”
สิ่งที่ทำให้โครงการนี้แตกต่างและมีศักยภาพในการต่อยอด คือการใช้เทคโนโลยี AI on Device หรือ Edge AI ซึ่งเป็นการนำปัญญาประดิษฐ์ไปประมวลผลบนตัวอุปกรณ์โดยตรง แทนที่จะส่งข้อมูลทั้งหมดกลับไปประมวลผลบนคลาวด์
อิทธิชัย ภูมิศิริวิไล กรรมการผู้จัดการและผู้ร่วมก่อตั้ง Green IO สตาร์ตอัพไทยขนาดเล็กที่ขับเคลื่อนด้วยความหลงใหลในเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ ได้อธิบายความสำคัญของเทคโนโลยีนี้ว่าเปรียบเสมือนการนำ “สมอง” ไปใส่ไว้ในอุปกรณ์ขนาดเล็ก ทำให้เกิดข้อดีหลายประการ ประการแรกคือช่วยประหยัดพลังงานและลดการใช้ข้อมูล เนื่องจากอุปกรณ์ไม่จำเป็นต้องส่งข้อมูลปริมาณมหาศาล (เช่น ภาพวิดีโอ) ตลอดเวลา แต่จะประมวลผลและส่งเฉพาะผลลัพธ์ที่จำเป็น (เช่น จำนวนรถยนต์) ทำให้ใช้พลังงานและแบนด์วิดท์น้อยลงมาก
นอกจากนี้ ยังช่วยให้เกิดการตอบสนองที่รวดเร็ว (Low Latency)เพราะการประมวลผลเกิดขึ้นที่ตัวอุปกรณ์ทันที ไม่ต้องรอการส่งข้อมูลไป-กลับจากคลาวด์ ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งกับงานที่ต้องการความฉับไว และที่สำคัญที่สุดในยุคปัจจุบัน คือช่วยรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (Data Privacy) โดยข้อมูลที่อ่อนไหวจะถูกประมวลผลและจบภายในอุปกรณ์ ไม่ถูกส่งออกไปภายนอก
อิทธิชัยเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่า AI มี 2 ส่วน คือ การสอน (Training) ซึ่งเปรียบเหมือนการสอนเด็กให้เรียนรู้ ซึ่งต้องใช้พลังประมวลผลสูงบนคลาวด์ และ การนำไปใช้งาน (Inference) คือการนำเด็กที่เรียนรู้แล้วไปทำงานจริง ซึ่งเทคโนโลยี AI on Device ของ Qualcomm จะเข้ามาตอบโจทย์ในส่วนหลังนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
วิสัยทัศน์อนาคต: สร้าง Developer Community ต่อยอดสู่เศรษฐกิจใหม่
Green IO และ Qualcomm ไม่ได้มองว่านี่เป็นเพียงโครงการที่ทำแล้วจบไป แต่มองว่านี่คือ ก้าวแรกในการสร้างระบบนิเวศที่ใหญ่กว่า
เป้าหมายต่อไปคือการพัฒนาบอร์ดเพื่อการศึกษา (Education Board) หรือชุดเครื่องมือ (Toolkit) ที่ขับเคลื่อนด้วยชิปเซ็ตของ Qualcomm เพื่อให้นักพัฒนาและนักศึกษาไทยสามารถนำไปสร้างสรรค์แอปพลิเคชัน AI on Device ของตัวเองได้ง่ายขึ้น
“เราไม่ได้ต้องการเงินทุนสนับสนุนตลอดไป เราต้องการสร้าง System ที่ยั่งยืน เราต้องการสร้าง Community พอมีคนใช้เยอะ มีนักพัฒนาไทยที่เข้าใจเทคโนโลยีนี้มากขึ้น มันจะสามารถสร้าง Business Domain ใหม่ๆ สร้างเศรษฐกิจใหม่ในประเทศไทยได้ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าเทคโนโลยีราคาแพงจากต่างประเทศเสมอไป” อิทธิชัย กล่าว
อิทธิชัยขยายความต่อว่า โมเดลธุรกิจนี้ไม่ได้เน้นการขายไลเซนส์ แต่เป็นการสร้างคอมมูนิตี้ให้แข็งแกร่งก่อน โดยเชื่อว่าเมื่อมีฐานผู้ใช้ที่ใหญ่พอ รายได้จะตามมาจากการขายอุปกรณ์และบริการเสริมอื่น ๆ เช่น การฝึกอบรม ซึ่งเป็นโมเดลที่เน้นสร้างความยั่งยืนในระยะยาว
ในมุมของ Qualcomm คุณชารอนได้สะท้อนภาพความร่วมมือว่า โครงการลักษณะนี้ไม่ได้เกิดจากไอเดียของสำนักงานใหญ่ แต่เกิดจากการฝันร่วมกันกับพาร์ทเนอร์ท้องถิ่น พวกเขามองว่าประเทศไทยคือแหล่งกำเนิดไอเดียและโซลูชันที่เกิดขึ้นในไทยก็มีศักยภาพที่จะถูกนำไปปรับใช้ในภูมิภาคอื่นของโลก เช่น อเมริกาใต้ได้ในอนาคต
“ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการขับเคลื่อน Digital Transformation และ Qualcomm พร้อมที่จะสนับสนุนบริษัทและนักพัฒนาไทยในการนำเทคโนโลยีไปปรับใช้ เพื่อสร้างสรรค์โซลูชันใหม่ ๆ ที่อาจขยายผลไปสู่ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคได้ในอนาคต”
ยิ่งไปกว่านั้น การลงทุนครั้งนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแผนการใหญ่ เพราะ Qualcomm ยังมองหาโอกาสทางธุรกิจในไทยอย่างจริงจังในภาค การเกษตร (Agriculture) และ พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) ซึ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความเชื่อมั่นต่อศักยภาพการเติบโตของตลาดเทคโนโลยีในไทย
ความร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นมากกว่าการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่คือการลงทุนใน “คน” และการวางโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี ที่จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถยืนบนขาของตัวเองและแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างแท้จริงด้วยพลังของนักพัฒนาไทยเอง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Beam เปิดตัว ‘Bolt+’ เดินหน้าสู่สังคมไร้เงินสด
Longevity ที่แท้จริง คือ ‘นอน-กิน-ออกกำลังกาย’ ไม่ใช่เทรนด์หรูหรา




