จะเกิดอะไรขึ้นหากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ทั้งประเทศเฝ้าติดตาม อาจถูกลบล้างให้หายไปในพริบตาด้วยมหาอุทกภัยหรือคลื่นความร้อนเพียงครั้งเดียว? นี่ไม่ใช่คำถามจากโลกอนาคต แต่คือแก่นกลางของบทสนทนาสุดเข้มข้นที่ชี้ว่า วิกฤติ Climate Change ได้เดินทางมาถึงจุดที่มันไม่ใช่แค่ปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ได้กลายร่างเป็น “โจทย์ความอยู่รอดทางเศรษฐกิจ” ของประเทศไทยไปแล้วโดยสมบูรณ์
เวทีเสวนา From Climate Change to Disaster ในงาน Sustainability Expo 2025 ได้ชวนเราตั้งคำถามสำคัญที่สุดในยุคนี้ ไม่ใช่ “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่?” แต่เป็น “ในเมื่อหายนะได้เกิดขึ้นแล้ว เราจะอยู่กับมันอย่างไร?” นี่คือโจทย์ใหญ่ที่วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิได้ร่วมกันแกะรอยหาทางออก ทั้งในมิติบุคคล ธุรกิจ และนโยบายระดับประเทศ
ความจริงที่ต้องยอมรับ: ไทยเปราะบางแค่ไหนในสมรภูมิโลกร้อน
ปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ประเทศไทยมีความเปราะบางสูงต่อผลกระทบจาก Climate Change อย่างยิ่งยวด ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับ 9 ของโลกโดย German Watch ดัชนีดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงการคาดการณ์ แต่เป็นการประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงจากสภาพอากาศสุดขั้ว โดยพิจารณาทั้งจำนวนผู้เสียชีวิตและความสูญเสียทางเศรษฐกิจ
“เหตุการณ์มหาอุทกภัยปี 2554 คือปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออันดับของไทยในขณะนั้น แม้ปัจจุบันอันดับจะดีขึ้น แต่ก็เป็นเพราะเรารับมือได้ดีขึ้นเท่านั้น หาใช่เพราะภัยคุกคามลดลงไม่”
หายนะยังคงอยู่ และมีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้นตามอุณหภูมิโลกที่สูงทะลุเป้าหมาย 1.5 องศาเซลเซียสไปแล้ว สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือการมาถึงของ “จุดเปลี่ยนที่หวนกลับไม่ได้” (Tipping Point) ซึ่งปรากฏเป็นภัยคุกคามที่มองเห็นได้ชัดเจนขึ้นทุกวัน
นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าภายในปี 2100 ระดับน้ำทะเลในอ่าวไทยอาจสูงขึ้นถึง 2-2.5 เมตร ในขณะที่กรุงเทพฯ สูงกว่าระดับน้ำทะเลเพียง 1.5 เมตร นั่นหมายถึงพื้นที่เศรษฐกิจและประวัติศาสตร์สำคัญกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงมหาศาล โดยภัยคุกคามเหล่านี้มีต้นตอมาจากแดนไกลอย่างการละลายของธารน้ำแข็งที่ขั้วโลกและกรีนแลนด์ ซึ่งบางแห่งอาจถึงจุดที่ไม่สามารถกลับมาแข็งตัวได้อีก และกลายเป็นสาเหตุหลักที่ส่งผลโดยตรงต่อระดับน้ำทะเลทั่วโลก รวมถึงชายฝั่งของไทย นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่า Climate Change เป็นปัญหาไร้พรมแดนอย่างแท้จริง
เครื่องมือเอาตัวรอด: ความรู้เท่าทัน-ข้อมูลในมือ-และพลเมืองที่ตื่นตัว
เมื่อภัยพิบัติเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ศ.ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล Director, Climate Economy Agenda, BRANDi Institure of Systematic Transformation (BiOST) ได้เสนอทางรอดที่สำคัญที่สุดสองประการ คือการสร้าง Climate Literacy และ การใช้ข้อมูลเพื่อขับเคลื่อน
แนวคิดเรื่องความรู้เท่าทันสภาวะโลกรวน หรือ Climate Literacy นั้นหมายความว่า ไม่ว่าจะเป็นแม่ค้าขายไก่ย่างหรือซีอีโอบริษัทข้ามชาติ ทุกคนจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ โดยเริ่มต้นจากการรู้สถานะของตัวเอง ควบคู่ไปกับการรู้ประวัติศาสตร์เพื่อวางอนาคต และท้ายที่สุดคือการรู้เพื่อส่งเสียงได้อย่างถูกต้อง เพราะเมื่อมีข้อมูลในมือ ประชาชนจะสามารถเรียกร้องต่อนโยบายภาครัฐได้อย่างตรงจุด
นอกจากนี้ การใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการเยียวยาความเสียหายที่ปลายเหตุ มาเป็นการลงทุนเพื่อป้องกันตั้งแต่ต้นทาง โดยใช้ข้อมูลมาสร้างสมดุลระหว่างมูลค่าความเสียหาย งบประมาณที่รัฐต้องใช้อุดหนุน และการลงทุนในนวัตกรรม ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การใช้แนวทางธรรมชาติ (Nature-based Solutions) เช่น การฟื้นฟูป่าชายเลนเพื่อเป็นกำแพงป้องกันการกัดเซาะ ไปจนถึงเทคโนโลยีด้านวิศวกรรมอย่างการสร้างระบบเตือนภัยล่วงหน้า หรือการพัฒนาระบบชลประทานอัจฉริยะ
ในระดับนโยบาย
เครื่องมือสำคัญที่สะท้อนแนวคิดนี้คือ แผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (NAP) ซึ่งเปรียบเสมือนพิมพ์เขียวของประเทศในการสร้างภูมิคุ้มกันใน 6 สาขาหลัก ตั้งแต่การจัดการน้ำ การเกษตร ไปจนถึงสาธารณสุขและการตั้งถิ่นฐาน
พลิกมุมคิดเศรษฐกิจ: เมื่อ GDP ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการอยู่รอด
ศ.ดร.พิสุทธิ์ ยังได้ท้าทายมุมมองทางเศรษฐศาสตร์แบบดั้งเดิมที่มุ่งเน้นแต่การเติบโตของ GDP โดยชี้ให้เห็นว่า หายนะครั้งเดียวอาจลบการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สะสมมาหลายปี จนเกิดเป็นสภาวะ Net Negative GDP ได้ ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่ต้องมีการผลักดันในสองมิติสำคัญ ประการแรกคือการยกระดับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ให้เป็นกระทรวงเกรด Double A เทียบเท่ากระทรวงการคลัง เพราะความมั่นคงทางสิ่งแวดล้อมคือรากฐานของความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
ประการที่สองคือการมองเห็นโอกาสในวิกฤติ เนื่องจากประเทศไทยมีศักยภาพสูงมากในตลาดคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูง (Highest Quality Carbon Credit) ตลาดดังกล่าวคือกลไกที่เปิดให้โครงการที่ช่วยลดโลกร้อน เช่น การปลูกป่าสามารถขายเครดิตให้กับองค์กรที่ต้องการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเอง ที่น่าสนใจคือคาร์บอนเครดิตของไทยถูกจัดว่ามีคุณภาพสูง เพราะไม่ได้ให้แค่ประโยชน์ด้านการลดคาร์บอน แต่ยังสร้าง “ผลประโยชน์ร่วม” (Co-benefits) ที่สำคัญ เช่น การรักษาความหลากหลายทางชีวภาพและสนับสนุนอาชีพของชุมชนท้องถิ่น ทำให้เป็นที่ต้องการในตลาดโลก
ผลกระทบที่กว้างกว่าพายุและน้ำท่วม: สู่ความมั่นคงทางอาหารและโรคอุบัติใหม่
ดร.กรรณิการ์ เฉินรอง ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ได้ขยายภาพให้เห็นว่า Climate Change ไม่ได้ส่งผลแค่เรื่องดินฟ้าอากาศ แต่ยังกระทบต่อรากฐานการดำรงชีวิตของเราอย่างรุนแรง ตั้งแต่ปัญหาความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งพื้นที่เกษตรกรรมหลายแห่งไม่สามารถปลูกพืชเดิมได้อีกต่อไป และสัตว์เศรษฐกิจอย่าง “ผึ้ง” ซึ่งเป็นหัวใจของระบบนิเวศก็กำลังลดจำนวนลง
ไปจนถึงภัยจากโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อยุงสามารถขยายพันธุ์ในพื้นที่ที่สูงและหนาวเย็นขึ้น หรือการละลายของชั้นดินเยือกแข็งคงตัวที่ขั้วโลกที่อาจปลดปล่อยเชื้อโรคดึกดำบรรพ์ออกมาเป็นโรคอุบัติใหม่ที่น่าสะพรึงกลัว
“Public Education คือหัวใจสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้ โดยเฉพาะกับเยาวชนคนรุ่นใหม่ เพื่อให้พวกเขาเข้าใจว่าทุกการกระทำและการบริโภคของตนเอง สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงโลกได้”
ท้ายที่สุดแล้ว วิกฤติโลกร้อนไม่ใช่แค่บททดสอบการปรับตัว แต่คือภารกิจร่วมกันของคนรุ่นเราเพื่อส่งต่ออนาคตให้ลูกหลาน การเปลี่ยนแปลงนี้ยิ่งใหญ่เกินกว่าใครจะแบกรับโดยลำพัง และเรียกร้องให้เราทุกคนลุกขึ้นมาเป็น Active Citizen ที่พร้อมขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่พฤติกรรมในชีวิตประจำวันไปจนถึงนโยบายระดับชาติ เพราะคำถามสุดท้ายไม่ได้อยู่ที่ว่าเราจะรอดหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าประวัติศาสตร์จะจารึกถึงเราในฐานะผู้สร้างทางรอด หรือผู้ที่ปล่อยให้โอกาสสุดท้ายในการปกป้องบ้านเพียงหนึ่งเดียวของเราหลุดลอยไป
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Qualcomm จับมือ Green IO สร้าง AI Ecosystem ขับเคลื่อนโดยนักพัฒนาไทย
Sustainability Expo 2025: ชูแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงสร้างอนาคตยั่งยืน
เมืองไทยประกันชีวิต ขึ้นทะเบียน ‘คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร’ ต่อเนื่องปีที่ 3




