Share on
×

Share

SME โตเร็ว: สร้างแบรนด์ด้วย Passion มัดใจด้วย Experience

จาก Passion สู่ Experience: ถอดรหัสความสำเร็จ 4 แบรนด์ SME แถวหน้า

เบื้องหลังความสำเร็จของแบรนด์ไทยที่กำลังสร้างชื่อเสียง ตั้งแต่แบรนด์ขนมไทยร่วมสมัยที่ใคร ๆ ก็ต้องต่อคิว ออร์แกไนเซอร์อีเวนต์ที่ครองใจคนรุ่นใหม่ แบรนด์จิวเวลรี่ที่เต็มเปี่ยมด้วยความหมาย ไปจนถึงแบรนด์ Luxury Wellness ที่ก้าวไกลสู่ระดับโลก มีสูตรลับอะไรซ่อนอยู่?

จากการถอดรหัสแนวคิดของผู้ก่อตั้งและผู้บริหารแบรนด์เหล่านี้ พบว่าแก่นแท้ของความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่ผลิตภัณฑ์ที่ดีเพียงอย่างเดียว แต่หยั่งรากลึกไปถึง “จุดเริ่มต้น” ที่มาจากความหลงใหลส่วนตัวและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ตามด้วย “กลยุทธ์” การเข้าสู่ตลาดที่ชาญฉลาดและแตกต่าง และปิดท้ายด้วยหัวใจสำคัญที่สุดคือการสร้าง “ประสบการณ์” ที่ทำให้แบรนด์เป็นที่รักและสร้างความผูกพันกับลูกค้าได้อย่างยั่งยืน บทความนี้จะพาไปสำรวจบทเรียนล้ำค่าจากแนวคิดเหล่านี้ ที่เป็นเหมือนคู่มือสำหรับผู้ประกอบการทุกคนที่ต้องการสร้างการเติบโตจากศูนย์สู่ร้อย

จุดเริ่มต้นจาก “Passion” และการมองเห็น “ช่องว่าง” ในตลาด

หัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ มักเกิดจากการผสมผสานระหว่างความหลงใหลส่วนตัว (Passion) และการมองเห็นโอกาสทางธุรกิจที่คนอื่นอาจยังไม่เห็น ซึ่งเป็นจุดร่วมที่น่าสนใจของผู้ร่วมเสวนาทั้งสี่ท่าน สำหรับ แก้ว Boutique นั้น เมธัส ชัยมงคลานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง เล่าว่าธุรกิจของเขาต่อยอดมาจากร้านของฝากของครอบครัวซึ่งมีการทำขนมไทยขายอยู่แล้ว ประกอบกับความรักในการทำขนมมาตั้งแต่เด็กของตัวเขาเอง สิ่งนี้ได้จุดประกายให้ต้องการต่อยอดและทำให้ขนมไทยสามารถ “Relevant” หรือเข้ากับยุคสมัยปัจจุบันได้อย่างแท้จริง

เขามองเห็นช่องว่างว่า ขนมไทยมักถูกมองว่าเป็นของสำหรับเทศกาลหรือสำหรับผู้ใหญ่ เขาจึงต้องการสร้างแบรนด์ที่ทำให้คนรุ่นใหม่รู้สึกว่าสามารถทานขนมไทยได้ในชีวิตประจำวัน และไม่รู้สึกเขินอายที่จะแบ่งปันลงบนโซเชียลมีเดีย

เช่นเดียวกันกับ RAVIPA ที่ถือกำเนิดขึ้นจากสองส่วนประกอบสำคัญ ส่วนแรกคือพรสวรรค์ของพี่สาวผู้ก่อตั้ง ซึ่งชนะรางวัลด้านการออกแบบจิวเวลรี่มาแล้วมากมาย และส่วนที่สองคือวิสัยทัศน์ของ ธนิสา วีระศักดิ์ศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง ที่มองเห็นช่องว่างในตลาดเครื่องประดับ เธอมองว่า “ของสวยมีอยู่เยอะมาก ๆ แล้ว แต่ของที่สวยและดีต่อใจ ที่มีคุณค่ามาก ๆ ไม่ได้มีอยู่เยอะ” ด้วยเหตุนี้ RAVIPA จึงไม่ได้เริ่มต้นจากการเป็นแค่เครื่องประดับสวยงาม แต่เริ่มต้นจากการเป็นเครื่องประดับที่มีความหมาย (Meaningful Jewelry) และสามารถสวมใส่ได้ในทุกวัน โดยมีจุดกำเนิดจาก “แหวนคู่ Infinity” วงแรกนั่นเอง

ในขณะที่ Good Hood มีจุดเริ่มต้นที่แตกต่างออกไป โดยเกิดจากการรวมตัวกันของ “กลุ่มเพื่อน” จากหลากหลายวงการ ทั้งฝั่งร้านค้า ฝ่ายโปรดักชัน และนักดนตรี แสนสิริ ศิริพรเลิศกุล ผู้ร่วมก่อตั้ง เล่าว่าพวกเขาต้องการสร้างอีเวนต์ที่เจ้าของร้านค้าได้เข้ามามีส่วนร่วมกับงานอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่มาตั้งร้านขายของ แต่เป็นการสร้างคอมมูนิตี้ที่ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า ลูกค้า หรือศิลปิน ได้มาอยู่ในระนาบเดียวกันและร่วมสร้างประสบการณ์ที่ดีไปด้วยกัน ซึ่งถือเป็นการมองเห็นช่องว่างในตลาดอีเวนต์ที่เน้นการสร้างปฏิสัมพันธ์และวัฒนธรรม มากกว่าแค่การซื้อขายเพียงอย่างเดียว

กลยุทธ์พิชิตตลาดการเปลี่ยนไอเดียให้เป็นความจริง

เมื่อมีไอเดียตั้งต้นแล้ว ความท้าทายลำดับถัดมาคือการนำไอเดียนั้นเข้าสู่ตลาดให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งผู้ร่วมเสวนาแต่ละท่านได้แบ่งปันกลยุทธ์ที่แตกต่างและน่าสนใจอย่างยิ่ง โดยมุมมองที่โดดเด่นมาจาก PAÑPURI ซึ่ง ปราโมทย์ เดชะบุญศิริพานิช กรรมการผู้จัดการ เล่าวว่า เขาเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ว่าในตลาดที่มีผู้เล่นรายใหญ่จำนวนมาก การสร้างความแตกต่างคือหัวใจสำคัญ โดยยกตัวอย่างการพัฒนา Perfume Oil ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่แบรนด์มีความเชี่ยวชาญ แทนที่จะลงไปแข่งขันในตลาดน้ำหอมแบบสเปรย์ที่มีการแข่งขันสูงอยู่แล้ว พร้อมให้หลักคิดที่น่าสนใจว่า “เราเก่งใน Segment ที่เล็ก ดีกว่าเราเล็กใน Segment ที่ใหญ่” ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงความสำคัญของการหาตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) และสร้างความแข็งแกร่งในตลาดนั้นให้ได้ก่อน

ในทางกลับกัน แก้ว Boutique ใช้กลยุทธ์ที่เน้นการทดลองและเรียนรู้จากตลาดจริง คุณเมธัส ยอมรับว่า “เราไม่รู้เลยว่าตัวไหนจะมา” ดังนั้น กระบวนการของแบรนด์จึงเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์เบื้องหลัง จากนั้นนำไปทดสอบกับกลุ่มเป้าหมายที่เชื่อถือได้ เมื่อปล่อยสินค้าสู่ตลาดแล้ว ทีมงานจะคอยเก็บข้อมูลและเสียงตอบรับจากลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อนำมาประเมินว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้ ซึ่งเป็นแนวทางการทำงานที่ยืดหยุ่นและใช้ข้อมูลจากตลาดจริงเป็นตัวตัดสินใจ

ขณะที่ Good Hood ซึ่งเริ่มต้นด้วยทุนที่จำกัด ได้เลือกใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างออกไป คุณแสนสิริ เล่าว่าการลงทุนที่สำคัญที่สุดในช่วงแรกไม่ใช่การตลาด แต่คือ การเลือกร้านค้าที่ดี เพราะแก่นของงานคือร้านค้าที่มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของคอมมูนิตี้ การคัดสรรร้านค้าที่มีคุณภาพและมีฐานแฟนคลับของตัวเอง ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เขาเรียกว่า การทำ Marketing ฟรี กล่าวคือ ร้านค้าเหล่านั้นได้ช่วยโปรโมทและดึงดูดลูกค้ามายังงาน ทำให้ Good Hood สามารถสร้างชื่อเสียงและเติบโตขึ้นจากพลังของคอมมูนิตี้ได้อย่างแข็งแกร่ง

มากกว่าสินค้าคือประสบการณ์สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รัก

สิ่งที่ทำให้ทั้ง 4 แบรนด์แตกต่างและประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน คือการมอบสิ่งที่เรียกว่า “ประสบการณ์” ให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นหัวข้อที่ผู้ร่วมเสวนาทุกคนต่างให้ความสำคัญอย่างยิ่ง คุณปราโมทย์ อธิบายแนวคิดนี้ว่า ในยุคปัจจุบัน ร้านค้าไม่ใช่แค่จุดขาย (Point of Sale) อีกต่อไป แต่ต้องเป็นจุดสร้างประสบการณ์ (Point of Experience) ที่ลูกค้าสามารถเข้ามามีปฏิสัมพันธ์และสัมผัสกับแบรนด์ได้อย่างเต็มที่ เขาได้ยกตัวอย่าง Panpuri Wellness Onsen and Spa ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ลูกค้าสามารถเข้ามาใช้บริการและได้ทดลองผลิตภัณฑ์ของปัญญ์ปุริทั้งหมดไปในตัว สร้างความเข้าใจและความผูกพันกับแบรนด์ได้อย่างลึกซึ้ง

เช่นเดียวกันกับ RAVIPA ซึ่ง คุณธนิสา ย้ำว่าแบรนด์ของเธอไม่ได้ขายแค่จิวเวลรี่ แต่ขาย Emotion หรือความรู้สึกผูกพัน การออกแบบ Flagship Store ของแบรนด์จึงถูกคิดมาเพื่อ “บิ้วด์ Emotion” ของลูกค้า โดยเป็นการนำพาลูกค้าเดินทางไปกับเรื่องราวของแบรนด์ในแต่ละชั้น สร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำมากกว่าแค่การเข้ามาเลือกซื้อสินค้า

ในขณะที่ Good Hood Services คือตัวอย่างที่ชัดเจนของการเปลี่ยนตลาดให้กลายเป็น Experience Event อย่างเต็มรูปแบบ จากจุดเริ่มต้นที่เป็นเพียงการรวมร้านค้า ปัจจุบันได้กลายเป็นเทศกาลที่ผสมผสานทั้งการช้อปปิ้ง ดนตรี อาหาร และเครื่องดื่มเข้าไว้ด้วยกัน คุณแสนสิริ กล่าวว่า บ่อยครั้งที่ผู้หญิงมาเพื่อซื้อของ แต่ผู้ชายมาเพื่อฟังเพลง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า Good Hood ได้กลายเป็นพื้นที่ที่มอบประสบการณ์หลากหลายและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้คนได้อย่างครอบคลุม

ส่วน แก้ว Boutique เองก็สร้างประสบการณ์ผ่านเรื่องราวที่ไม่คาดคิด เช่น “ขนมชั้นแซลมอน” ที่แท้จริงแล้วคือขนมชั้นรสชาไทย แต่ลูกค้าเป็นผู้ตั้งชื่อและร่วมกันสร้างกระแสจนกลายเป็นไวรัล ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประสบการณ์ของแบรนด์สามารถเกิดขึ้นได้จากตัวผลิตภัณฑ์ที่แข็งแรงและเรื่องราวที่สนุกสนาน จนทำให้ลูกค้าอยากมีส่วนร่วมและบอกต่อด้วยตัวเอง

การสร้างธุรกิจ SME ให้เติบโตอย่างยั่งยืนในยุคปัจจุบันนั้น มีมิติที่ลึกซึ้งกว่าแค่การมีผลิตภัณฑ์ที่ดี ความสำเร็จเริ่มต้นจากจุดประกายที่เป็นตัวตนและจริงใจ ผ่านการวางกลยุทธ์ที่เข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้ง และท้ายที่สุดคือการส่งมอบประสบการณ์ที่สามารถเปลี่ยนลูกค้าให้กลายเป็นแฟนคลับผู้ภักดี เรื่องราวของ แก้ว Boutique, Good Hood, RAVIPA, และ PAÑPURI ไม่ใช่แค่กรณีศึกษาที่น่าสนใจ แต่เป็นบทพิสูจน์ว่าแบรนด์ที่แข็งแกร่งที่สุดคือแบรนด์ที่สามารถเล่าเรื่องราวของตัวเองได้อย่างทรงพลัง และสร้างความผูกพันกับลูกค้าได้มากกว่าแค่การซื้อขาย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญสำหรับทุกธุรกิจที่ต้องการเติบโตจากศูนย์สู่ร้อย

×

Share

ผู้เขียน