ในยุคที่โลกหมุนเร็วกว่าเข็มนาฬิกา และความไม่แน่นอน (Uncertainty) กลายเป็นความปกติใหม่ เวที Thailand Marketing Day 2025 ครั้งนี้จึงไม่ได้จำกัดขอบเขตอยู่เพียงกลยุทธ์การขายสินค้าหรือการสร้างแบรนด์แบบเดิมๆ อีกต่อไป แต่ได้ขยายมิติไปสู่ปัจจัยมหภาคที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อโครงสร้างต้นทุนของผู้บริโภคและทิศทางธุรกิจไทย นั่นคือเรื่องของ “พลังงาน”
อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และอดีตนายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย ได้ขึ้นเวทีเพื่อสะท้อนทิศทางอนาคตที่น่าสนใจ โดยชี้ให้เห็นว่า “พลังงาน” กำลังเปลี่ยนบทบาทจากปัจจัยพื้นฐาน (Utility) ที่ธุรกิจมองเป็นเพียงรายจ่าย ไปสู่หัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ (Economic Driver) และเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลังในยุค Next Normal
สมดุล 3 เสาหลัก: โจทย์ใหญ่ที่โลกและไทยต้องก้าวข้าม
คุณอรรถพลเปิดประเด็นด้วยการวิเคราะห์บริบทโลกที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ทั้งปมปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ที่ส่งผลต่อราคาเชื้อเพลิง วิกฤติสภาวะโลกร้อน (Climate Change) ที่นำมาสู่มาตรการกีดกันทางการค้า และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปสู่ความยั่งยืน โจทย์ใหญ่ของภาคพลังงานไทยจึงหนีไม่พ้นการบริหารจัดการ “สมดุล 3 ด้าน” (Energy Trilemma)ให้ลงตัว ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างยิ่ง
- ความมั่นคง (Security): ไม่ใช่แค่เรื่องไฟฟ้าไม่ดับ แต่หมายถึงเสถียรภาพของการจัดหาแหล่งพลังงานในระยะยาว เพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองและเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนต่างชาติ
- สิ่งแวดล้อม (Environment): ประเทศไทยต้องมุ่งสู่พลังงานสะอาด (Green Energy) อย่างจริงจัง เพื่อตอบโจทย์กติกาโลก เช่น CBAM และเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก
- เศรษฐกิจ (Economy): ราคาพลังงานต้องสมเหตุสมผลและแข่งขันได้ หากมุ่งแต่พลังงานสะอาดจนต้นทุนสูงลิ่ว ภาคธุรกิจจะแบกรับภาระไม่ไหวและเสียเปรียบในการแข่งขัน
ภายใต้โจทย์ที่ซับซ้อนนี้ รมว.พลังงาน ได้ประกาศใช้นโยบาย “Quick, Big, Win” (ทำเร็ว เรื่องใหญ่ และวินทุกฝ่าย) เป็นเข็มทิศในการกางแผนที่การเดินทางของพลังงานไทย ซึ่งเต็มไปด้วยโอกาสทางการตลาดมหาศาล
Solar for The People: ปลดล็อกประชาชนสู่สถานะ “ผู้ผลิต”
ไฮไลท์สำคัญที่สร้างความสนใจในวงกว้างและถือเป็น “Quick Win” ที่จับต้องได้ที่สุด คือมาตรการ “โซลาร์ภาคประชาชน” (Solar for the People) นี่ไม่ใช่เพียงโครงการประหยัดไฟ แต่คือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ครั้งใหญ่ที่กระจายอำนาจการผลิตไฟฟ้าจากรัฐสู่มือประชาชน
- เปลี่ยนบทบาทสู่ Prosumer: รัฐกำลังผลักดันโครงการนำร่อง 100 เมกะวัตต์ และส่งเสริมโรงไฟฟ้าชุมชนอย่างจริงจัง เพื่อให้ประชาชนสามารถผลิตไฟฟ้าใช้เอง และหากมีส่วนเกินก็สามารถขายคืนเข้าระบบได้ เปลี่ยนสถานะจากผู้ซื้อ (Consumer) เป็นผู้ผลิตและผู้ใช้ (Prosumer) สร้างรายได้ใหม่ให้ครัวเรือน
- แรงจูงใจทางการคลัง: มาตรการที่เรียกเสียงฮือฮาคือ การนำค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง Solar Rooftop ในครัวเรือนมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 200,000 บาท นโยบายนี้เปรียบเสมือนการ Subsidize ทางอ้อมที่ช่วยลดระยะเวลาคืนทุน (Payback Period) ให้สั้นลง ซึ่งถือเป็นกลไกกระตุ้นการตัดสินใจของผู้บริโภคที่มีนัยสำคัญที่สุดเท่าที่เคยมีมา
- ฐานรากเข้มแข็ง: การขยายผลสู่ภาคเกษตรกรรม ด้วยการใช้โซลาร์เซลล์เพื่อสูบน้ำเพื่อการเกษตร และระบบประปาหมู่บ้าน ช่วยลดต้นทุนค่าน้ำมันดีเซลและค่าไฟฟ้าให้เกษตรกรและชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาความยากจนที่ต้นเหตุ
ในมุมมองนักการตลาด: นี่คือโอกาสทองในการนำเสนอสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Solution) ตั้งแต่แผงโซลาร์ อินเวอร์เตอร์ ไปจนถึงบริการสินเชื่อเพื่อการติดตั้ง (Green Finance) เพื่อเจาะกลุ่มผู้บริโภคที่กำลังมองหาทางเลือกในการลดค่าใช้จ่ายและต้องการภาพลักษณ์รักษ์โลก
โครงสร้างพื้นฐานใหม่: กุญแจดึงดูดเม็ดเงิน Data Center
คุณอรรถพลระบุถึง “คอขวด” สำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล นั่นคือ ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานทางพลังงานในยุคที่ AI และ Cloud Computing เฟื่องฟู
ปัจจุบัน บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ระดับโลก (Big Tech) ต่างต้องการเข้ามาตั้ง Data Center ในไทย เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลภูมิภาค แต่มีเงื่อนไขสำคัญที่ต่อรองไม่ได้คือ “ต้องใช้พลังงานสะอาด (Green Energy)” แบบ 100% ปัญหาคือสายส่งและระบบกักเก็บพลังงานของ ประเทศไทยจำเป็นต้องได้รับการยกระดับ อย่างเร่งด่วนเพื่อรองรับความต้องการนี้
ทางออกที่กระทรวงพลังงานกำลังเร่งดำเนินการคือ:
- Smart Grid: ปรับปรุงระบบสายส่งให้เป็นระบบอัจฉริยะ สามารถรองรับความผันผวนของพลังงานหมุนเวียนได้ดียิ่งขึ้น
- ขจัด Demand เทียม: แก้ปัญหาการจองโควตาไฟฟ้าไว้แต่ไม่ใช้จริง (Artificial Demand) ซึ่งกันที่ผู้ลงทุนรายใหม่ รัฐจะเข้ามาเคลียร์โควตาเหล่านี้เพื่อเปิดทางให้ Real Demand จากนักลงทุนตัวจริงเข้ามาได้
นี่คือสัญญาณเตือนให้ภาคธุรกิจเตรียมพร้อมรับมือกับการเข้ามาของ Tech Company ที่จะเข้ามาเปลี่ยนภูมิทัศน์เศรษฐกิจไทย ซึ่งจะนำมาซึ่งความต้องการสินค้าและบริการใน Ecosystem ของดิจิทัลอีกมหาศาล
PDP ฉบับใหม่: มองไกล 20 ปี สู่ Hydrogen และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จิ๋ว (SMR)
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของประเทศคือ แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP) ฉบับใหม่ ที่กำลังเปลี่ยนผ่านจาก PDP 2018 ไปสู่แผนที่มองไกลไปอีก 15-20 ปีข้างหน้า เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายระดับชาติคือ Carbon Neutrality ในปี 2050 และ Net Zero ในปี 2065
คุณอรรถพลระบุชัดเจนว่า พลังงานรูปแบบเดิม (Fossil) จะถูกลดบทบาทลง และแทนที่ด้วยเทคโนโลยีแห่งอนาคตเพื่อสร้างความมั่นคงระยะยาว:
- พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy): เร่งสัดส่วนการผลิตจากแสงอาทิตย์ ลม และโดยเฉพาะ Floating Solar (โซลาร์ลอยน้ำ) ตามเขื่อนต่างๆ ซึ่งไทยมีศักยภาพสูงและต้นทุนต่ำ
- เทคโนโลยีใหม่ (New Technology): การเริ่มพูดถึง Hydrogen ในฐานะเชื้อเพลิงอนาคตสำหรับภาคขนส่งและอุตสาหกรรม และการศึกษาความเป็นไปได้ของ SMR (Small Modular Reactors) หรือโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก ที่มีความปลอดภัยสูง ใช้พื้นที่น้อย เพื่อมาเป็นโรงไฟฟ้าฐาน (Base Load) ที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ ซึ่งเป็นทางเลือกที่ทั่วโลกกำลังจับตามอง
- CCUS: เทคโนโลยีดักจับ การใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน เพื่อช่วยให้อุตสาหกรรมที่ยังจำเป็นต้องใช้ฟอสซิลสามารถจัดการกับก๊าซเรือนกระจกได้
นักการตลาดคือ “ผู้นำการเปลี่ยนแปลง”
รมว.พลังงาน ทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิดว่า นโยบายรัฐไม่ว่าจะออกแบบมาดีแค่ไหน จะขับเคลื่อนไปสู่ความสำเร็จไม่ได้หากขาดกลไกทางการตลาดที่จะสื่อสารและสร้างการยอมรับจากภาคประชาชน
นักการตลาดในยุคนี้จึงต้องเปลี่ยนบทบาทมาเป็น Change Agent ที่ไม่เพียงแค่ขายของ แต่ต้องช่วยบริหารจัดการความเปลี่ยนแปลง (Change Management) ต้องมีความสามารถในการ “Translate” หรือแปลงนโยบายพลังงานที่ดูซับซ้อน ให้กลายเป็นภาษาที่เข้าใจง่าย และเป็นโอกาสทางธุรกิจที่จับต้องได้สำหรับทุกคน
วันนี้ “พลังงาน” ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่มันคือต้นทุนการผลิต คือภาพลักษณ์แบรนด์ (Brand Image) และคือความอยู่รอด หากภาคธุรกิจปรับตัวรับคลื่น “Energy Disruption” นี้ได้ทันท่วงที ประเทศไทยจะไม่ใช่แค่ผู้ตามในเวทีโลก แต่จะสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำและศูนย์กลางพลังงานสะอาดของภูมิภาคได้อย่างมั่นคง
ตลท. พลิก ‘ภาระ’ คาร์บอนเป็น ‘สินทรัพย์’ ด้วย SETCarbon มาตรฐานอบก.
ความยั่งยืนไทยปี 68: ต้องวัดผลทั้ง ‘Value Chain’ – ชี้ 93% ยังไม่พร้อม




