Share on
×

Share

‘ขาดทุนคือกำไร’ คืออะไร? ปรัชญา ‘ประโยชน์สุข’ ที่นักพัฒนารุ่นใหม่ต้องเข้าใจ

'ขาดทุนคือกำไร' คืออะไร? ปรัชญา 'ประโยชน์สุข' ที่นักพัฒนารุ่นใหม่ต้องเข้าใจ

ศ.เกียรติคุณ นพ.เกษม วัฒนชัย ถอดรหัสแก่นปรัชญา “ประโยชน์สุข” กลางเวที “กิจกรรมสังคมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” ที่จัดโดยเอสซีจี ชี้เป็นพิมพ์เขียวการพัฒนาชุมชนที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง โดยวิเคราะห์เชื่อมโยงตั้งแต่พระปฐมบรมราชโองการ ร.9 สู่แนวคิด “สืบสาน รักษา ต่อยอด” ใน ร.10, DNA “ความเป็นไทย” 3 ระดับ และกลั่นกรอง 23 วิธีทรงงานภาคปฏิบัติ มุ่งเป้าให้ผู้นำชุมชนกว่า 300 คน นำไปเป็นเครื่องมือสร้างความเข้มแข็งจากรากฐานของตนเอง

เวทีดังกล่าวถูกจัดขึ้นเพื่อสร้างแรงบันดาลใจและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในหมู่ผู้นำชุมชน ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก โดยมีวิทยากรหลักสองท่านได้ให้มุมมองที่เชื่อมโยงปรัชญาการทำงานระดับชาติเข้ากับการปฏิบัติจริงในระดับชุมชน

“ประโยชน์สุข” หัวใจสร้างสังคมมีส่วนร่วม

ปรเมศวร์ นิสากรเสน ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การบริหารกลาง เอสซีจี ได้กล่าวเปิดงานในฐานะผู้จัด โดยชี้ให้เห็นว่า SCG ตระหนักถึงความสำคัญของ “ผู้นำชุมชนและผู้ประกอบการท้องถิ่น” ในฐานะ “กระดูกสันหลัง” ของเศรษฐกิจและสังคมไทย ท่ามกลางความท้าทายที่หลากหลาย SCG จึงได้น้อมนำแรงบันดาลใจจากแนวพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่ทรงสอนให้ “ทำเพื่อส่วนรวม” มาเป็นแนวทางในการสร้าง “สังคมมีส่วนร่วม” (Inclusive Society)

แนวทางดังกล่าวมีรากฐานอยู่บนแนวคิด “ประโยชน์สุข” ซึ่งสัมพันธ์โดยตรงกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยมีเป้าหมายคือการสร้าง “ประโยชน์” และ “ความสุข” ให้เกิดขึ้นพร้อมกันในสังคม โครงการนี้จึงทำหน้าที่เป็นพื้นที่กลางให้ผู้นำชุมชนกว่า 300 ชีวิตจากทั่วประเทศ ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ พัฒนาศักยภาพ และส่งต่อแรงบันดาลใจซึ่งกันและกัน

การถอดรหัสปรัชญา: จากประโยชน์สุขสู่สืบสาน รักษา ต่อยอด

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม ประธานในพิธี ได้นำเสนอการวิเคราะห์ที่มาและความหมายของแนวคิด “ประโยชน์สุข” ไว้อย่างเป็นระบบ โดยเริ่มต้นจากการอธิบายความหมายของพระปฐมบรมราชโองการในสองรัชกาล

ศ.เกียรติคุณ นพ.เกษม อธิบายว่า พระปฐมบรมราชโองการในรัชกาลที่ 9 ที่ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” สามารถแบ่งได้เป็นสองส่วนชัดเจน ส่วนแรกคือ “ครองแผ่นดินโดยธรรม” ซึ่งหมายถึง วิธีการ หรือยุทธศาสตร์ในการปกครองที่ยึดหลักคุณธรรมและความถูกต้อง ส่วนที่สองคือ “เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนฯ” ซึ่งหมายถึง วัตถุประสงค์ หรือเป้าหมายสูงสุดของการปกครอง

เขายังได้ขยายความว่า คำว่า “ประโยชน์สุข” นี้ มีที่มาจากหลักธรรมในพุทธศาสนาคือ “พหุชนะหิตายะ พหุชนะสุขายะ” อันหมายถึง “เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่ชนหมู่มาก” ซึ่งสะท้อนเป้าหมายการพัฒนาที่ไม่ใช่แค่การเติบโตทางวัตถุ แต่รวมถึงความผาสุกทางใจด้วย

สำหรับการต่อยอดแนวคิดในรัชกาลที่ 10 ที่เพิ่มถ้อยคำว่า “เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม…” เข้ามานั้น ศ.เกียรติคุณ นพ.เกษม วิเคราะห์ว่า นี่คือหลักการที่สะท้อนการพัฒนาที่ยั่งยืน “สืบสาน” คือการดำเนินสิ่งที่ดีงามต่อไป “รักษา” คือการปกป้องหลักการนั้นไว้ และ “ต่อยอด” คือการปรับปรุงหรือสร้างนวัตกรรมให้สอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง

DNA “ความเป็นไทย”: รากฐาน 3 ระดับที่นักพัฒนาต้องเข้าใจ

จากนั้น ศ.เกียรติคุณ นพ.เกษม ได้อธิบายถึงรากฐานทางวัฒนธรรมที่จำเป็นต่อการพัฒนา โดยเรียกว่า “ความเป็นไทย” ซึ่งเป็น “สมบัติมีค่าสูงสุด” ที่ทำให้ชาติดำรงอยู่ได้ โดยอ้างอิงงานวิจัยที่ศึกษาคนไทยใน 6 ประเทศ และพบโครงสร้างทางสังคมที่เหมือนกันอย่างน่าทึ่ง 3 ระดับ

ในระดับ “เรือน” (ครอบครัว) มีการกำหนดหน้าที่ชัดเจนระหว่างผู้ใหญ่ คือต้อง “อบรม” (ฝึกฝนจิตใจจนติดเป็นนิสัย) ควบคู่กับ “เลี้ยงดู” และผู้เยาว์ คือต้อง “รู้คุณ” และ “ตอบแทนคุณ”

ในระดับ “บ้าน” (ชุมชน) ผู้คนที่ต้องพึ่งพาอาศัยทรัพยากรธรรมชาติร่วมกัน จะถูกผูกพันด้วยหลักการ 3 ข้อ คือ ความสัมพันธ์แบบเครือญาติ (“เฮาเป็นพี่น้องกัน”) การมีน้ำใจ (“เฮาต้องมีน้ำใจต่อกัน”) และการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน (“เฮาต้องช่วยเหลือกัน”)

และในระดับ “เมือง” (อาณาจักร) สะท้อนผ่านความจงรักภักดีและความผูกพันเชิงสัญลักษณ์ต่อผู้ปกครองในฐานะ “เจ้าฟ้า” (ผู้บันดาลน้ำ) และ “เจ้าแผ่นดิน” (ผู้ให้ที่ทำกิน)

23 วิธีทรงงาน: ตำราภาคปฏิบัติสำหรับผู้นำชุมชน

หัวใจสำคัญของการบรรยาย คือการกลั่น “23 วิธีทรงงาน” ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่ง ศ.เกียรติคุณ นพ.เกษม ระบุว่าเป็น “วิธีทรงงานในชุมชน” ตลอด 70 ปี และเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับนักพัฒนา

หลักการประการแรก คือ การศึกษาข้อมูลอย่างเป็นระบบ และต้องไม่เชื่อรายงานเพียงอย่างเดียว ท่านเล่าถึงการที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงต้อง “ถือแผนที่” และ “กล้องถ่ายรูป” ลงพื้นที่เอง เพื่อตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้อง ควบคู่ไปกับการทำความเข้าใจ “ภูมิสังคม” ซึ่งย้ำว่า “ไม่มี 2 ที่ไหนที่เหมือนกัน” การพัฒนาต้องคำนึงถึงภูมิศาสตร์และสังคมวิทยาของคนในพื้นที่นั้น ๆ การนำสูตรสำเร็จจากที่หนึ่งไปใช้กับอีกที่หนึ่งโดยไม่ปรับปรุง อาจสร้างความล้มเหลวแก่ชุมชนที่มีสายป่านสั้น

ประการต่อมา คือ หลักการทำงานที่ต้อง “ระเบิดจากข้างใน” คือสร้างความพร้อมและความเข้มแข็งให้คนในชุมชนก่อน ไม่ใช่นำความเจริญจากภายนอกเข้าไปยัดเยียด และต้องรู้จัก “แก้ปัญหาที่จุดเล็ก” โดยมองภาพรวม (Macro) แต่เริ่มลงมือจากจุดเล็กๆ (Micro) ที่คนมักมองข้าม

นอกจากนี้ ยังมีหลักการบริหารจัดการทรัพยากรที่เป็นระบบ คือ “ประหยัด เรียบง่าย ประโยชน์สูงสุด” ซึ่งหมายถึง ใช้วัตถุดิบ (Input) ให้น้อยและประหยัด (ใช้ของในท้องถิ่น) ออกแบบกระบวนการ (Process) ให้ไม่ซับซ้อน (ชาวบ้านทำตามได้) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ (Output) ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด สอดคล้องกับหลัก “ทำให้ง่าย” (Simplify) ที่ทรงเน้นย้ำเสมอ

ในมิติของนวัตกรรม ศ.เกียรติคุณ นพ.เกษม ชี้ว่าการ “ต่อยอด” คือสิ่งจำเป็น ท่านยกตัวอย่างปัญหาสินค้า OTOP ที่ขาดการพัฒนาว่า หากยังทำของเก่าซ้ำ ๆ ก็จะไม่มีใครซื้อ การพัฒนาจึงต้องเป็น “Today new, Tomorrow new, Always new” (วันนี้ใหม่ พรุ่งนี้ใหม่ ใหม่เสมอ) คือมีการปรับปรุงให้ใหม่เสมอ โดยอาจยังคง “ฝีมือ” ดั้งเดิม แต่ต้อง “ออกแบบผลิตภัณฑ์” ใหม่

ส่วนหลักคิดสำหรับผู้ทำงานพัฒนา คือ “ขาดทุนคือกำไร” (Our Loss is Our Gain) โดยอธิบายว่า การ “ขาดทุน” ในแง่ของแรงกาย เวลา หรือทรัพย์สินที่นักพัฒนาทุ่มเทลงไปนั้น ถือเป็น “กำไร” ในอีกมิติหนึ่ง คือ “การที่ประชาชนอยู่ดีมีสุข” ซึ่งเป็นมูลค่าที่ไม่สามารถนับเป็นตัวเงินได้ และหลักการ “ประโยชน์ส่วนรวม” ซึ่งท่านอธิบายว่า “คนที่ให้เพื่อส่วนรวมนั้น… เป็นการให้เพื่อตัวเอง สามารถที่จะมีส่วนรวมที่จะอาศัยอยู่ได้”

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

SCG โตแกร่งสวนวิกฤติ EBITDA พุ่ง 15% ลุยเวียดนาม-ปูน LC3 ดันยอดขาย

AIS ร่วมกับกรมประชาสัมพันธ์ เผยแพร่สารคดีเฉลิมพระเกียรติ ‘แม่ของแผ่นดิน’ บน AIS PLAY

×

Share

ผู้เขียน