“บ้านปู” เคลื่อนทัพครั้งใหญ่ ประกาศแผน “Energy Symphonics เฟส 2” พลิกโฉมโครงสร้างกลุ่มครั้งสำคัญ โดยมีเป้าหมายที่ใหญ่กว่าการจัดการภายใน แต่คือการตั้งรับและคว้าโอกาสมหาศาลจากเมกะเทรนด์ AI (Artificial Intelligence) และ Data Center ที่กำลังบูมและสร้างความต้องการพลังงานที่ มั่นคง มหาศาล และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
แกนหลักของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ คือการควบรวมบริษัท ระหว่าง บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) (BANPU) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ และ บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) (BPP) เพื่อจัดตั้งบริษัทใหม่ (NewCo) ที่จะกลับเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายใต้ชื่อย่อ “BANPU” เช่นเดิม
สินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) ได้อธิบายว่า การปรับโครงสร้างครั้งนี้นับเป็นก้าวย่างที่สำคัญอย่างยิ่ง โดยเปรียบเปรยว่าเป็นเสมือน “การติดกระดุมเม็ดแรก” กล่าวคือ เป็นการวางรากฐานที่ถูกต้องและจำเป็น เพื่อให้สามารถเดินหน้าบรรลุเป้าหมายใหญ่ของกลุ่มที่วางไว้ในปี 2030 ได้สำเร็จ
เป้าหมายดังกล่าวสะท้อนทิศทางการเปลี่ยนแปลงของบริษัทอย่างชัดเจน โดยครอบคลุมทั้งในมิติของการเติบโตทางธุรกิจ ซึ่งตั้งเป้าสร้าง EBITDA ให้ได้มากกว่า 1.5 เท่า เมื่อเทียบกับฐานในปี 2023, มิติด้านความยั่งยืน (Decarbonization) ที่มุ่งลดการปล่อยคาร์บอนใน Scope 1 และ Scope 2 ลงให้ได้มากกว่า 20% และที่สำคัญคือมิติด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงาน ซึ่งกำหนดกลยุทธ์ว่า EBITDA ที่มาจากธุรกิจ Non-Coal หรือธุรกิจที่ไม่ใช่ถ่านหิน จะต้องมีสัดส่วนมากกว่า 50% ของ EBITDA รวมทั้งหมดของกลุ่ม
ปรับยุทธศาสตร์เพื่อรองรับโอกาสในยุค AI และ Data Center
ประเด็นสำคัญที่ทำให้การปรับโครงสร้างครั้งนี้น่าจับตามอง คือการที่บ้านปูได้เชื่อมโยงยุทธศาสตร์ขององค์กรเข้ากับความต้องการพลังงานในยุคใหม่โดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และธุรกิจ Data Center
คุณสินนท์ กล่าวว่า นี่คือโอกาสทางธุรกิจมหาศาล จากข้อมูลการลงทุนใน Hyperscale Data Center จาก 4 บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก ทั้ง Meta, Microsoft, Amazon และ Alphabet มีมูลค่ารวมแล้วกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ปรากฏการณ์นี้กำลังส่งผลให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าสำหรับ Data Center เพิ่มสูงขึ้นในอัตราทวีคูณ หรือหลายเท่า ภายใน 10-20 ปีข้างหน้า ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่สร้างโอกาสสำคัญอย่างยิ่งให้กับผู้ประกอบการในธุรกิจพลังงาน
สำหรับจุดแข็งหรือความสามารถหลัก (Core Competency) ของบ้านปูในการแข่งขันในสนามนี้ คือการมีระบบนิเวศธุรกิจพลังงานที่ครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยมีฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งในสหรัฐอเมริกาเป็นกลไกขับเคลื่อนสำคัญ นั่นคือ ธุรกิจ BKV ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐเท็กซัส (ซึ่งเป็นศูนย์กลาง Data Center อันดับ 2 ของสหรัฐฯ) โดย BKV ไม่เพียงแต่เป็นผู้ผลิตก๊าซรายใหญ่ แต่ยังครอบครองเทคโนโลยีดักจับคาร์บอน (CCUS) ที่จะช่วยยกระดับก๊าซที่ผลิตได้ให้เป็น “Net Zero Gas” หรือก๊าซที่เป็นกลางทางคาร์บอน
ยิ่งไปกว่านั้น ภายใต้การปรับโครงสร้างนี้ BKV จะเข้าซื้อหุ้นในโรงไฟฟ้า US Power JV เพิ่มอีก 25% (จาก BPP) ทำให้มีสัดส่วนการถือหุ้นรวมเป็น 75% การเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์นี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้ BKV สามารถบูรณาการ (Integrate) ธุรกิจได้ครบวงจรด้วยตัวเอง ตั้งแต่การผลิตก๊าซต้นน้ำ (Upstream) สู่การผลิตไฟฟ้าปลายน้ำ (Power Generation)
โมเดลธุรกิจนี้จะช่วยตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่ม Data Center ได้โดยตรง เนื่องจากสามารถนำเสนอ “พลังงานที่มั่นคงและสะอาด” ซึ่งเป็นปัจจัยที่กลุ่มลูกค้าดังกล่าวให้ความสำคัญสูงสุด นอกจากนี้ ธุรกิจ “บ้านปู เน็กซ์” ที่จะถูกจัดโครงสร้างใหม่ ก็จะทำหน้าที่แสวงหาโอกาสในการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ Data Center โดยตรงต่อไปด้วย
ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่สู่ 4 เสาหลักทางธุรกิจใหม่
การควบรวมกิจการระหว่าง BANPU และ BPP ในครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงการรวมสองบริษัทเข้าด้วยกัน แต่คือกระบวนการ “จัดระเบียบโครงสร้างองค์กรใหม่” (Simplify Structure) อย่างเป็นระบบ เพื่อลดความซับซ้อนและแก้ไขปัญหาการถือหุ้นไขว้ที่เคยมีอยู่
ผลลัพธ์ที่ได้คือการจัดตั้ง 4 กลุ่มธุรกิจหลัก หรือ 4 เสาหลัก (Pillar) ที่มีความชัดเจน โดยแต่ละกลุ่มธุรกิจจะมีกลยุทธ์และตัวชี้วัด (KPI) ที่สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งมีเป้าหมายสูงสุดเพื่อยกระดับสถานะของบ้านปูให้เป็นมากกว่าการเป็นบริษัทที่ลงทุนในบริษัทอื่น (Holding Company)
โครงสร้างใหม่ของบริษัท (NewCo) ที่จะเกิดขึ้นหลังการควบรวม จะประกอบด้วย 4 กลุ่มธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้น ดังนี้:
- NextGen Mining กลุ่มธุรกิจนี้จะบริหารจัดการธุรกิจเหมืองทั้งหมด ทั้งธุรกิจถ่านหินเดิม (ในอินโดนีเซียและออสเตรเลีย) และจะขยายขอบเขตการลงทุนไปสู่กลุ่ม Strategic Minerals หรือ “แร่ธาตุเชิงกลยุทธ์” ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญแห่งอนาคต
- US Close-Loop Gas กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติในสหรัฐอเมริกา ภายใต้การดำเนินงานของ BKV ซึ่งจะมุ่งเน้นการสร้างโมเดลธุรกิจแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- Power Plus ถือเป็นหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ โดยเสาหลักใหม่นี้จะ รวบรวมธุรกิจผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ (Utility-Scale) ทั้งหมด ของกลุ่มมาไว้ในที่เดียว ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าแบบดั้งเดิม (โรงไฟฟ้าถ่านหินและก๊าซในเอเชีย) โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาดใหญ่ (เช่น โซลาร์ฟาร์มและวินด์ฟาร์ม ในญี่ปุ่น จีน และออสเตรเลีย) รวมถึงธุรกิจแบตเตอรี่ฟาร์ม และการซื้อขายพลังงาน (Energy Trading)
- Future Tech กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน ซึ่งจะดำเนินงานภายใต้บริษัท “บ้านปู เน็กซ์” (โดยบริษัทใหม่ NewCo จะถือหุ้น 100%) จะมุ่งเน้นไปที่ตลาดพลังงานแบบรีเทล เช่น โซลาร์รูฟท็อป ธุรกิจแบตเตอรี่ ธุรกิจด้านการสัญจร (Mobility) และเทคโนโลยีพลังงานสมัยใหม่ (Energy Tech)
กลไกการควบรวมและผลกระทบต่อผู้ถือหุ้น
ในส่วนของกลไกการควบรวมบริษัทและการดำเนินการที่ส่งผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นนั้น กระบวนการปรับโครงสร้างครั้งนี้จะประกอบด้วย 2 ส่วนสำคัญที่จะเกิดขึ้นควบคู่กันไป
ส่วนแรก ซึ่งเป็นส่วนที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ถือหุ้นรายย่อย คือ การทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมด (General Offer) ในหุ้นของบริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP โดยบริษัทแม่ คือ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) จะเป็นผู้ดำเนินการเสนอซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นส่วนน้อยของ BPP ทั้งหมด ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 21.3% ราคาที่เสนอซื้อนั้นกำหนดไว้ที่ 13 บาทต่อหุ้น โดยคาดว่าจะใช้วงเงินสูงสุดประมาณ 8,000 กว่าล้านบาท ซึ่งจะมาจากกระแสเงินสดภายในของบริษัทเอง
ในขั้นตอนนี้ ผู้ถือหุ้น BPP จะมี “สองทางเลือก” ให้ตัดสินใจ ทางเลือกแรกคือ การตอบรับคำเสนอซื้อ หรือ “ขายหุ้น” ซึ่งผู้ถือหุ้นจะได้รับผลตอบแทนเป็นเงินสด 13 บาทต่อหุ้น และถือเป็นการยุติสถานะการเป็นผู้ถือหุ้นใน BPP ไป ส่วนทางเลือกที่สองคือ การไม่ตอบรับคำเสนอซื้อ หรือ “ถือหุ้นต่อ” สำหรับผู้ถือหุ้นที่เลือกแนวทางนี้ หุ้น BPP ที่ถืออยู่จะถูกนำไปแลกเปลี่ยน (Convert) เป็นหุ้นของบริษัทใหม่ (NewCo) ที่จะจัดตั้งขึ้นหลังการควบรวม ตามสัดส่วนการแลกหุ้นที่จะมีการกำหนดต่อไป
ขณะเดียวกัน ในส่วนที่สองของกระบวนการ จะเป็นการปรับโครงสร้างการถือหุ้นในกิจการร่วมค้า (JV) ที่สหรัฐอเมริกา โดย BPP จะดำเนินการขายหุ้นในกิจการร่วมค้าโรงไฟฟ้า (US Power JV) ในสัดส่วน 25% ให้แก่ BKV ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบ้านปูในสหรัฐฯ การชำระค่าหุ้นในส่วนนี้จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ชำระเป็นเงินสด 50% และชำระเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนใน BKV อีก 50%
สำหรับกรอบเวลาการดำเนินงานโดยประมาณนั้น ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2025 ซึ่งคณะกรรมการของทั้ง BANPU และ BPP ได้มีมติอนุมัติแผนการควบรวมดังกล่าว โดยมีกำหนดการสำคัญถัดไปคือช่วงวันที่ 1 – 23 ธันวาคม 2025 ซึ่งจะเป็นระยะเวลาในการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (General Offer) ของหุ้น BPP หลังจากนั้น จะมีการกำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น (EGM) ของทั้งสองบริษัทในวันที่ 29 มกราคม 2026 เพื่อขอมติอนุมัติในวาระสำคัญนี้ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับคะแนนเสียงเห็นชอบ 3 ใน 4 หรือ 75% หากทุกขั้นตอนผ่านการอนุมัติ คาดว่ากระบวนการควบรวมทั้งหมดจะเสร็จสมบูรณ์ และบริษัทใหม่ (NewCo) จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2026 โดยจะยังคงใช้ชื่อย่อ “BANPU” และอยู่ในหมวดพลังงานเช่นเดิม
ส่องกลยุทธ์การเงินและแผนลงทุนหลังควบรวม
สำหรับประเด็นด้านการเงินและกลยุทธ์ภายหลังการควบรวมกิจการครั้งนี้ หนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญที่ถูกจับตามองคืออัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E Ratio โดยในปัจจุบัน กลุ่มบ้านปูมี D/E อยู่ที่ประมาณ 0.8-0.9 เท่า ซึ่งหลังจากการควบรวมบริษัทเสร็จสิ้น คาดว่าอัตราส่วน D/E จะ “ต่ำลง” เหตุผลสำคัญเนื่องมาจากการได้ส่วนทุน (Equity) ของบ้านปู เพาเวอร์ (BPP) เข้ามารวมในงบดุลของบริษัทใหม่ ทำให้ฐานะการเงินโดยรวมแข็งแกร่งขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทมีนโยบายเชิงกลยุทธ์ที่จะพยายามรักษาระดับ D/E ให้อยู่ที่ประมาณ 1 เท่า เพื่อสงวนความคล่องตัวและสร้างความพร้อมสำหรับการลงทุนในอนาคต
ในด้านแผนการลงทุน บริษัทยังคงยืนยันตามกรอบงบประมาณการลงทุน 5 ปีเดิม ที่วงเงิน 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยการปรับโครงสร้างครั้งนี้จะช่วยให้การจัดสรรงบประมาณมีความชัดเจนยิ่งขึ้น โดยจะมุ่งเน้นการลงทุนไปที่สองเสาหลักใหม่อย่าง BKV (ธุรกิจก๊าซในสหรัฐฯ) และ Power Plus (กลุ่มธุรกิจไฟฟ้าขนาดใหญ่)
นอกจากนี้ คุณสินนท์ได้อธิบายเพิ่มเติมในประเด็นเรื่องการประหยัดต้นทุน (Cost Saving) โดยย้ำว่า ประโยชน์หลักของการควบรวมครั้งนี้ ไม่ได้อยู่ที่การลดต้นทุนที่ซ้ำซ้อนเพียงอย่างเดียว เช่น ค่าธรรมเนียมการเป็นบริษัทจดทะเบียน หรือการบริหารงานนักลงทุนสัมพันธ์ (IR) แต่หัวใจสำคัญที่บริษัทมองว่ามีมูลค่ามากกว่า คือการสร้าง “Productivity (ผลิตภาพ)” และ “Efficiency (ประสิทธิภาพ)” ในการทำงาน ซึ่งจะเกิดขึ้นจากการรวบรวมทีมผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานไฟฟ้า (Power) ให้มาอยู่ภายใต้โครงสร้างเดียวกัน และการกำหนดตัวชี้วัด (KPI) ที่สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน การจัดทัพใหม่ในลักษณะนี้จะทำให้องค์กรสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างผลลัพธ์ได้ดียิ่งขึ้น
บทสรุป
การประกาศควบรวมกิจการระหว่าง BANPU และ BPP เพื่อจัดตั้งบริษัทใหม่ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวย่างเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดภายใต้แผน “Energy Symphonics เฟส 2” นี่ไม่ใช่เพียงการปรับโครงสร้างภายในเพื่อลดความซับซ้อน หรือการแก้ไขปัญหาการถือหุ้นไขว้เท่านั้น แต่คือการ “จัดทัพใหม่” เพื่อยกระดับบ้านปูจากการเป็น Holding Company สู่การเป็นผู้เล่นในธุรกิจพลังงานที่มีบทบาทชัดเจนยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายที่ใหญ่กว่านั้น คือการวางตำแหน่งองค์กรให้พร้อมสำหรับคว้าโอกาสมหาศาลจากความต้องการพลังงานที่มั่นคงและสะอาดในยุค AI และ Data Center ที่กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด การรวมศูนย์ธุรกิจไฟฟ้าขนาดใหญ่ไว้ภายใต้เสาหลัก “Power Plus” และการต่อจิ๊กซอว์ให้ BKV ในสหรัฐฯ แข็งแกร่งขึ้น ถือเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญที่จะขับเคลื่อนบ้านปูไปสู่เป้าหมายปี 2030 โดยเฉพาะการเพิ่มสัดส่วน EBITDA จากธุรกิจ Non-Coal ให้มากกว่า 50% ให้สำเร็จ
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
บ้านปู ควบรวม BPP ตั้ง ‘NewCo’ ชูกลยุทธ์ ‘Energy Symphonics’ รับพลังงานยุค AI
ITC โชว์ฟอร์มแกร่ง ไตรมาส 3/68 กวาดรายได้ทะลุ 4.7 พันล้านบาท




