การเสวนา “ทิศทางการส่งเสริมการขนส่งยุคใหม่ด้วยอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน” เผยให้เห็นภาพความตื่นตัวของ 3 หน่วยงานกำกับดูแลหลัก ที่พยายามปักหมุดอนาคตอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน ให้เกิดขึ้นจริงในประเทศไทย โดยมีประเด็นที่น่าสนใจที่สุดคือ วิสัยทัศน์ของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กปท.) ที่มองว่าท้องฟ้า คือขุมทรัพย์ใหม่ที่รอการจัดสรร
พลอากาศเอก มนัส ชวนะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กปท.) ชี้ประเด็นได้แหลมคมว่า อากาศในปัจจุบันยังว่างเปล่า เราปล่อยให้มันผ่านไปเรื่อย ๆ ทั้งที่สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมหาศาลได้
“ผมเรียกสายการบินในปัจจุบันว่าเป็น Conventional Aviation เปรียบเหมือนห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ในกรุงเทพฯ แต่การขนส่งทางอากาศยุคใหม่ (Advanced Air Mobility หรือ AAM) ไม่ว่าจะโดรนส่งของหรือ Air Taxi (โดรนส่งคน) ก็เหมือนเซเว่นอีเลฟเว่น ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ” พล.อ.อ.มนัส กล่าว และตั้งคำถามว่า หากธุรกิจ AAM เกิดขึ้นจริง ธุรกิจใดจะสร้างมูลค่าได้มากกว่ากัน
นี่คือภาพอนาคตที่ กปท. กำลังผลักดัน โดยเชื่อว่าเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ทุกคนก็อยากได้ และมันจะกระจายไปอย่างรวดเร็ว
กฎหมายพร้อม–ระบบออนไลน์เสร็จ: กปท. คุมเข้มโดรนทุกขนาด
ในมิติของการกำกับดูแล (Regulator) พลอากาศเอก มนัส อธิบายว่า กปท. ตระหนักเป็นอย่างดีว่าหัวใจสำคัญไม่ได้มีเพียงการส่งเสริม แต่คือการวาง มาตรฐานความปลอดภัย ที่รัดกุม
ปัจจุบัน กรอบกฎหมายมีความพร้อมแล้ว โดยกำหนดนิยามว่าวัตถุใดก็ตามที่ลอยในอากาศและมีน้ำหนักเกิน 25 กิโลกรัม จะถือเป็น “เครื่องบิน” ซึ่งต้องขออนุญาตจาก กปท. อย่างเป็นทางการ
ไม่เพียงเท่านั้น กปท. ยังได้ออกข้อบังคับเพิ่มเติมเพื่อควบคุมอากาศยานขนาดเล็ก โดยกำหนดให้โดรนที่มีน้ำหนัก ต่ำกว่า 25 กิโลกรัม เช่น โดรนถ่ายภาพขนาดเล็ก จะต้องดำเนินการ ขึ้นทะเบียนเช่นเดียวกัน
ผอ.กปท. ยืนยันว่า ระบบสนับสนุนภาคปฏิบัติมีความพร้อมแล้ว โดยได้อำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการสามารถขึ้นทะเบียนออนไลน์และขออนุญาตบินออนไลน์ได้ พร้อมทั้งมีการกำหนดพื้นที่การบินที่ชัดเจน และมีระบบ C of C สำหรับการติดตามและกำกับดูแล (Monitor) ผ่านทางอุปกรณ์พกพาและคอมพิวเตอร์
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่สุดของ กปท. ในขณะนี้คือการสร้างสมดุลระหว่าง 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนต่ำที่สุดเพื่อให้ธุรกิจเติบโตได้ และ การรักษามาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด เพื่อคุ้มครองประชาชน ซึ่ง กปท. จะใช้แนวทางการกำกับดูแลที่ยืดหยุ่น โดยมาตรฐานความปลอดภัยอาจแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ เช่น พื้นที่ในเมืองที่มีความหนาแน่นสูงย่อมมีมาตรฐานที่เข้มงวดกว่าพื้นที่เกษตรกรรมหรือป่าเขา
NT ย้ำความพร้อมโครงสร้างพื้นฐานแต่ให้น้ำหนัก “ความมั่นคงข้อมูล”
ในขณะที่ กปท. ทำหน้าที่วางกรอบการบิน พันเอก สรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT กล่าวว่า โครงสร้างพื้นฐานภาคพื้นดิน ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการควบคุมโดรน
ปัจจุบันรูปแบบการควบคุมโดรนที่นิยมทั่วโลก คือการใช้ ระบบเซลลูลาร์ (Cellular) ซึ่งถือเป็นจุดแข็งมหาศาลของ NT เนื่องจากมี เสาสัญญาณทั่วประเทศมากกว่า 20,000 ต้น พร้อมรองรับการสร้างเส้นทางการบินระยะไกล
ทว่ ประเด็นที่ พ.อ.สรรพชัย ให้ความสำคัญที่สุด ไม่ใช่แค่เรื่องเสาสัญญาณ แต่เป็นมิติของ ความมั่นคงแห่งชาติ
ท่านย้ำว่าทุกเรื่องพวกนี้เป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับทางด้านความมั่นคง เป็นข้อมูลภาครัฐ ข้อมูลการบินโดรนจึงถือเป็นข้อมูลอ่อนไหว (Sensitive Data) ที่มีกฎหมาย PDPA คุ้มครอง NT จึงมองว่า หัวใจสำคัญคือการมีแพลตฟอร์ม Data Center ที่ปลอดภัย และการันตีได้ว่าข้อมูลสำคัญเหล่านี้จะถูกจัดเก็บไว้ในประเทศไทยเท่านั้น
นอกจากนี้ NT ยังชี้ประเด็นสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ในระยะยาวว่า ประเทศไทยไม่ควรจำกัดบทบาทตัวเองเป็นเพียงผู้ใช้หรือผู้นำเข้าโดรน แต่ควรมองถึงการผลิตชิ้นส่วนเองในประเทศ เนื่องจากเห็นว่าปริมาณความต้องการ (Demand) มีมากเพียงพอที่จะขยายผลในเชิงพาณิชย์ (Commercial Scale) ได้ ซึ่งแนวทางนี้จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องข้อมูลรั่วไหลและความมั่นคงของชาติได้อย่างยั่งยืน
สมรภูมิคลื่นความถี่: โจทย์ซับซ้อนในการกำกับดูแลของกสทช.
อีกหนึ่งจิ๊กซอว์สำคัญที่ขาดไม่ได้คือมิติของคลื่นความถี่ ซึ่ง ไตรรัตน์ โชคสวัสดิ์ ผู้ช่วยเลขาธิการ กสทช. อธิบายว่า กสทช. มีบทบาทหลักในการกำกับดูแล 2 ส่วนสำคัญ
ส่วนแรก คือ มาตรฐานอุปกรณ์ โดรนทุกตัวที่จะนำเข้ามาใช้งานในประเทศไทย จะต้องผ่านมาตรฐานสากล ทั้งในด้านความปลอดภัยทางไฟฟ้าและมาตรฐานของเครื่องส่งสัญญาณ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะไม่ก่อให้เกิดการรบกวนต่อคลื่นความถี่อื่น
ส่วนที่สอง คือ การจัดสรรคลื่นความถี่ซึ่งมีความซับซ้อน และแบ่งย่อยได้อีก 2 ภารกิจหลัก ดังนี้
- คลื่นสำหรับควบคุม (Control Spectrum) คือ คลื่นที่ใช้บังคับตัวโดรนโดยตรง ปัจจุบันมีการใช้งานย่าน 700 MHz และกำลังพิจารณาย่าน 5G (2.x GHz) หรือย่าน 1 GHz เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับภารกิจเฉพาะทาง เช่น การบินสำรวจทางทะเล เพื่อป้องกันผลกระทบหรือการรบกวนการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ของประชาชนทั่วไป
- คลื่นสำหรับความปลอดภัย (Detection Spectrum) คือ คลื่นสำหรับเรดาร์ตรวจจับวัตถุเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ซึ่งนายไตรรัตน์ยอมรับว่าเป็น โจทย์ที่ท้าทายที่สุด เนื่องจากเรดาร์ที่ใช้งานในปัจจุบัน (20) ยังมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอที่จะตรวจจับวัตถุขนาดเล็กที่อาจเป็นอันตรายได้
“ตอนนี้ก็เลยอยู่ระหว่างการหาคลื่นอีกชุดหนึ่งคือ Detection เลย ซึ่งทำให้การบินโดรนมีความปลอดภัย”
อย่างไรก็ตาม ความซับซ้อนอยู่ตรงที่ คลื่นความถี่ประสิทธิภาพสูงที่ กสทช. กำลังพิจารณา (เช่น ย่าน 77-79 GHz) อาจสร้างการรบกวนต่อการใช้งานในกิจการด้านอื่น เช่น กิจการดาราศาสตร์ ทำให้การอนุญาตนำเข้าอุปกรณ์ที่ใช้ย่านความถี่ดังกล่าว จำเป็นต้องมีการควบคุมที่เข้มงวดเป็นพิเศษ
บทสรุป: เทคโนโลยีพร้อม–ความต้องการชัดขาดเพียง “การปฏิบัติจริง“
ผู้ร่วมเสวนาจากทั้ง 3 หน่วยงานต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ปัจจัยพื้นฐานในการผลักดันการขนส่งด้วยโดรนนั้นมีความพร้อมแล้ว ทั้งในมิติของ เทคโนโลยี (Technology Push) ที่มาถึงจุดที่พร้อมใช้งาน และมิติของ ความต้องการจากตลาด (Market Pull) ที่มีอยู่อย่างชัดเจน
ดังนั้น อุปสรรคหรือความท้าทายสำคัญที่เหลืออยู่ จึงไม่ใช่เรื่องของเทคนิค แต่เป็นเรื่องของการนำไปปฏิบัติจริง (Execution) หรือการลงมือขับเคลื่อนร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม
พันเอกสรรพชัย เสนอว่า ควรเริ่มต้นจากโครงการนำร่อง หรือ Sandbox ในพื้นที่ที่มีการขับเคลื่อนโดรนอยู่แล้ว เพื่อให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้เรียนรู้ และสามารถสร้างกระบวนการอนุญาต (Authorization) ที่ชัดเจนและเหมาะสม
ขณะที่ กสทช. ย้ำว่า จำเป็นต้องเร่งสร้างกรณีศึกษาที่ใช้งานจริง (Use Case) ให้มากขึ้น เช่น การทดสอบขนส่งผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่เคยดำเนินการร่วมกับโรงพยาบาล โดย กสทช. ให้เหตุผลว่าการทดสอบในสภาพแวดล้อมจริงโดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความหนาแน่นเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องมือสะท้อนโจทย์และปัญหาที่แท้จริงซึ่งรอการแก้ไข
โดย กสทช. ประเมินว่า หากทุกฝ่ายสามารถเร่งรัดการทดสอบและร่วมกันแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ คาดว่าระบบนิเวศสำหรับการบินโดรนเชิงพาณิชย์ก็น่าจะสามารถวางระบบให้ลงตัวและเสถียรได้ภายในระยะเวลาประมาณ 1 ปี
การเสวนา “ทิศทางการส่งเสริมการขนส่งยุคใหม่ด้วยอากาศยานซึ่งไม่มีนักบิน” สะท้อนภาพอนาคตที่ชัดเจนว่า ประเทศไทยมีทิศทางที่แน่วแน่ในการผลักดันการขนส่งด้วยโดรนให้เกิดขึ้นจริง โดยทั้งสามหน่วยงานกำกับดูแลหลัก ทั้ง กปท., NT และ กสทช. ต่างแสดงความพร้อมในภารกิจของตน ไม่ว่าจะเป็นกรอบกฎหมายและระบบทะเบียนออนไลน์ โครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายภาคพื้นดิน และแนวทางการจัดสรรคลื่นความถี่
แม้จะยังมีโจทย์ท้าทายในรายละเอียดที่ต้องสร้างสมดุล ทั้งมิติความปลอดภัย ความมั่นคงของข้อมูล และความซับซ้อนทางเทคนิค แต่ทุกฝ่ายก็เห็นพ้องต้องกันว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีและความต้องการของตลาดได้เดินทางมาถึงจุดที่พร้อมแล้ว อุปสรรคเดียวที่เหลืออยู่คือการลงมือปฏิบัติจริง (Execution) ซึ่งจะเริ่มต้นผ่าน Sandbox และกรณีศึกษาจริง โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการวางระบบนิเวศนี้ให้เกิดขึ้นและเสถียรได้ภายใน 1 ปี
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
โดรนขนส่ง: โอกาสใหม่เศรษฐกิจ หรือภัยความมั่นคงที่ต้องคุม?
32 ปี ทะเบียนราษฎร: ‘Proactive Service’ ปลดล็อกรัฐดิจิทัล




