Share on
×

Share

คนละครึ่งพลัส ฟู้ดเดลิเวอรี่ ความหวัง SME สะดุดปม ‘นิติบุคคล 1.8 ล้าน

'คนละครึ่งพลัส' ความหวัง SME สะดุดปม 'นิติบุคคล 1.8 ล้าน'

กระแสที่ร้อนแรงที่สุดในขณะนี้ คงหนีไม่พ้นโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ที่เปรียบเสมือน “ความหวัง” ครั้งสำคัญ ของผู้ประกอบการร้านอาหารและคนไทยทั้งประเทศ หลังเริ่มต้นเฟสแรกไปเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ที่ผ่านมา และสร้างยอดสะพัดในวันแรกสูงถึง 1,500 ล้านบาท สะท้อนบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยที่คึกคักอย่างชัดเจน

ประเด็นที่น่าจับตามองยิ่งกว่า คือการขยายขอบเขตของโครงการให้ครอบคลุมบริการฟู้ดเดลิเวอรี่ ซึ่งจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 7 พฤศจิกายนนี้ การขยายบริการดังกล่าวถูกประเมินว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ทำให้กลุ่มแพลตฟอร์มผู้ให้บริการสั่งอาหารรายใหญ่ ต่างต้องเร่งปรับกลยุทธ์และทุ่มงบประมาณเพื่อแข่งขันดึงดูดร้านอาหารให้เข้าร่วมกับระบบของตน

LINE MAN อัดฉีด 300 ล้าน ย้ำภาพ “ตัวจริง” ชิงสมรภูมิเดลิเวอรี่

ในการแข่งขันเพื่อดึงดูดร้านค้าเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัสในส่วนของฟู้ดเดลิเวอรี่ ทาง LINE MAN Wongnai ได้ประกาศจัดสรรงบประมาณจำนวน 300 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นแคมเปญสนับสนุนที่ใหญ่ที่สุดของปีนี้ โดยงบประมาณดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ในการทำการตลาดอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งการจัดส่งฟรี 5 กิโลเมตร และการใช้พรีเซนเตอร์ที่มีชื่อเสียง เพื่อสร้างความมั่นใจและสนับสนุนทั้งร้านอาหารและผู้บริโภค

ยอดชิน สุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai
ยอดชิน สุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai

ยอดชิน สุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai ระบุว่า บริษัทได้เชื่อมต่อระบบคนละครึ่งมาตั้งแต่ระยะแรก โดยในโครงการก่อนหน้านี้มีร้านอาหารเข้าร่วมบนแพลตฟอร์มราว 60-70% และในบางช่วงเวลามีสัดส่วนยอดขายผ่านโครงการสูงถึง 90%

สำหรับโครงการครั้งนี้ คุณยอดคาดการณ์ว่า จะช่วยเพิ่มยอดขายให้ร้านค้าที่เข้าร่วมได้ 1-5 เท่า โดยจากข้อมูลในอดีต มีบางร้านที่ยอดขายเพิ่มขึ้นสูงถึง 16 เท่า และคาดว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายรวมของแพลตฟอร์มในช่วงเดือนแรกประมาณ 20-30% เขาชี้ว่าประโยชน์จะกระจายไปในทุกภาคส่วน ทั้งผู้บริโภคที่สามารถลดค่าครองชีพ กลุ่มคนขับหรือไรเดอร์ที่จะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการเพิ่มโบนัสและการรับสมัครไม่จำกัด และตัวแพลตฟอร์มเองที่คาดหวังจะได้ผู้ใช้งานใหม่หลักแสนรายที่ไม่เคยสั่งฟู้ดเดลิเวอรี่มาก่อน

ในประเด็นที่มีแพลตฟอร์มคู่แข่งเสนอนโยบายไม่เก็บส่วนแบ่งรายได้ (GP 0%) คุณยอดอธิบายว่าบริษัทเลือกตั้ง GP ที่ 7% ซึ่งเป็นอัตราที่พิเศษอย่างมากอยู่แล้ว แต่เลือกที่จะนำงบประมาณส่วนใหญ่ไปใช้กับการสนับสนุนฝั่งผู้บริโภคโดยตรง เช่น การให้คูปองส่วนลด และการทำการตลาด เพื่อเป้าหมายในการสร้างยอดขายที่แท้จริงให้กับร้านค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องการมากที่สุด

คุณยอดยังเน้นย้ำว่าโครงการนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการเพิ่มยอดขายในระยะสั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการยกระดับทักษะผู้ประกอบการ โดยบริษัททำงานใกล้ชิดกับกระทรวงการคลังในการเตรียมการสำหรับเฟส 2 ซึ่งคาดว่าจะเน้นการ Upskill และการสร้างความรู้ด้านการบริหารจัดการการเงิน (Financial Literacy) โดยใช้เครื่องมืออย่างระบบจัดการร้านอาหาร (POS) เพื่อช่วยให้ร้านค้าขนาดเล็กปรับตัวเข้าสู่ระบบดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

สำหรับภาพรวมตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่ในปี 2026 คุณยอดประเมินว่าตลาดยังคงเติบโตต่อเนื่องในอัตราประมาณ 10-20% ต่อปี จากปัจจัยด้านความสะดวกสบายและตัวเลือกที่หลากหลาย

เสียงจาก SME: “คนละครึ่ง” คือความหวังและเครื่องมือสร้างตัวตน

ในมุมมองของผู้ประกอบการรายย่อย โครงการคนละครึ่งถูกสะท้อนภาพว่ามีความสำคัญมากกว่าเพียงการกระตุ้นยอดขายในระยะสั้น ธนันท์รัท เกื้อหนุน เจ้าของร้าน “ตำยำยั่ว by โบตั้น” ซึ่งเป็นตัวแทนร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ อธิบายว่า โครงการนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการตัดสินใจเข้าร่วม

คุณธนันท์รัท ระบุว่า ในระยะที่ผ่านมา โครงการนี้สามารถช่วยให้ยอดขายของร้านเพิ่มขึ้นถึง 2-3 เท่า แต่ประโยชน์ที่สำคัญไม่แพ้กันคือการช่วยสร้างการรับรู้ในตลาด เธอกล่าวว่าโครงการได้ช่วยให้ร้านค้าขนาดเล็กเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น สามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ให้เข้ามาทดลองใช้บริการ และลูกค้าเหล่านั้นยังคงกลับมาซื้อซ้ำแม้ว่าโครงการจะสิ้นสุดลงแล้วก็ตาม

สำหรับการเตรียมตัวเข้าสู่ระยะที่รวมบริการฟู้ดเดลิเวอรี่ ซึ่งจะเริ่มในวันที่ 7 พฤศจิกายนนี้ คุณธนันท์รัท ยืนยันว่า ทางร้านได้เตรียมความพร้อมทั้งในส่วนของระบบและทีมงานไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อให้สามารถรองรับปริมาณคำสั่งซื้อที่จะเพิ่มขึ้น

โจทย์ใหญ่ที่ยังไม่จบ: เสียงค้าน “นิติบุคคล 1.8 ล้าน” ถูกกันออกจากโครงการ

แม้ว่าบรรยากาศโดยรวมของโครงการคนละครึ่งพลัสจะได้รับการตอบรับที่ดี แต่ยังคงมีประเด็นสำคัญที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข นั่นคือเงื่อนไขที่กีดกันผู้ประกอบการร้านอาหารซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล และมียอดขายเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ไม่ให้สามารถเข้าร่วมโครงการได้

ฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มผู้ประกอบการเหล่านี้จัดอยู่ในขนาดเล็ก ไม่ใช่ธุรกิจรายใหญ่ แต่พวกเขามีภาระต้นทุนที่สูงกว่าร้านค้าบุคคลธรรมดาอย่างชัดเจน ทั้งในส่วนของค่าเช่า, ภาระภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT), การจ่ายเงินสมทบประกันสังคม และการจ้างงานที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งคุณเหมียวมองว่ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ภาครัฐกำลังมองข้าม

ประเด็นนี้สอดคล้องกับมุมมองของ คุณาพงศ์ เตชวรประเสริฐ กูรูร้านอาหารและเจ้าของเพจขายดีไปด้วยกัน ซึ่งเปิดเผยว่าตนเองเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบโดยตรง โดยระบุว่าร้านของตนเติบโตขึ้นจากการขายผ่านระบบเดลิเวอรี่ แต่หลังจากที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นนิติบุคคล กลับทำให้ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้

คุณคุณาพงศ์ กล่าวว่า การเข้าระบบภาษีคือส่วนหนึ่งของการเติบโตทางธุรกิจ และเรียกร้องให้ภาครัฐทบทวนเงื่อนไขดังกล่าว เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการที่ตั้งใจดำเนินธุรกิจให้ถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งนี้ ทางสมาคมภัตตาคารไทยได้ยื่นข้อเสนอนี้ให้รัฐบาลพิจารณาสำหรับการดำเนินโครงการในระยะต่อไปแล้ว

เสียงจากประชาชน: ปลดล็อกการใช้จ่าย ต่อยอดสู่ลูกค้าถาวร

ณัฐฐารินทร์ เกษมสารพิพัฒน์ ในฐานะตัวแทนภาคประชาชน
ณัฐฐารินทร์ เกษมสารพิพัฒน์ ในฐานะตัวแทนภาคประชาชน

ในฝั่งของผู้บริโภค โครงการคนละครึ่งพลัสได้รับการตอบรับอย่างสูง โดย ณัฐฐารินทร์ เกษมสารพิพัฒน์ ในฐานะตัวแทนภาคประชาชน สะท้อนว่า บรรยากาศการใช้จ่ายมีความคึกคักอย่างชัดเจน เนื่องจากเป็นโครงการที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนในภาวะที่ค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้น การที่รัฐบาลเข้ามาช่วยสนับสนุนค่าใช้จ่ายครึ่งหนึ่ง ได้ช่วยลดภาระและทำให้การตัดสินใจซื้อสินค้าทำได้ง่ายขึ้น

คุณณัฐฐารินทร์ กล่าวว่า โครงการนี้ทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้ทดลองสินค้าหรือบริการใหม่ ๆ ที่อาจลังเลหากต้องจ่ายในราคาเต็ม ตัวอย่างเช่น เมื่ออาหารราคา 70 บาท ลดเหลือการจ่ายจริงเพียง 35 บาท ผู้บริโภคจะกล้าที่จะทดลองมากขึ้น และหากได้รับประสบการณ์ที่ดี เช่น รสชาติอาหารถูกปาก ก็มีแนวโน้มที่จะกลับมาเป็นลูกค้าประจำแม้ว่าโครงการจะสิ้นสุดลงแล้วก็ตาม ซึ่งถือเป็นการต่อยอดและสร้างฐานลูกค้าที่ยั่งยืนให้กับผู้ประกอบการ

อย่างไรก็ตาม เธอยังได้ชี้ให้เห็นถึงอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ร้านค้าขนาดเล็กจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงโครงการได้ แม้ว่าจะมีความต้องการเข้าร่วมก็ตาม ปัญหาดังกล่าวคือความกังวลและความไม่เข้าใจเกี่ยวกับระบบภาษี จึงเสนอว่าภาครัฐจำเป็นต้องเร่งดำเนินการให้ความรู้และความชัดเจนในประเด็นนี้ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้าร่วมโครงการได้มากขึ้น

โครงการคนละครึ่งพลัสทำหน้าที่เปรียบเสมือนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นที่ให้ผลรวดเร็ว ที่สามารถช่วยพยุงผู้ประกอบการและสร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจได้ทันที ทั้งนี้ ขั้นตอนสำคัญของโครงการกำลังจะเกิดขึ้นในระยะต่อไป โดยวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้ ถูกกำหนดให้เป็นช่วงเวลาที่ผู้ประกอบการร้านค้าต้องตัดสินใจเลือกว่าจะเชื่อมต่อระบบฟู้ดเดลิเวอรี่กับแพลตฟอร์มใด ก่อนที่ประชาชนจะสามารถเริ่มต้นใช้สิทธิ์สั่งอาหารผ่านช่องทางดังกล่าวได้ในวันที่ 7 พฤศจิกายน ซึ่งทุกฝ่ายต่างคาดหวังว่า การขยายบริการครั้งนี้จะเป็นกลไกสำคัญอีกหนึ่งส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

LINE MAN Wongnai หนุน “คนละครึ่ง” คัมแบ็ก ชี้ทางรอดร้านอาหาร

‘สุกี้ตี๋น้อย, MizuMi, iHave CPU, Rock Group’ 4 วิธีคิดพลิกตลาด SME

×

Share

ผู้เขียน