Share on
×

Share

ยุทธศาสตร์ AI ชาติ ชูธง ‘AI เป็นกลาง’ สู่ ‘อธิปไตยดิจิทัล’

ยุทธศาสตร์ AI ชาติชูธง ‘AI เป็นกลาง’ สู่ ‘อธิปไตยดิจิทัล’

ในขณะที่โลกกำลังตื่นตัวกับศักยภาพของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เปลี่ยนแปลงอนาคต ประเทศไทยกำลังวางรากฐานอย่างเงียบ ๆ แต่มั่นคง เพื่อกำหนดทิศทางอนาคต AI ของตนเอง ท่ามกลางสมรภูมิการแข่งขันทางเทคโนโลยีระดับโลกที่ดุเดือด นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของการพัฒนาเทคโนโลยี แต่เป็นยุทธศาสตร์แห่งชาติที่เดิมพันด้วยความอยู่รอดทางเศรษฐกิจ อธิปไตยทางดิจิทัล และการรับมือความท้าทายสำคัญของประเทศ

รศ.ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการ สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI ได้เปิดเผยพิมพ์เขียวการขับเคลื่อนนี้ ซึ่งเผยให้เห็นวิสัยทัศน์ที่ไกลกว่าการเป็นผู้ตาม แต่คือการหาจุดยืนที่เหมาะสมและสร้างความได้เปรียบในแบบฉบับของไทย

เข้าใจ AI 3 รูปแบบ: เครื่องมือพลิกโฉมการทำงานสู่ชีวิตประจำวัน

ก่อนจะก้าวไปสู่แผนยุทธศาสตร์ระดับชาติ การทำความเข้าใจธรรมชาติของ AI ที่ใช้งานได้จริงในปัจจุบันเป็นสิ่งสำคัญ รศ.ดร.ธีรณี ได้จำแนก AI ออกเป็น 3 ค่ายหลักที่ใกล้ตัวกว่าที่คิด เพื่อให้เห็นภาพการประยุกต์ใช้ที่ชัดเจน

  1. Analytic AI คือ AI แบบดั้งเดิมที่ใช้ข้อมูลในอดีต ซึ่งมักอยู่ในรูปแบบตาราง เช่น Excel เพื่อค้นหารูปแบบ (Pattern) และนำไปทำนายอนาคต ตัวอย่างที่จับต้องได้คือ การใช้ข้อมูลด้านทรัพยากรบุคคล (HR) เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการมีส่วนร่วมของพนักงาน และสามารถตรวจจับสัญญาณล่วงหน้าของบุคลากรที่มีแนวโน้มจะลาออกได้ ทำให้องค์กรเข้าไประงับปัญหา ‘สมองไหล’ ได้ทันท่วงที
  2. Generative AI เป็น AI ที่สร้างสรรค์สิ่งใหม่จากการเรียนรู้ข้อมูลจำนวนมหาศาลที่มนุษย์เป็นผู้กำกับดูแล (Label) เพื่อให้ AI เข้าใจวิธีคิด การตัดสินใจ และพฤติกรรมของมนุษย์ ตัวอย่างในชีวิตประจำวันคือ การใช้ AI Bot สรุปบทสนทนาที่ยาวเหยียดในแอปพลิเคชัน LINE ของกลุ่มผู้บริหาร ช่วยให้ผู้ที่ไม่มีเวลาติดตามการประชุมตลอดทั้งวัน สามารถเข้าใจประเด็นสำคัญได้อย่างรวดเร็ว
  3. Agentic AI คือการนำ AI ขนาดเล็กหลาย ๆ ตัว (Agent) มาทำงานร้อยเรียงกันเป็นกระบวนการ (Workflow) เพื่อจัดการงานที่ซับซ้อนโดยอัตโนมัติ เช่น การทำรายงานเบิกค่าใช้จ่ายเดินทางไปต่างประเทศ Agent ตัวแรกจะสกัดข้อมูลจากหนังสือเชิญ Agent ตัวที่สองคำนวณค่าใช้จ่ายและเบี้ยเลี้ยงตามสูตร และ Agent ตัวที่สามสร้างรายงานฉบับสมบูรณ์ขึ้นมา ซึ่งช่วยลดภาระงานธุรการที่ใช้เวลามากได้อย่างมหาศาล

การเข้าใจ AI ทั้ง 3 รูปแบบนี้ เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เห็นว่าเทคโนโลยีดังกล่าวสามารถผสานเข้ากับกระบวนการทำงานและแก้ปัญหาจริงได้อย่างไร ซึ่งเป็นหัวใจของการผลักดันให้เกิดการยอมรับและใช้งานในวงกว้างต่อไป

เดิมพันของชาติ: ทำไมไทยต้องลงทุนใน AI เพื่อความอยู่รอด

การลงทุนด้าน AI ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นความจำเป็นเพื่อความอยู่รอดและการเติบโตของประเทศในระยะยาว รศ.ดร.ธีรณี ชี้ให้เห็นถึงเหตุผลเชิงยุทธศาสตร์ 4 ประการที่ผลักดันให้ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญกับ AI อย่างจริงจัง

ประการแรกคือ การหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap) ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ของประเทศมาอย่างยาวนาน การลงทุนในเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech) อย่าง AI ใน Niche Area ที่ไทยมีศักยภาพโดดเด่น เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical and Wellness Tourism) และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry) จะเป็นกลไกสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มและขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

ประการที่สองคือ การสร้างอธิปไตยทางดิจิทัล (Digital Sovereignty) ในโลกที่เทคโนโลยีผูกติดกับภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) การพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติเพียงอย่างเดียวถือเป็นความเสี่ยงต่อความมั่นคง การลงทุนพัฒนา AI ของตนเอง แม้จะยังสู้มหาอำนาจไม่ได้ในวันนี้ แต่เป็นการสร้างฐานที่มั่นสำคัญ หากวันหนึ่งเกิดปัญหาระหว่างประเทศจนไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านั้นได้ ประเทศไทยจะไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์

ประการที่สามคือ การรับมือความท้าทายระดับชาติ โดยเฉพาะปัญหาสังคมสูงวัยที่กำลังทำให้จำนวนแรงงานลดลงอย่างต่อเนื่อง AI จะเข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญในการเสริมประสิทธิภาพและทดแทนแรงงานในส่วนที่ขาดแคลน รวมถึงยกระดับการศึกษาให้ทั่วถึงและมีคุณภาพ

ท้ายที่สุดคือ โอกาสทางเศรษฐกิจมหาศาล โดย McKinsey ประเมินว่า AI อาจช่วยเพิ่ม GDP ของไทยได้ถึง 10% ภายใน 10 ปีข้างหน้า ซึ่งสอดคล้องกับการลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยีต่างชาติมูลค่ากว่า 5-6 แสนล้านบาทในไทย การวางยุทธศาสตร์ที่ดีจะทำให้ไทยสามารถเปลี่ยนเม็ดเงินลงทุนเหล่านี้ให้เกิดการจ้างงาน การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการเติบโตของอุตสาหกรรม AI ในประเทศได้อย่างแท้จริง

ยุทธศาสตร์ ‘AI เป็นกลาง’ ท่ามกลางสมรภูมิเทคฯโลก

ความท้าทายที่สำคัญที่สุดประการหนึ่ง คือการวางตัวของประเทศไทยในสนามแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน รศ.ดร.ธีรณี เน้นย้ำว่า รัฐจำเป็นต้องยึดมั่นในความเป็นกลางทาง AI (Neutral AI) ในทุกภาคส่วน เพื่อสร้างสมดุลและลดความเสี่ยง ซึ่งประกอบด้วยแนวทาง 6 ด้าน คือ 1) กำหนดนโยบายการลงทุนที่ชัดเจน สร้างกฎเกณฑ์ที่โปร่งใสในการรับการลงทุนจากทุกประเทศ 2) สร้างธรรมาภิบาล AI (AI Governance) วางแนวปฏิบัติการใช้ AI อย่างรับผิดชอบและโปร่งใส โดยยังไม่จำเป็นต้องออกกฎหมายที่อาจจำกัดนวัตกรรมในระยะแรก 3) ส่งเสริมการลงทุนร่วม ผลักดันให้บริษัทเทคโนโลยีต่างชาติที่เข้ามาตั้ง Data Center ในไทย เกิดการลงทุนร่วมกับนักวิจัยและมหาวิทยาลัยไทย เพื่อสร้าง AI ที่เป็นประโยชน์ต่อบริบทของประเทศ

4) สร้างพันธมิตรในภูมิภาค ทำงานร่วมกับประเทศในอาเซียนและเอเชีย เช่น สิงคโปร์และญี่ปุ่น เพื่อสร้างอำนาจต่อรองและขยายขนาดของตลาด 5) ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ผูกขาด สร้างสมดุลในการใช้เทคโนโลยีจากหลากหลายค่าย ไม่ว่าจะเป็น Nvidia, AMD หรือค่ายผู้ผลิตจากจีน  และ 6) การทูตเชิงเทคโนโลยี (Tech Diplomacy) ใช้เวทีสากลและเครือข่ายทางการทูตในการสื่อสารศักยภาพและสร้างความร่วมมือด้าน AI กับนานาชาติ

พิมพ์เขียวอนาคต: สู่การปฏิบัติผ่าน ‘National AI Consortium’

เพื่อให้ยุทธศาสตร์ทั้งหมดเกิดผลเป็นรูปธรรม แผน AI แห่งชาติได้ถูกออกแบบให้ขับเคลื่อนพร้อมกันทั้งในส่วนของการสร้างความพร้อม (Readiness) และการกระตุ้นให้เกิดการใช้งาน (Adoption) โดยมีกลไกสำคัญคือ National AI Consortium ซึ่งเป็นการรวมตัวของภาคเอกชนและสถาบันการศึกษา เพื่อเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนแผนอย่างต่อเนื่องและเป็นอิสระจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

แผนดังกล่าวประกอบด้วยรากฐานที่แข็งแกร่งคือ Data Center และมาตรการส่งเสริมการลงทุน และมีเสาหลักสำคัญคือ  1) การสร้างคน (AI Workforce Building) ตั้งเป้าสร้างผู้ใช้งานที่เข้าใจ AI 10 ล้านคน ผู้เชี่ยวชาญที่นำ AI ไปสร้างนวัตกรรม 90,000 คน และวิศวกร AI เชิงลึก 5,000 คน 2) การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Building) ผลักดันให้เกิดแพลตฟอร์ม AI แบบ Open-source ที่ลงทุนโดยรัฐ ควบคู่ไปกับการลงทุนของบริษัทระดับโลก เพื่อให้เกิดการเข้าถึงอย่างทั่วถึงและควบคุมราคาได้

3) ธนาคารข้อมูลแห่งชาติ (National Data Bank) รวบรวมข้อมูลสำคัญของประเทศ เช่น ข้อมูลภาษาไทยจากคลังเอกสารราชการและหอสมุดแห่งชาติ หรือข้อมูลภาพถ่ายทางการแพทย์ เพื่อใช้ในการฝึกฝน Foundation Model ของไทย และ 4. ศูนย์ความเป็นเลิศ (Center of Excellence – COE) จัดตั้ง COE 10 แห่ง ครอบคลุมทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (สุขภาพ, ท่องเที่ยว, เกษตร) และกลุ่มเทคโนโลยีแกนหลัก (ภาษาไทย, ความปลอดภัย)

ทั้งหมดนี้จะถูกกำกับทิศทางโดย National AI Consortium ซึ่งเปรียบเสมือนวาทยกรที่ควบคุมวงออร์เคสตราให้ทุกภาคส่วนทำงานประสานกันอย่างลงตัว วิสัยทัศน์นี้คือการเดิมพันระยะยาวที่ต้องการความร่วมมืออย่างไม่ปล่อยมือจากทุกฝ่าย เพื่อนำพาประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็นผู้เล่นคนสำคัญบนเวที AI โลกได้อย่างแท้จริง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Google Search ไม่เหมือนเดิม: สรุปกลยุทธ์ธุรกิจที่ต้องปรับตัวในยุค AI

ไทยพัฒน์เปิดตัว ‘Carbon Ratings’ หนุนนักลงทุนตัดสินใจบนข้อมูลด้านภูมิอากาศ

×

Share

ผู้เขียน