ทางรอดในยุค AI ไม่ใช่แค่ใช้ AI ให้เก่ง แต่คือการ ‘อ่าน-เขียน’ ทุกวัน: ทอย-กษิดิศ สตางค์มงคล ชี้ทางรอดจาก Disruption ด้วย First Principle
ท่ามกลางกระแสความตื่นตัวและความกังวลต่อปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกการทำงานอย่างรุนแรง คำแนะนำส่วนใหญ่มักมุ่งไปที่การเรียนรู้และปรับใช้ AI ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่ ทอย-กษิดิศ สตางค์มงคล ผู้เชี่ยวชาญด้าน Data เจ้าของเพจและเว็บไซต์ DataRockie กลับนำเสนอทางรอดที่สวนกระแสโดยชี้ว่ากุญแจสำคัญในการเอาตัวรอดจาก Mass Disruption ไม่ใช่การแข่งขันใช้ AI ให้เก่งกาจ แต่คือการหวนคืนสู่ทักษะพื้นฐานที่สุดของมนุษย์ นั่นคือ “การอ่านและการเขียน” อย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างป้อมปราการทางปัญญาที่ AI ไม่สามารถเลียนแบบได้
ระบบชีวิตที่เปราะบาง: เมื่อรายได้มีเพียง “ท่อเดียว”
กษิดิศเริ่มต้นด้วยการอธิบายแนวคิดพื้นฐานจากหนังสือ “Thinking in System” ผ่านโมเดล “Stock and Flow Diagram” ซึ่งเปรียบทุกสิ่งเป็นระบบที่มี “สต็อก” (Stock) หรือสิ่งที่กักเก็บได้ เช่น น้ำในแก้ว จำนวนประชากร หรือเงินในบัญชี และมี “กระแสไหลเข้า” (Inflow) กับ “กระแสไหลออก” (Outflow) เป็นตัวกำหนดการเพิ่มลดของสต็อก
เขาระบุว่าคนกว่า 99% ในปัจจุบันดำเนินชีวิตอยู่บนระบบการเงินที่เปราะบางอย่างยิ่ง เพราะมี “กระแสไหลเข้า” ของรายได้เพียงท่อเดียว นั่นคือ “เงินเดือน” จากการทำงานประจำ
“เราถูกสอนให้ตั้งใจเรียน จบมาหางานดี ๆ ทำงานในบริษัท 40 ปีแล้วเกษณียณ แต่ระบบนี้กำลังถูกท้าทายอย่างหนัก” กษิดิศกล่าว
“รายได้จากการเป็นลูกจ้างเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ ต่อให้ขยันทำงานเพิ่มเป็นสองเท่า เงินเดือนปีหน้าอาจไม่ขึ้น หรือแย่กว่านั้นคือไม่มีงานให้ทำต่อ”
เขาเปรียบเทียบอย่างเห็นภาพว่า เด็กจบใหม่เงินเดือน 20,000 บาท สามารถถูกแทนที่ด้วย Generative AI ที่มีค่าใช้จ่ายเพียงเดือนละ 9,400 บาท แต่สามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุด นี่คือความจริงที่ทำให้ความมั่นคงจากการทำงานในออฟฟิศได้กลายเป็นเพียงภาพลวงตา และเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเชื่อในคำกล่าวที่ว่า “คนส่วนใหญ่ตายตั้งแต่อายุ 25 แต่ถูกฝังจริงตอนอายุ 70”
AI ไม่ใช่ศัตรูแต่คือเครื่องมือแห่งการทำลายล้างในมือผู้มีอำนาจ
เพื่อให้เห็นความน่ากลัวของเทคโนโลยี กษิดิศได้หยิบยก “Fermi Paradox” ซึ่งตั้งคำถามว่า “หากจักรวาลกว้างใหญ่ไพศาล แล้วอารยธรรมอื่นอยู่ที่ไหน?” มาเป็นฉากหลัง และอธิบายผ่านทฤษฏีป่ามืด (Dark Forest Theory) จากนิยายวิทยาศาสตร์ของหลิว ฉือซิน (Liu Cixin) เรื่อง “The Three-Body Problem” ซึ่งเสนอว่า อารยธรรมที่ทรงปัญญาจะซ่อนตัวอยู่เงียบ ๆ เพราะเมื่อเผชิญหน้ากัน การทำลายล้างอีกฝ่ายคือทางรอดเดียวจากความไม่ไว้วางใจ หรืออีกทฤษฎีหนึ่งคือ อารยธรรมเหล่านั้นอาจทำลายตัวเองไปแล้วด้วยเทคโนโลยีที่สร้างขึ้นมา (Technological Self-destruction) ซึ่งหลายคนเชื่อว่า AI อาจเป็นสิ่งประดิษฐ์สุดท้ายที่นำพามนุษย์ไปสู่จุดนั้น
“สิ่งที่ผมกลัวไม่ใช่ตัว AI แต่คือผู้มีอำนาจที่นำ AI ไปใช้ในทางที่ผิด” กษิดิศย้ำ “AI ทำอะไรเราไม่ได้ แต่คนที่มีอำนาจ มีเงิน สามารถใช้มันเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตพวกเราได้เลย ต่อให้คุณใช้ AI เก่งแค่ไหน แต่ถ้าคุณไม่ใช่เจ้าของบริษัท คุณก็ยังถูกเลิกจ้างได้อยู่ดี”
เขายังชี้ให้เห็นความจริงว่า AI ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแข่งขันกับคนทั่วไป แต่เพื่อเอาชนะมนุษย์ที่เก่งที่สุดในแต่ละด้าน ไม่ว่าจะเป็น Deep Blue ของ IBM ที่ชนะแชมป์หมากรุกโลก แกรี่ คาสปารอฟ (Garry Kasparov) ในปี 1997 หรือ AlphaGo ของ Google DeepMind ที่เอาชนะแชมป์โลกหมากล้อมอย่าง ลี เซดอล (Lee Sedol) ในปี 2016 จนเขาต้องประกาศวางมือเพราะตระหนักว่ามนุษย์ไม่มีทางเอาชนะคอมพิวเตอร์ได้อีกต่อไป
ภาษา: สมรภูมิสุดท้ายและทางรอดของมนุษยชาติ
หัวใจสำคัญที่ทำให้ AI ทรงพลังคือ “ภาษา” โมเดล AI ชั้นนำล้วนเป็น Large Language Model (LLM) ซึ่งความสามารถในการเข้าใจและสร้างภาษา คือสิ่งที่ทำให้มันเกิดกระบวนการคิดและให้เหตุผลได้ แต่ในทางกลับกัน มนุษย์กำลังละทิ้งอาวุธที่สำคัญที่สุดของตัวเองไปอย่างน่าเป็นห่วง
“เราเรียนรู้เรื่องภาษาน้อยลงมาก เราแทบไม่อ่านหนังสือ คนไทยใช้เวลากับโซเชียลมีเดียวันละ 2 ชั่วโมงครึ่ง แต่กลับบอกว่าไม่มีเวลาอ่านหนังสือ” กษิดิศกล่าว
“Language creates the brain” หรือ ภาษาสร้างสมอง การอ่านและการเขียนคือกระบวนการสร้างและฝึกฝนสมองที่ลึกซึ้ง เขายกตัวอย่างวรรณะในอินเดียที่ใช้ชุดคำศัพท์แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ซึ่งส่งผลต่อโอกาสและความก้าวหน้าในชีวิต เช่นเดียวกับความได้เปรียบของผู้ที่ใช้ภาษาอังกฤษได้ในสังคมไทย
ขณะเดียวกัน เขาแสดงความกังวลต่อเทรนด์การสรุปหนังสือใน 10 นาที ซึ่งทำให้ผู้เสพสารสูญเสียความแตกต่างและรายละเอียดอันลึกซึ้งไปโดยสิ้นเชิง รวมถึงการที่เราเริ่มมอบอำนาจการตัดสินใจเรื่องง่าย ๆ ในชีวิตประจำวันให้ AI เช่น การถามว่า “วันนี้ฉันควรแต่งตัวชุดไหนดี” ซึ่งเป็นการค่อย ๆ สึกกร่อนความเป็นมนุษย์และความสามารถในการคิดของตัวเอง
เปลี่ยนหลักการพื้นฐาน: ทำงานกับ “ตัวเอง” ให้หนักกว่า “งานประจำ“
ทางรอดที่กษิดิศนำเสนอ คือการกลับไปสู่หลักการพื้นฐาน (First Principle) ของการสร้างชีวิตและอาชีพที่ยั่งยืน เขาเสนอทางเลือกในการหารายได้ 2 วิธี คือ 1. ทำงานให้คนอื่น (Work for others) ซึ่งเป็นหนทางที่คนส่วนใหญ่ทำและกำลังเผชิญความเสี่ยง และ 2. สร้างงานของตัวเอง (Work for yourself) ซึ่งเป็นหนทางแห่งความยั่งยืนที่แท้จริง
“ทางรอดคือตื่นเช้ามาอ่านหนังสือทุกวัน เขียนหนังสือทุกวัน แค่ทำในสิ่งที่คน 95% ในสังคมไม่ได้ทำ เราก็จะรอดแล้ว” เขากล่าว การทำเช่นนี้คือการสร้าง “สต็อก” ทางปัญญาและความสามารถของตัวเองให้เพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นรากฐานในการสร้างงานและคุณค่าของตนเองขึ้นมา โดยไม่ต้องพึ่งพิง “กระแสไหลเข้า” ที่ไม่แน่นอนจากผู้อื่น
พร้อมทิ้งท้ายด้วยประโยคที่ทรงพลังว่า “Work harder on yourself more than you do on your job” (ทำงานหนักกับตัวเองให้มากกว่าที่คุณทำงานเพื่องานประจำของคุณ) เพราะการทำงานหนักกับงานประจำอาจทำให้คุณมีอาชีพ แต่การทำงานหนักกับตัวเองจะทำให้คุณมีอนาคตที่สดใสและยั่งยืนอย่างแท้จริงในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดยั้ง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
นักวิจัยไทยใน MIT เสนอแนวคิด ‘ปัญญาไซบอร์ก’ เสริมขีดความสามารถมนุษย์
LINE ปลดล็อก Mini App สู่สาธารณะ ส่ง API ใหม่ พร้อมจัด HACKATHON 2025




