Share on
×

Share

รศ.ดร.กาญจนา แก้วเทพ ชี้ ‘Knowledge Shift’ นิเทศศาสตร์ยุคใหม่ ต้องเชื่อมโยงบูรณาการ

รศ.ดร.กาญจนา แก้วเทพ ชี้ 'Knowledge Shift' นิเทศศาสตร์ยุคใหม่ ต้องเชื่อมโยงบูรณาการ

ในยุคที่ภูมิทัศน์สื่อเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล องค์ความรู้ด้านนิเทศศาสตร์กำลังเกิดการ “เปลี่ยนผ่าน” ครั้งสำคัญอย่างไร? ในเวทีเสวนาเนื่องในโอกาสครบรอบ 60 ปี ภายใต้แนวคิด “Unlock 60: Keys to the Betterverse of Communication” รองศาสตราจารย์ดร. กาญจนา แก้วเทพ หนึ่งในนักวิชาการคนสำคัญของวงการนิเทศศาสตร์ไทย ได้วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงขององค์ความรู้ในหัวข้อ “New Media Studies and Knowledge Shift in communication” โดยชี้ว่าหัวใจสำคัญของนิเทศศาสตร์ยุคใหม่คือ “การเชื่อมโยงบูรณาการ” ที่ทลายกำแพงระหว่างศาสตร์ต่าง ๆ และนำไปสู่โจทย์วิจัยและทฤษฎีที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

รศ.ดร.กาญจนา กล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงองค์ความรู้ (Knowledge Shift) ในสายสังคมศาสตร์อย่างนิเทศศาสตร์นั้นแตกต่างจากวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ โดยได้จำแนกรูปแบบการเปลี่ยนแปลงออกเป็น 3 ลักษณะสำคัญ ได้แก่ การลอกคราบความรู้เก่าถูกแทนที่ด้วยความรู้ใหม่อย่างสมบูรณ์ เช่น การมาของอีเมลทำให้ความรู้เรื่องโทรเลขหมดความจำเป็นไป การควบซ้อน ความรู้เก่าและใหม่ยังคงอยู่ร่วมกันแบบคู่ขนาน แต่ยังไม่ได้ผสมผสานเป็นเนื้อเดียวกัน

และ การบูรณาการเชื่อมโยง เป็นรูปแบบที่เด่นชัดที่สุดในยุคสื่อใหม่ คือการนำองค์ความรู้จากหลากหลายสาขาวิชามาเชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ เช่น การปรากฏของรูป “พระพิฆเนศ” บนหน้าจอสมาร์ทโฟนที่ใช้เทคโนโลยี 5G ซึ่งเป็นการผสานความเชื่อดั้งเดิมเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่างไร้รอยต่อ และเป็นแนวทางที่ทลายเส้นแบ่งระหว่างเทคโนโลยี ศิลปะ และความเชื่อ ที่เคยถูกแยกขาดจากกันมานานหลายร้อยปี

รู้จัก “สื่อใหม่” ให้ถ่องแท้: จากผู้รับสารสู่ “โปรซูเมอร์” ในโลกแห่งการหลอมรวม

รศ.ดร.กาญจนา ย้ำว่าก้าวแรกที่สำคัญคือการทำความรู้จักคุณลักษณะของสื่อใหม่ให้ลึกซึ้ง ซึ่งมีความแตกต่างจากสื่อมวลชน (Mass Media) ในยุคก่อนอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่เป็นการสื่อสารทางเดียว (One-way) สื่อใหม่ได้เปลี่ยนเป็นการสื่อสารสองทาง (Two-way) ที่เส้นแบ่งระหว่างผู้ส่งสาร (S) และผู้รับสาร (R) เลือนรางลง ทุกคนสามารถเป็นทั้งผู้สร้างและผู้เผยแพร่เนื้อหาได้ในเวลาเดียวกัน หรือที่เรียกว่า “โปรซูเมอร์” (Prosumer) ซึ่งสามารถนำเสนอเนื้อหาได้ทั้งในพื้นที่ส่วนตัวและพื้นที่สาธารณะ

คุณสมบัติเด่นอีกประการคือ การหลอมรวม (Convergence) ซึ่งเกิดจากธรรมชาติของเทคโนโลยีดิจิทัล อย่างไรก็ตาม การหลอมรวมนั้นมีหลายระดับ ตั้งแต่การ “รวมแต่ยังไม่หลอม” เหมือนข้าวเหนียวกับลูกชิ้นที่ยังแยกส่วนกันได้ การ “รวมและหลอมแต่ยังไม่เป็นเนื้อเดียวกัน” เหมือนผงนมสด และระดับสูงสุดคือการ “รวมและหลอมเป็นเนื้อเดียวกัน” จนแยกไม่ออกเหมือนกาแฟคาปูชิโน่ ซึ่งกลายเป็นโจทย์วิจัยที่ท้าทายสำหรับนักนิเทศศาสตร์ต่อไปว่าการหลอมรวมที่เกิดขึ้นในแต่ละปรากฏการณ์นั้นอยู่ในระดับใด

เมื่อทฤษฎีเก่าเผชิญโลกใหม่: ทฤษฎีใดไปต่อทฤษฎีใดต้องปรับ?

การมาถึงของสื่อใหม่ได้สั่นสะเทือนรากฐานทางทฤษฎีการสื่อสารเดิม ๆ ที่เคยใช้อธิบายสื่อมวลชนอย่างรุนแรง รศ.ดร.กาญจนา แก้วเทพ ได้พาไปสำรวจจักรวาลทฤษฎีเดิม เพื่อประเมินว่าทฤษฎีใดจะยังคงใช้การได้ ทฤษฎีใดต้องปรับตัว และจำเป็นต้องมีทฤษฎีใหม่เกิดขึ้นหรือไม่ ซึ่งเป็นคำถามสำคัญ 3 ข้อที่เป็นหัวใจของการเปลี่ยนผ่านองค์ความรู้นี้

รศ.ดร.กาญจนา เริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์กลุ่มทฤษฎีดั้งเดิมที่เคยเป็นเสาหลักในการศึกษาสื่อมวลชน ได้แก่

  • Impact Theory (ทฤษฎีผลกระทบ): เป็นทฤษฎีที่ถือกำเนิดในบริบทเฉพาะ คือช่วงวิกฤตสงครามและยุคที่สื่อมีลักษณะรวมศูนย์ ซึ่งขัดกับธรรมชาติของสื่อใหม่ที่กระจายตัวและผู้ใช้มีนวัตกรรมการใช้งานสูง ดังนั้น อิทธิพลของทฤษฎีนี้จึงลดลงอย่างเห็นได้ชัด อาจไม่สามารถใช้อธิบายผลกระทบในแง่มุมมอง (Perspective) ได้ดีเท่าเดิม แต่ยังคงมีประสิทธิภาพในการอธิบายการสร้าง “อัตลักษณ์” (Identity) ในโลกดิจิทัล
  • Functionalist Theory (ทฤษฎีหน้าที่): ยังคงเป็นทฤษฎีที่ไปต่อได้ไม่ยาก เนื่องจากมีลักษณะเป็น “ทฤษฎีเปิด” ที่ยืดหยุ่น สามารถเพิ่มหน้าที่ใหม่ๆ ของสื่อเข้าไปได้เสมอตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป
  • Normative Theory (ทฤษฎีปทัสถาน): กำลังเผชิญความท้าทายอย่างยิ่ง เพราะเดิมทีถูกออกแบบมาเพื่อกำกับดูแลสื่อมวลชนซึ่งมีผู้ผลิตจำนวนจำกัด แต่ในยุคสื่อใหม่ที่ทุกคนเป็นผู้ผลิตและส่งสารได้ ทฤษฎีนี้จะยังสามารถกำกับดูแลได้อย่างไรจึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องขบคิดกันต่อไป
  • Uses and Gratifications Theory (ทฤษฎีการใช้ประโยชน์และความพึงพอใจ): กลับได้รับความนิยมอย่างสูงในการศึกษาสื่อใหม่ เพราะมี “เคมี” ที่เข้ากันได้ดีกับธรรมชาติของผู้รับสารที่กระตือรือร้น (Active Audience) และมีพัฒนาการจากการเป็นเพียง “ผู้ใช้” (Use) สู่ “ผู้แสวงหาข้อมูล” (Info Seeking) และปัจจุบันคือ “โปรซูเมอร์” (Prosumer) ที่เป็นทั้งผู้รับและผู้สร้างสาร

ขณะที่บางทฤษฎีต้องปรับตัว แต่ก็มีบางทฤษฎีที่กลับมาเฉิดฉายและมีทฤษฎีน้องใหม่เกิดขึ้นมา คือ

  • Toronto School (ทฤษฎีของมาร์แชล แมคลูฮัน และ ฮาโรลด์ อินนิส): แม้จะเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับทฤษฎีผลกระทบ แต่กลับมารุ่งเรืองอย่างยิ่งในยุคนี้ เพราะสื่อใหม่ได้สร้างสภาวะ “ไร้กาลเทศะ” (No time, no space) ซึ่งตรงกับแนวคิดหลักของทฤษฎีนี้ที่ว่าสื่อไม่ได้ส่งผลแค่เนื้อหา แต่ส่งผลต่อมิติการรับรู้เวลาและสถานที่ของผู้คนโดยตรง
  • Cultural Studies และ Semiology (วัฒนธรรมศึกษาและสัญวิทยา): เป็นทฤษฎีที่เกิดมาพร้อม ๆ กับสื่อใหม่และได้รับความนิยมสูง เนื่องจากสื่อใหม่คือโลกของสัญญะ (Symbol) ที่เปิดให้เกิดการต่อสู้เชิงความหมายตลอดเวลา
  • Game Theory (ทฤษฎีเกม): กลายเป็น “น้องใหม่มาแรงแซงโค้ง” เพราะภาพของสื่อออนไลน์คือภาพของการ “เล่นเกม” ที่มีแก่นคิดว่า “แม้ฟ้าดิน (กฎกติกา) จะเป็นผู้กำหนด แต่เรา (มนุษย์) ก็เป็นผู้เลือกเสมอ” ซึ่งสะท้อนธรรมชาติของการมีปฏิสัมพันธ์ในโลกดิจิทัลได้เป็นอย่างดี

รศ.ดร.กาญจนาจึงเสนอว่า หลักสูตรนิเทศศาสตร์ยุคใหม่จำเป็นต้องเพิ่มนักคิดอย่าง ลุดวิจ วิตเกนสไตน์ (Ludwig Wittgenstein) เข้าไปในทำเนียบ ควบคู่ไปกับนักทฤษฎีดั้งเดิมอย่างฮาโรลด์ ดไวท์ ลาสเวลล์ (Harold Dwight Lasswell) เพื่อให้เท่าทันโลกทัศน์ที่เปลี่ยนไป

จาก “ความรุนแรงในสื่อ” สู่ “ตัวตนและชีวิตประจำวัน”: โจทย์วิจัยที่เปลี่ยนไป

ภูมิทัศน์ของโจทย์วิจัยด้านนิเทศศาสตร์ได้เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ โดย รศ.ดร.กาญจนา ได้เริ่มต้นด้วยการให้ข้อสังเกตที่สำคัญว่า ก่อนจะตั้งโจทย์วิจัยใด ๆ จำเป็นต้องกำหนด “หน่วยในการศึกษา” (Unit of Study) ให้ชัดเจนเสียก่อน

โจทย์วิจัยสื่อใหม่ในปัจจุบันมีที่มาจาก 2 แหล่งหลัก คือ โจทย์ที่ได้รับอิทธิพลจากสาขาวิชาอื่น และโจทย์ที่วิวัฒนาการมาจากคำถามดั้งเดิมในแวดวงสื่อสารมวลชน

รศ.ดร.กาญจนา ได้จำแนกรูปแบบการเปลี่ยนแปลงของโจทย์วิจัยที่มาจากแวดวงสื่อเองออกเป็น 3 ลักษณะ คือ

  1. โจทย์เดิมในบริบทใหม่ (ทุกอย่างขอให้เหมือนเดิม) เป็นการนำหัวข้อการศึกษาดั้งเดิมมาประยุกต์ใช้กับสื่อใหม่โดยตรง เช่น โจทย์คลาสสิกเรื่อง “สื่อกับความรุนแรง” (Media and Violence) ก็ถูกนำมาศึกษาต่อในบริบทของ “ตัวบทดิจิทัลกับความรุนแรง” (Digital Text and Violence)
  2. การพลิกมุมมองโจทย์ (พลิกโจทย์) เป็นการเปลี่ยนมุมมองจากปัญหาในยุคก่อนไปสู่ปัญหาใหม่ที่ตรงกันข้ามในยุคปัจจุบัน เช่น จากปัญหา “การเข้าถึงสื่อ” (Accessibility) ในอดีต พลิกมาสู่ปัญหา “สิทธิส่วนบุคคล” (Privacy) และ จากปัญหา “ข้อมูลที่หายาก” (Information Scarcity) พลิกมาสู่ปัญหา “ข้อมูลที่ล้นเกิน” (Information Overload) ซึ่งนำไปสู่โจทย์ใหม่ ๆ เช่น การบริหารจัดการข้อมูล หรือ “จะลบตัวตนในโลกออนไลน์อย่างไร”
  3. โจทย์ใหม่ถอดด้าม เป็นประเด็นที่ไม่เคยมีมาก่อนในยุคสื่อมวลชน เช่น โจทย์ที่เกี่ยวกับ “ความเสี่ยง” (Risk) ซึ่งได้รับอิทธิพลจากแนวคิดเรื่อง “สังคมเสี่ยงภัย” (Risk Society) และเห็นได้ชัดจากความกังวลเรื่องข้อมูลส่วนตัวรั่วไหลในโลกดิจิทัล

โจทย์วิจัยจำนวนมากในปัจจุบันได้รับแรงบันดาลใจมาจากแวดวงสังคมศาสตร์อื่น ๆ ที่หันมาให้ความสำคัญกับประเด็นใหม่ ๆ เช่น ตัวตนและอัตลักษณ์ (Self and Identity) กลายเป็นหัวข้อยอดฮิตของศตวรรษที่ 21 ซึ่งสื่อใหม่เข้ามามีบทบาทอย่างสูงในการก่อร่างสร้างตัวตนของผู้คน

ชีวิตประจำวัน (Everyday Life) ในขณะที่ศตวรรษที่ 20 เน้นศึกษาสถาบันและโครงสร้างใหญ่ ศตวรรษที่ 21 หันมาสนใจวิถีชีวิตประจำวัน ซึ่งการศึกษา “การใช้สื่อในชีวิตประจำวัน” (Media Use in Everyday Life) สามารถสวมรับเข้ากับแนวทางนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

การศึกษาโจทย์ที่ซับซ้อนและเป็นส่วนตัวเหล่านี้ยังนำมาซึ่งการใช้ระเบียบวิธีวิจัยใหม่ ๆ ที่เรียกว่า “ชาติพันธุ์วรรณนาดิจิทัล” (Digital Ethnography) ซึ่งผู้ศึกษาต้องเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนออนไลน์นั้น ๆ (เช่น เข้าไปเป็นผู้เล่นเกมออนไลน์) เพื่อสังเกตการณ์และทำความเข้าใจปรากฏการณ์จากมุมมองของคนในอย่างแท้จริง

สุดท้ายนี้ รศ.ดร.กาญจนา ได้ทิ้งท้ายว่า สื่อใหม่ได้เข้าไปมีความสัมพันธ์กับทุกมิติของสังคม ทั้งมิติเศรษฐกิจ (Digital Capitalism, Creative Economy) สังคม (New Media, New Ties) และสิ่งแวดล้อม ซึ่งทั้งหมดนี้คือภาพสะท้อนของ “Knowledge Shift” ที่นักนิเทศศาสตร์ต้องทำความเข้าใจ เพื่อก้าวให้ทันโลกแห่งการสื่อสารที่เชื่อมโยงและบูรณาการอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

True Visions เปิดตัว ‘The Race to Space’ เฟ้นคนไทยคนแรกบินกับ Blue Origin

‘มนุษย์ต่างวัย’: เมื่อ Digital Storytelling ทลายกำแพงวัยสร้างสังคมแห่งความเข้าใจ

×

Share

ผู้เขียน