Share on
×

Share

4 ทศวรรษ Cisco เดิมพันอนาคตบน ‘แพลตฟอร์ม’ ชี้ธุรกิจไทยต้องยกเครื่องรับมือ AI

4 ทศวรรษ Cisco เดิมพันอนาคตบน 'แพลตฟอร์ม' ชี้ธุรกิจไทยต้องยกเครื่องรับมือ AI

ในวาระครบรอบ 40 ปีของการก่อตั้ง Cisco ทั่วโลก และ 30 ปีในประเทศไทย Cisco ได้มองการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของภูมิทัศน์เทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนโดยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ว่าโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) และแนวคิดด้านความปลอดภัยแบบเดิมไม่สามารถรองรับความท้าทายในยุค AI ได้อีกต่อไป และทางรอดขององค์กรคือการเปลี่ยนผ่านสู่ “แพลตฟอร์มแบบบูรณาการ” ที่ผสานทุกอย่างตั้งแต่เครือข่าย ความปลอดภัย และการทำงานร่วมกันไว้ในที่เดียว

จากยุคอินเทอร์เน็ตสู่ยุคแห่ง AI: เมื่อโลกไอทีไม่เหมือนเดิม

วีระ อารีรัตนศักดิ์ กรรมการผู้จัดการซิสโก้ประจำประเทศไทย และเมียนมาร์ เล่าถึงวิวัฒนาการของโลกไอทีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยแบ่งออกเป็น 3 ยุคสมัยที่เปลี่ยนภูมิทัศน์ของธุรกิจไปอย่างสิ้นเชิง เริ่มตั้งแต่ ยุคอินเทอร์เน็ต (Internet Era) ในช่วงปี 1980 ที่องค์กรต่าง ๆ เริ่มเชื่อมต่อกัน แต่ยังคงมีศูนย์ข้อมูล (Data Center), เซิร์ฟเวอร์, และแอปพลิเคชันเป็นของตนเอง ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมและสามารถป้องกันได้ภายในองค์กร

ถัดมาคือ ยุคคลาวด์ (Cloud Era) ในราวปี 2000 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนที่องค์กรไม่จำเป็นต้องลงทุนสร้าง Data Center เอง แต่หันไปใช้บริการบนคลาวด์แทน “สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ ห้อง Data Center หายไป แอปพลิเคชันไม่ได้เป็นของเรา แต่ข้อมูลยังเป็นขององค์กร” วีระอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงในยุคนั้น

และปัจจุบันได้ก้าวเข้าสู่ ยุคแห่ง AI ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่พลิกโฉมยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ

“ยุค AI ได้เปลี่ยนทุกอย่างไปโดยสิ้นเชิง เราอยู่ในโลกที่เราไม่มี Data Center ไม่มีแอปพลิเคชันของเราเอง และที่สำคัญคือเราใช้ข้อมูลซึ่งส่วนใหญ่ไม่ใช่ของเรา แต่เป็นข้อมูลสาธารณะ (Universal Data) เหมือนเวลาที่เราใช้ ChatGPT เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้อมูลที่ AI ตอบกลับมานั้นมาจากไหนหรือถูกต้องเพียงใด นี่คือความท้าทายครั้งใหญ่ที่มาพร้อมกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์มหาศาล”

การมาถึงของ AI ไม่เพียงเปลี่ยนโครงสร้างทางเทคโนโลยี แต่ยังเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน จากเดิมที่ “คน” เป็นศูนย์กลางและมีเทคโนโลยีเป็นผู้ช่วย ไปสู่ยุคที่ “AI Agent” อย่างแชตบอท สามารถทำงานแทนมนุษย์ในงานพื้นฐานได้ และแอปพลิเคชันไม่ได้ให้ผลลัพธ์แบบตายตัวอีกต่อไป แต่สามารถเรียนรู้และนำเสนอสิ่งที่ดียิ่งกว่าได้

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ได้ราบรื่น ผลสำรวจ AI Readiness Index ของ Cisco พบว่า มีองค์กรในประเทศไทยเพียง 20% เท่านั้นที่ระบุว่าตนเองมีความพร้อมเต็มที่ในการใช้ประโยชน์จาก AI ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างขนาดใหญ่ที่เกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานไม่พร้อม ระบบไอทีที่ออกแบบมาเพื่อธุรกิจในยุคก่อน ไม่สามารถรองรับปริมาณงาน (Workload) และความเร็วที่จำเป็นสำหรับการฝึกฝนโมเดล AI ได้ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่ซับซ้อน การทำงานบนระบบเปิด 100% ที่ข้อมูลกระจัดกระจายทั้งภายในและภายนอกองค์กร ทำให้การป้องกันภัยไซเบอร์ทำได้ยากกว่าที่เคยเป็นมา และ ปัญหาเรื่องความน่าเชื่อถือ (Trust) หากผู้ใช้ไม่เชื่อมั่นในผลลัพธ์ที่ AI นำเสนอ การนำ AI มาใช้งานในองค์กรก็จะไม่เกิดขึ้น

ถึงเวลาทิ้ง “Best of Breed” สู่ “Platform Approach”

ในอดีต องค์กรไอทีนิยมแนวทาง “Best of Breed” ซึ่งคุณวีระอธิบายว่า คือการที่ไปซื้อเซิร์ฟเวอร์ที่ดีที่สุดจากยี่ห้อหนึ่ง ซื้อแอปพลิเคชันที่ดีที่สุดอีกยี่ห้อ และซื้อระบบความปลอดภัยที่ดีที่สุดจากอีกยี่ห้อหนึ่ง แล้วนำทุกอย่างมาเชื่อมต่อ (Integrate) กันเอง แม้จะได้ของที่ดีที่สุดในแต่ละด้าน แต่ในยุค AI ที่ทุกอย่างเชื่อมถึงกันและซับซ้อนขึ้น แนวทางนี้กลับสร้างปัญหาในการบริหารจัดการและขาดการมองเห็นภาพรวม

ด้วยเหตุนี้ Cisco จึงเสนอทางออกด้วย “Platform Approach” หรือการบูรณาการทุกโซลูชันหลักไว้บนแพลตฟอร์มเดียวกัน เพื่อให้เกิดการมองเห็นภาพรวม (Visibility) และการบริหารจัดการที่ง่ายดาย โดยมี 3 เสาหลักสำคัญคือ

  1. AI-Ready Infrastructure (โครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมสำหรับ AI) ไม่ใช่แค่การปรับปรุง Data Center ให้สามารถรองรับ Workload มหาศาลของ AI ได้ แต่ยังหมายถึงการนำ AI เข้ามาช่วยบริหารจัดการ Data Center ให้เป็นอัตโนมัติและชาญฉลาดขึ้น ลดภาระงานของบุคลากร และเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของความร่วมมือกับ Nvidia ในการสร้าง “Secure AI Factory”
  2. Future-proof Workplace (พื้นที่ทำงานแห่งอนาคต) แนวคิดนี้ได้รับแรงผลักดันอย่างชัดเจนหลังยุคโควิด-19 ที่การทำงานแบบไฮบริด (Hybrid Work) กลายเป็นมาตรฐานใหม่ องค์กรต้องสามารถรองรับการทำงานจากทุกที่ ทุกอุปกรณ์ ได้อย่างปลอดภัยสูงสุด ซึ่งแพลตฟอร์มของ Cisco จะเข้ามาช่วยยืนยันตัวตนของผู้ใช้และรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ไม่ว่าพนักงานจะเชื่อมต่อมาจากที่ใดก็ตาม
  3. Digital Resilience (ความยืดหยุ่นทางดิจิทัล) ในอดีต ไอทีเป็นเพียงส่วนสนับสนุน แต่ปัจจุบันไอทีคือธุรกิจ ลองจินตนาการว่าถ้า Mobile Banking หรือแพลตฟอร์มชอปปิงออนไลน์ล่ม นั่นคือธุรกิจหยุดชะงัก 100% ดังนั้น Digital Resilience จึงหมายถึงการสร้างระบบที่แข็งแกร่ง สามารถรับรู้ ป้องกัน และฟื้นตัวจากปัญหาได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง

วีระเปรียบเทียบแนวคิดนี้ให้เห็นภาพว่า เน็ตเวิร์คก็เหมือน ‘ถนน’ และ Data Center ก็คือ ‘บ้าน’ ขององค์กร ในอดีตมีบริษัทสร้างถนนเจ้าหนึ่ง บริษัทสร้างบ้านอีกเจ้า และบริษัทติดตั้งระบบความปลอดภัยอีกเจ้า ทุกคนทำงานแยกส่วนกัน ทำให้ไม่มีใครเห็นภาพรวมทั้งหมด

“เวลาเกิดปัญหา เช่น มีขโมยเข้าบ้าน เราก็ไม่รู้ว่าเขาเข้ามาจากทางไหน แต่แพลตฟอร์มของ Cisco คือการสร้างทั้งถนน บ้าน และระบบรักษาความปลอดภัยไปพร้อมกัน ทำให้เรามี Dashboard ที่มองเห็นทุกอย่างได้จากจุดเดียว”

ความปลอดภัยต้องฝังลึก ไม่ใช่แค่รั้วหน้าบ้าน

ในยุค AI ที่องค์กรต้องเชื่อมต่อกับโลกภายนอกตลอดเวลา แนวคิดด้านความปลอดภัยแบบเดิมที่พึ่งพา Firewall เพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพออีกต่อไป

“ในอดีต Firewall ก็เหมือนเป็น ‘ประตูบ้าน’ ขององค์กร เราแค่ล็อคประตูบ้านแล้วก็จบ แต่ลองจินตนาการว่าถ้ามีคนทะลุประตูบ้านเข้ามาได้ แต่ภายในบ้านไม่มีการป้องกันอะไรเลย ความเสียหายทั้งหมดก็จะเกิดขึ้นอย่างประเมินค่าไม่ได้”

ด้วยเหตุนี้ Cisco จึงนำเสนอแนวคิดความปลอดภัยยุคใหม่ที่ต้องฝัง (Embedded) ลงไปในทุกจุดของเครือข่าย ไม่ใช่แค่ที่ทางเข้าออก โดยใช้โซลูชันที่เรียกว่า “Hybrid Mesh Firewall” ซึ่งเปรียบได้กับการมีระบบรักษาความปลอดภัยอยู่ทุกประตูภายในบ้าน

“เรากำลังผสมผสานความปลอดภัยเข้าไปในทุกจุดเชื่อมต่อของเครือข่าย มันคือการล็อคทั้งประตูหน้าบ้าน ล็อคประตูห้องนอน และล็อคประตูห้องเก็บของ ถ้ามีคนร้ายเข้ามาได้ ความเสียหายก็จะถูกจำกัดอยู่ในวงแคบที่สุด”

อย่างไรก็ตาม แนวทางนี้ไม่ได้หมายถึงการเพิ่มภาระหรือสร้างความยุ่งยากให้ผู้ใช้งานจนระบบไม่สามารถทำงานได้ แต่เป็นการใช้ความอัจฉริยะของเครือข่ายที่ Cisco สั่งสมประสบการณ์มาตลอด 40 ปี

“อุปกรณ์ทุกอย่างในเครือข่ายเปรียบเสมือนเซ็นเซอร์ มันสามารถเก็บรูปแบบ (Pattern) การใช้งานได้ว่าใครกำลังทำอะไร เข้าถึงเว็บไซต์ไหน ซึ่งข้อมูลมหาศาลเหล่านี้ทำให้เราสามารถฝังระบบความปลอดภัยอัจฉริยะลงไปในจุดควบคุมที่สำคัญ (Control Point) ได้ โดยไม่กระทบต่อการใช้งานปกติ”

นี่คือการเปลี่ยนผ่านจากระบบรักษาความปลอดภัยที่ปลายเหตุ ไปสู่การป้องกันเชิงรุกที่เข้าใจพฤติกรรมและมองเห็นภาพรวมทั้งหมด ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการปกป้ององค์กรในยุคดิจิทัลที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงที่ซับซ้อน

นวัตกรรมแห่งอนาคต: “AI Canvas” ผู้ช่วยอัจฉริยะสำหรับเครือข่าย

หนึ่งในนวัตกรรมที่น่าจับตามองที่สุดซึ่ง Cisco เตรียมเปิดตัวในปลายปีนี้คือ “AI Canvas” ซึ่งไม่ใช่แค่ Generative AI ที่รอตอบคำถาม แต่เป็น “Agentic AI” ที่ก้าวไปอีกขั้น โดยทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยดิจิทัลที่สามารถวิเคราะห์ปัญหาและแนะนำแนวทางการแก้ไขได้

“Generative AI คือเราถาม แล้ว AI ตอบ แต่ AI Canvas จะเป็น Agentic AI ที่สามารถวิเคราะห์และทำบางฟังก์ชันแทนมนุษย์ได้ เราไม่ต้องถามแล้วรอคำตอบอีกต่อไป”

หัวใจสำคัญของ AI Canvas คือการเปลี่ยนปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับระบบเครือข่ายที่ซับซ้อนให้กลายเป็นเรื่องง่าย

“เราไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดหรือมีความรู้ทางเทคนิคเชิงลึก เราสามารถถามด้วยภาษาพูดธรรมดาได้เลย เช่น ‘ตอนนี้เน็ตเวิร์คที่ออฟฟิศมีปัญหา ช่วยดูให้หน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น’ จากนั้น AI Canvas จะไปรวบรวมข้อมูลทั้งหมดจากทุกส่วนที่มองเห็นบนแพลตฟอร์ม มาวิเคราะห์ แล้วตอบกลับมาเป็นภาษามนุษย์ว่า ‘อาจเกิดจากอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมต่อไปสิงคโปร์ช้า’ พร้อมกับมีคำแนะนำว่าเราต้องทำอะไรต่อ 1, 2, 3, 4”

AI Canvas ไม่ได้มาแทนที่บุคลากรไอที แต่มาเพื่อเป็นเครื่องมือทรงพลังที่ช่วยลดภาระงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ และใช้เวลานาน ในอดีตเมื่อระบบล่ม อาจต้องใช้คนถึง 10 คนเพื่อตรวจสอบระบบต่าง ๆ แยกกัน แต่ Agentic AI สามารถรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ปัญหาทั้งหมดได้ในเวลาอันรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจสุดท้ายยังคงเป็นของมนุษย์ “มนุษย์เรามีหน้าที่ยืนยันว่าสิ่งที่ AI แนะนำเป็นสิ่งที่เราอยากทำ” ซึ่งเป็นการสร้างสมดุลระหว่างความสามารถของ AI กับความน่าเชื่อถือและการควบคุมโดยมนุษย์ เพื่อช่วยให้องค์กรแก้ปัญหาได้เร็วขึ้น และรับมือกับความท้าทายเรื่องการขาดแคลนบุคลากรผู้เชี่ยวชาญได้อย่างมีประสิทธิภาพ

30 ปีแห่งการขับเคลื่อนดิจิทัลในประเทศไทย

ตลอด 3 ทศวรรษที่ผ่านมา Cisco ไม่เพียงแค่นำเสนอเทคโนโลยี แต่ยังมุ่งมั่นที่จะคืนประโยชน์และสร้างบุคลากรเพื่อขับเคลื่อนสังคมไทยสู่ยุคดิจิทัลอย่างยั่งยืน โดยมีโครงการที่เป็นรูปธรรมและสร้างผลกระทบในวงกว้าง

หนึ่งในโครงการที่โดดเด่นและน่าภาคภูมิใจที่สุดคือ Cisco Networking Academy ซึ่งเป็นความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้านไอที

“ปัจจุบันมีนักศึกษาจบจากหลักสูตรนี้ไปแล้วกว่า 117,000 คน โดยมีนักศึกษาใหม่เข้าร่วมเฉลี่ยปีละ 20,000 คน ผ่านความร่วมมือกับ 39 มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ที่น่าภูมิใจคือบัณฑิตที่จบจากหลักสูตรนี้มีอัตราการได้งานในสายไอทีเกือบ 100%” วีระกล่าว

หลักสูตรของ Academy ได้พัฒนาไปตามยุคสมัย จากเดิมที่เน้นเรื่องเครือข่าย ปัจจุบันได้ขยายไปสู่ Cyber Security และล่าสุดคือ AI ที่สำคัญคือมีการแปลหลักสูตรเป็นภาษาไทย และยังได้เปิดหลักสูตรพื้นฐานด้านความปลอดภัยไซเบอร์ให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้ามาเรียนรู้ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

นอกจากนี้ Cisco ยังได้ดำเนินโครงการ Country Digital Accelerator (CDA) ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับภาครัฐในโครงการระดับประเทศต่าง ๆ อาทิ Connected Healthcare สนับสนุนระบบสาธารณสุขทางไกลในช่วงการระบาดของโควิด-19, 5G Enterprise ร่วมผลักดันการนำเทคโนโลยี 5G มาใช้ในภาคธุรกิจ, Smart City วางรากฐานและติดตั้งเซ็นเซอร์ในโครงการเมืองอัจฉริยะยุคแรก ๆ และ Cyber Security ทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐเพื่อพัฒนาขีดความสามารถด้านความปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศ

วีระ กล่าวทิ้งท้ายว่า การปรับตัวรับ AI ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป องค์กรที่ไม่ใช้ AI จะสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน สิ่งสำคัญคือวัฒนธรรมองค์กรที่ต้องเปิดรับและนำโดยผู้บริหาร (Top-down) ควบคู่ไปกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและแพลตฟอร์มที่ถูกต้อง ซึ่ง Cisco พร้อมที่จะเป็นพันธมิตรในการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญนี้ของธุรกิจไทย

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ไทยร่วง 4 อันดับ GII 2025 NIA ชี้ทางรอด ปั้น ‘Health Tech’ สู้ศึกนวัตกรรมโลก

โลกเปลี่ยนเกม ผู้นำธุรกิจกางสูตรทรานส์ฟอร์ม สู้ศึกยุค Co-opetition

×

Share

ผู้เขียน