ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายเชิงโครงสร้าง ที่หยั่งรากลึกและเปราะบาง ทั้งปัญหาความเหลื่อมล้ำสุดขั้ว เศรษฐกิจนอกระบบขนาดมหึมาที่ใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก และความสามารถในการแข่งขันที่ถดถอยลง สวนทางกับโลกที่กำลังมุ่งไปข้างหน้า
ผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เสนอแนวทางพลิกฟื้นภายใต้แนวคิด “Re-invent Thailand” ที่ต้องอาศัยการยกเครื่องใหม่ทั้งระบบ โดยมีข้อมูลเป็นเข็มทิศ และความร่วมมือของทุกภาคส่วนเป็นเครื่องยนต์สำคัญ เพื่อสร้างประเทศไทยที่พร้อมรับมือกับความผันผวน (Resilient Thailand) ได้อย่างแท้จริง
“3 โรคร้าย” ฝังลึกโครงสร้างเศรษฐกิจไทย
ผยง กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยมี 3 ปัญหาหลักที่ฝังรากลึกและฉุดรั้งการเติบโตของประเทศมาอย่างยาวนาน
ปัญหาแรก คือ โครงสร้างที่เปราะบางและความเหลื่อมล้ำสุดขั้ว โครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศมีความเปราะบางอย่างมากและหยั่งรากลึก ปัญหาหนี้ครัวเรือน (Household Debt) ที่พูดถึงกันเป็นเพียงส่วนหนึ่ง (Subset) ของภาพใหญ่เท่านั้น วิกฤติที่แท้จริงคือความไม่สมดุลอย่างรุนแรง เมื่อประชากรเพียง 10% แรกของประเทศถือครองรายได้สูงถึง 52% ของรายได้รวม ขณะที่ในภาคธุรกิจ บริษัทขนาดใหญ่เพียง 1% กลับสร้าง GDP ให้ประเทศได้มากถึง 65%
“กลไกเหล่านี้กำลังบอกถึงขนาดของกล้ามเนื้อ ส่วนสูง น้ำหนัก ซึ่งเป็นโครงสร้างที่เบี้ยวเบน”
ปัญหาต่อมา คือ ประสิทธิภาพการแข่งขันที่ถดถอยลง โมเดลเศรษฐกิจแบบเก่าที่พึ่งพาการส่งออก การเป็นฐานการผลิตรับจ้าง (OEM) ที่ใช้แรงงานเป็นหลัก และการเป็นผู้เรียนรู้เทคโนโลยีตามหลังต่างชาติ กำลังหมดอายุลงอย่างสิ้นเชิง เมื่อต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวและโจทย์ใหญ่ระดับประเทศอย่างสังคมสูงวัย (Aging Society) ความสามารถในการสร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Add) ให้กับตนเอง ครอบครัว บริษัท และประเทศจึงลดน้อยลงอย่างน่าเป็นห่วง
ปัญหาสุดท้าย คือ ประสิทธิภาพภาครัฐที่เต็มไปด้วยความท้าทายความคล่องตัวของกฎระเบียบ (Regulatory Agility) ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ที่สร้างความล่าช้าและเป็นอุปสรรคสำคัญ ความจำเป็นเร่งด่วนที่ภาครัฐต้องจัดลำดับความสำคัญของนโยบายสาธารณะ และเปลี่ยนมาโฟกัสกับการลงมือทำให้สำเร็จ (Get it done) ในกรอบเวลาที่สั้นลง เช่น 1-2 ปี แทนที่จะปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไป
เงา “เศรษฐกิจนอกระบบ” 48% และ“ดิจิทัลพาราด็อกซ์”
แต่ปัญหาที่น่ากังวลที่สุด คือขนาดของเศรษฐกิจนอกระบบ (Informal Economy) ของไทยที่สูงถึง 48% ซึ่งเป็นหนึ่งในอัตราที่สูงที่สุดในโลก ผยงกล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายทั้งหมด เพราะคนขายข้าวแกงริมถนนไม่จำเป็นต้องอยู่ในระบบทางการ แต่ประเด็นคือทำอย่างไรให้เกิด “Formality” ในระดับที่เหมาะสมเพื่อให้คนกลุ่มนี้เข้ามามีส่วนร่วมในระบบ ผลกระทบที่เกิดขึ้นคือ รายได้ 53% อยู่นอกระบบ คนยื่นภาษี 11 ล้านคน แต่เสียจริงเพียง 4 ล้านคน และมี SME จดทะเบียนแค่ 28% แต่ทุกกลุ่มกลับเรียกร้องการสนับสนุนจากภาครัฐ ซึ่งเป็นภาวะที่ย้อนแย้งอย่างยิ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น เศรษฐกิจนอกระบบยังสร้างผลกระทบที่บิดเบือนต่อเศรษฐกิจมหภาค ตัวอย่างประเด็นค่าเงินบาทที่แข็งค่าสวนทางกับความลำบากของภาคการผลิตและบริการ ซึ่งส่วนหนึ่งถูกขับเคลื่อนโดยภาคทองคำ และคริปโทเคอเรนซีที่มีการซื้อขายในปริมาณมหาศาล แต่ไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการจ้างงาน และความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ตัวเลข “Error and Omission” ในรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทยที่สูงขึ้นจนน่าสงสัย ยังบ่งชี้ถึงเม็ดเงินนอกระบบ เงินสีเทา หรืออาจจะเป็นเพียงเงินที่ไหลผ่านประเทศไทยเพื่อส่งออก (Transit Shipment) ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้การตีความสภาวะเศรษฐกิจที่แท้จริงทำได้ยากลำบาก
ขณะเดียวกันประเทศไทยยังเผชิญกับ “ดิจิทัล พาราด็อกซ์” ที่น่าขบคิด แม้ทักษะด้านดิจิทัลของคนไทยจะยังไม่ดีนัก แต่กลับมีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตสูงถึง 91% ซึ่งเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ทว่าการนำเทคโนโลยีอย่าง ChatGPT มาใช้ให้เกิดประโยชน์กลับมีเพียง 6%
“เรามีโครงสร้างพื้นฐษน แต่เรามาต่อยอดไม่ได้ ซึ่งสะท้อนถึงช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างโครงสร้างพื้นฐานที่มีกับการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ”
ทางออก: “Re-invent Thailand” โมเดล 3 ประสาน
ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ ผยงเสนอว่า ทางรอดเดียวคือการ “Re-invent Thailand” ซึ่งมีหัวใจสำคัญคือ ทุกภาคส่วนต้องรับผิดชอบในส่วนของตนเอง (Shared Ownership & Commitment) ไม่สามารถเรียกร้องการสนับสนุนเพียงฝ่ายเดียวได้อีกต่อไป โดยต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของ 3 ภาคส่วนหลัก และขับเคลื่อนผ่านหน่วยงานเทคโนแครต (Technocrat Agency) เพื่อให้หลักคิดและกรอบการทำงานนี้สามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่ารัฐบาลจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
ภาคเอกชน ต้องเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้รอรับการสนับสนุน มาเป็นผู้มีส่วนร่วมในการลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ (Conglomerate) ที่ครองสัดส่วน GDP 65% ต้องเข้ามาเป็นแกนหลักในการสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ SME ในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของตนเองตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการจ้างงาน สร้างรายได้ภาคครัวเรือน และทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีส่วนร่วม
ภาครัฐ ต้องทำงานเชิงรุกและมีประสิทธิภาพ โดยใช้เครื่องมือสำคัญอย่าง การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเพื่อสนับสนุนนโยบาย “Made in Thailand” อย่างเต็มรูปแบบ ต้องมีมาตรการให้แต้มต่อกับผู้ประกอบการในประเทศอย่างชัดเจน และป้องกันไม่ให้บริษัทขนาดใหญ่เข้ามาแข่งขันกับรายเล็กในส่วนนี้ นอกจากนี้ ภาครัฐต้องมองตัวเองเป็น “Conglomerate ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ” และเริ่มต้นปฏิรูป Supply Chain ของตนเองก่อน
ภาคการเงิน ต้องเปลี่ยนจากการใช้นโยบายแบบกว้าง ๆ เช่น การเรียกร้องให้ลดดอกเบี้ยทั้งระบบซึ่งอาจไม่ได้ผลอย่างที่คาดหวัง มาเป็นการสนับสนุนสินเชื่อแบบมุ่งเป้า (Targeted) ด้วยเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะสม เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) หรือการค้ำประกันสินเชื่อ (Credit Guarantee) ให้กับอุตสาหกรรมที่ถูกคัดเลือกแล้วว่ามีศักยภาพสูงในการสร้างการจ้างงานและมีห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งในประเทศ
กุญแจสำคัญ: ข้อมูลต้องเชื่อมถึงกันและ AI คือเครื่องมือ
หัวใจสำคัญของการ “Re-invent” ครั้งนี้ คือการจัดการข้อมูล (Data) ที่ปัจจุบันกระจัดกระจายจนไม่สามารถนำมาวัดผลกระทบเชิงนโยบายที่สำคัญได้ เช่น ผลต่อการจ้างงาน คุณผยงเสนอว่าแทนที่จะพยายามสร้างระบบรวมศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ที่ซับซ้อนและใช้งบประมาณมหาศาล ซึ่งมักติดขัดจากกฎหมายและการแข่งขันแย่งชิงทรัพยากรระหว่างหน่วยงาน ควรเปลี่ยนมาทำถนนเชื่อมข้อมูล
แนวทางนี้คือการสร้างกลไกทางเทคโนโลยีเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลที่มีอยู่แล้วในแต่ละหน่วยงานเข้าด้วยกัน แล้วใช้ Machine Learning และ AI มาตั้งโจทย์และวิเคราะห์เพื่อตอบโจทย์สำคัญของประเทศ
การนำปัญญาประดิษฐ์เข้ามา Overlay บนข้อมูลที่เชื่อมถึงกันนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของโมเดลธุรกิจทั้งแบบ B2B, B2C และ G2C ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการยกระดับตัวเลขการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีของไทยจาก 6% ให้สูงขึ้นเป็น 20-30% เพื่อให้สมกับศักยภาพของโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตที่ครอบคลุมถึง 91% ของประเทศ
นอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการใช้ข้อมูลที่เชื่อมโยงกันนี้ สร้างเวทีสาธารณะ (Public Sphere) ที่มีความสมดุล เพื่อให้ภาควิชาการและภาคส่วนต่าง ๆ สามารถนำข้อมูลจริงมาท้าทายข่าวปลอม (Fake News) ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ประเทศไทยไม่อาจเดินบนเส้นทางเดิมได้อีกต่อไป การจะสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและพร้อมรับมือกับทุกวิกฤติได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยความกล้าหาญที่จะยอมรับความจริง จัดลำดับความสำคัญของปัญหา และลงมือ “สร้าง” ประเทศขึ้นมาใหม่ด้วยความรับผิดชอบร่วมกันของทุกภาคส่วนอย่างเร่งด่วนที่สุด
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ไมโครซอฟท์ เปิดยุทธศาสตร์ ‘Frontier Firm’ ปั้น 1 แสน AI Developer พลิกโฉมประเทศไทย
รศ.ดร.กาญจนา แก้วเทพ ชี้ ‘Knowledge Shift’ นิเทศศาสตร์ยุคใหม่ ต้องเชื่อมโยงบูรณาการ




