ในยุคที่ AI ไม่ใช่เพียง buzzword แต่ได้กลายเป็นเครื่องมือที่แทรกซึมเข้าสู่ทุกอณูของการทำงาน คำถามสำคัญสำหรับผู้นำองค์กรและนักการตลาดไม่ได้หยุดอยู่แค่ว่า “เราจะใช้ AI ทำอะไรได้บ้าง” แต่ได้ขยับไปสู่คำถามที่ท้าทายกว่านั้นคือ “เราจะบริหารทีมและปรับโครงสร้างองค์กรอย่างไรในวันที่ AI กลายเป็นเพื่อนร่วมงานคนสำคัญ”
ประเด็นนี้ถูกนำมาขยายความอย่างน่าสนใจ โดยสองผู้บริหารจากสององค์กรธุรกิจ สุธีรพันธุ์ สักรวัตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานการตลาด จาก SCBX และ ภคมน ตุลยาพิศิษฐ์ชัย ผู้ขับเคลื่อน heygoody แพลตฟอร์มโบรกเกอร์ประกันออนไลน์ ที่ได้ร่วมกันให้ภาพอนาคตของการทำงานที่มาตรวัดความสำเร็จอาจไม่ใช่จำนวน ‘ลูกน้อง’ ที่คุณมี แต่เป็นจำนวน ‘AI Agent’ ที่คุณบริหารจัดการ
Agentic AI: เมื่อ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือแต่คือทีมงานอัตโนมัติ
สุธีรพันธุ์ได้เปิดมุมมองในฐานะองค์กรเทคโนโลยีทางการเงินขนาดใหญ่อย่าง SCBX ที่มีพนักงานกว่าสามหมื่นคน ว่าอนาคตของการทำงานกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคของ Agentic AI หรือ AI ที่ทำงานในฐานะ ‘เอเจนต์’ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
–กลยุทธ์การตลาด 2025: พิชิต Attention Warfare ในยุคที่คอนเทนต์ล้นโลก
เขาสาธิตให้เห็นภาพผ่านเครื่องมือที่ทีมงานพัฒนาขึ้นบนแพลตฟอร์ม make.com ซึ่งสามารถสร้างสรรค์คอนเทนต์คุณภาพสูงได้ในเวลาเพียง 4 นาที เพียงแค่ป้อนคำสั่งสั้น ๆ ระบบที่ประกอบด้วย AI Agent หลายตัวจะทำงานร่วมกันเป็นกระบวนการ ตั้งแต่การค้นคว้าข้อมูลโดย Gemini การวางโครงสร้างบทความ ไปจนถึงการเขียนเนื้อหาโดย ‘นักเขียน AI’ ที่ถูกฝึกฝนให้มีสำนวนแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นสไตล์ลงทุนแมน SCB EIC, Gen Z, หรือแม้กระทั่งไทยรัฐ
จากนั้นจะมีเอเจนต์ ‘ผู้ประเมิน’ เข้ามาให้คะแนน หากคุณภาพต่ำกว่า 8 คะแนน เอเจนต์ ‘ผู้เขียนใหม่’ จะเข้ามาแก้ไข ก่อนส่งต่อให้ ‘ผู้เชี่ยวชาญ SEO’ ปรับแก้ และปิดท้ายด้วย ‘บรรณาธิการ’ เพื่อให้ได้บทความที่สมบูรณ์ที่สุด
กระบวนการนี้ยังรวมถึงเอเจนต์ที่ช่วยเขียนแคปชั่นสำหรับโซเชียลมีเดียแต่ละแพลตฟอร์ม และสร้างพร้อมท์ (Prompt) สำหรับการเจนภาพใน Midjourney อีกด้วย อย่างไรก็ตาม สุธีรพันธุ์ย้ำอย่างตรงไปตรงมาว่า “คุณภาพต้องบอกว่า 50% ดีนะครับ อีกที่เหลือ 50% มนุษย์ต้องไปเขียนต่อ” ซึ่งสะท้อนว่านี่คือเครื่องมือทรงพลังในการทุ่นแรง แต่ยังไม่สามารถทดแทนการขัดเกลาจากมนุษย์ได้ทั้งหมด
นี่คือภาพที่ชัดเจนว่า ในอนาคตอันใกล้ การบริหารจัดการทีมจะไม่ได้วัดกันที่จำนวนบุคลากร แต่วัดกันที่ประสิทธิภาพของ AI Agent ที่องค์กรมีอยู่ในมือ สุธีรพันธุ์ชี้ว่าบริษัทที่ปรึกษาระดับโลกอย่าง McKinsey ซึ่งไม่ได้มีโอเปอเรชันซับซ้อน ยังมี AI Agent ถึง 15,000 ตัวที่ทำงานร่วมกัน นี่คือสัญญาณว่าองค์กรที่ปรับตัวได้เร็ว จะสามารถสร้างข้อได้เปรียบมหาศาลจากการมีทีมงานดิจิทัลที่ไม่เคยเหนื่อยและทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง
Empowerment และ AI Literacy: สร้างคนให้พร้อมรบในสมรภูมิ AI
ในขณะที่ SCBX มองภาพใหญ่ในระดับโครงสร้างองค์กร ภคมนจากเงินติดล้อ ได้แบ่งปันมุมมองการสร้างทีมจากระดับปฏิบัติการที่เน้นการแก้ปัญหาจริง (Pain Point) ทั้งของลูกค้าและพนักงานเป็นที่ตั้ง ที่ heygoody และเงินติดล้อ การนำ AI มาใช้ไม่ได้เริ่มต้นจากโจทย์ที่ซับซ้อน แต่เริ่มจากการให้อิสระและอำนาจ (Authority) แก่ทีมงานในการเข้าถึงเครื่องมือต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Claude Premium, Canva หรือ Lovable สำหรับสร้าง Prototype ของ UI/UX เพื่อแก้ปัญหาที่พวกเขาเผชิญในแต่ละวัน โดยไม่ถูกจำกัดด้วยกำแพงด้านความปลอดภัยหรือขั้นตอนที่ยุ่งยาก
ภคมนเปรียบ AI เหมือน “ชุด Iron Man” ที่ผู้นำมีหน้าที่จัดหาและอัปเกรดให้ทีมงานสวมใส่ เพื่อให้พวกเขามีศักยภาพสูงขึ้น สามารถทำงานได้ดีขึ้นและเร็วขึ้น ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะนำไปสู่สถานการณ์ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ (Win-Win) คือองค์กรได้งานคุณภาพดีและรวดเร็ว ส่วนพนักงานก็สามารถมีสมดุลชีวิตการทำงานที่ดีขึ้น เพราะเมื่อลดเวลาจากงานรูทีนได้ พวกเขาก็จะมีเวลาไปทำงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และสร้างคุณค่าได้มากขึ้น
หนึ่งในโครงการที่สะท้อนแนวคิดนี้ได้ดีที่สุดคือ AI Hackathon ของเงินติดล้อ ซึ่งไม่ใช่แค่การแข่งขัน แต่เป็นโครงการที่จริงจัง โดยมีผู้บริหารระดับสูงสุด 15 คนลงมาเป็นสปอนเซอร์ให้กับ 15 ทีมสุดท้าย และรับผิดชอบในการนำไอเดียที่ชนะไปต่อยอดให้เกิดขึ้นจริง หนึ่งในผลลัพธ์ที่น่าทึ่งคือการสร้างกระบวนการซื้อประกันผ่าน LINE ที่ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมทุกอย่างจนได้รับกรมธรรม์สำเร็จภายใน 2 นาที โดยไม่ต้องกรอกข้อมูลใด ๆ ให้ยุ่งยาก
สิ่งที่น่าสนใจคือ เงินติดล้อได้ยกระดับการพัฒนาบุคลากรไปอีกขั้น ด้วยการวัดระดับความรู้ความเข้าใจด้าน AI (AI Literacy) ของพนักงานทุกคน พร้อมทั้งวางโรดแมปที่ชัดเจนในการพัฒนาทักษะตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปจนถึงระดับ 5 ที่สามารถเขียนโค้ดได้เอง นอกจากนี้ ทีมการตลาดของเธอได้ปรับโครงสร้างเป็น “AI Creative” ซึ่งหมายความว่าพนักงานทุกคนต้องใช้ AI ในการทำงาน และผู้สมัครใหม่จะต้องมีประสบการณ์ด้าน AI มาก่อน
จาก Hype สู่ Impact: คัดกรองโปรเจกต์ AI ให้เกิดผลลัพธ์ทางธุรกิจ
สุธีรพันธุ์ยอมรับว่าหลายองค์กร รวมถึง SCBX เอง กำลังเผชิญกับความท้าทายในการขยายผล (Scale) การใช้ AI จากโปรเจกต์นำร่องเล็ก ๆ ที่ผุดขึ้นมากมายเหมือนดอกไม้ (Flower Blooms) แต่ยังไม่สามารถสร้างผลกระทบทางธุรกิจที่ชัดเจนได้ เขานำเสนอแนวทางการแก้ปัญหาด้วยการให้แต่ละทีมประเมิน Use Case ของ AI ใน 2 แกนหลัก คือ ผลกระทบทางธุรกิจ (Business Impact) เช่น การเพิ่มยอดขาย การลดต้นทุน การป้องกันการทุจริต หรือการเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า และ ความเป็นไปได้ทางเทคนิค (Technical Feasibility) เช่น ความพร้อมของเทคโนโลยี ข้อจำกัดด้านกฎระเบียบ หรือการที่ต้องสร้างขึ้นมาเองเทียบกับการซื้อโซลูชันสำเร็จรูป
เมทริกซ์นี้จะช่วยให้องค์กรสามารถจัดลำดับความสำคัญของโปรเจกต์ได้อย่างเป็นระบบ โดยมุ่งเน้นไปที่โปรเจกต์ที่ทำได้จริงและสร้างผลกระทบสูงก่อน เพื่อให้การลงทุนด้าน AI ไม่สูญเปล่า และสามารถสร้างผลตอบแทนที่จับต้องได้ ซึ่งเป็นแนวทางที่ SCBX ใช้ควบคู่ไปกับการจัดกิจกรรมภายในอย่าง AI Showcase ที่ให้พนักงานมานำเสนอผลงาน และ AI Battleเพื่อเฟ้นหาโปรเจกต์ที่ดีที่สุดไปต่อยอดในระดับองค์กร
อนาคตขององค์กรและการวัดผล: เมื่อมนุษย์คือ‘เจ้านาย’ ของ AI
ทั้งสองผู้บริหารเห็นตรงกันว่า แม้ AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญ แต่มนุษย์ยังคงเป็นศูนย์กลางของการทำงานอยู่เสมอ เมื่อถูกถามว่าจะประเมินผลงานของพนักงานอย่างไร ภคมนชี้ว่าจะไม่ได้มองแค่ผลงานที่ออกมา แต่จะมองไปที่ความเป็นการทำงานอย่างชาญฉลาด (Smart Work) ความสามารถในการตัดสินใจ (Judgment) การเรียนรู้จากความผิดพลาด และความเข้าใจในบริบททางธุรกิจ เพราะ AI อาจสร้างผลงานได้ แต่ผู้ที่สามารถคัดเลือก ปรับแก้ และนำผลงานนั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้ก็คือมนุษย์
สุธีรพันธุ์กล่าวเสริมว่า ท้ายที่สุดแล้ว AI ยังคงต้องการมนุษย์ที่มีความเชี่ยวชาญในโดเมนนั้น ๆ (Domain Expertise) มาเป็นผู้สั่งการและคัดกรองผลลัพธ์ เขายกตัวอย่างว่า “คุณจะให้คนเก่งมาร์เก็ตติ้งไปเขียนแผนธุรกิจทันตกรรมก็คงทำไม่ได้” เพราะขาดความรู้ความเข้าใจในแก่นของธุรกิจนั้น ๆ เขายังมองไปถึงโครงสร้างองค์กรในอนาคตที่จะมีเลเยอร์ใหม่ ๆ เกิดขึ้น เช่น Agent Layer ที่เป็นศูนย์รวมของ AI Agent และ Platform Layer ที่เป็นรากฐานทางเทคโนโลยี ซึ่งจะทำงานประสานกับเลเยอร์เดิมอย่าง Engagement, Data และ Core Tech
การสนทนาครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องราวของการถูกแทนที่โดยเทคโนโลยี แต่มันคือการยกระดับศักยภาพของมนุษย์ สุธีรพันธุ์ กล่าวทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจว่า “ใครบอก AI มาแย่งงานคุณ ผมว่า forget it, not me” เขามองว่านี่คือโอกาสที่คนอาจจะออกจากงานเดิมเพื่อไปสร้างนวัตกรรมหรือธุรกิจใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ความท้าทายของผู้นำในวันนี้ จึงไม่ใช่การต่อต้านการเปลี่ยนแปลง แต่คือการเรียนรู้ที่จะเป็น “เจ้านาย” ของ AI และนำพาทีมงานไปสู่การทำงานในรูปแบบใหม่ที่ชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าเดิม
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
พ้นกับดัก ‘ผู้บริโภค AI’ สร้างชาติด้วยเทคโนโลยี
ไมโครซอฟท์ เปิดยุทธศาสตร์ ‘Frontier Firm’ ปั้น 1 แสน AI Developer พลิกโฉมประเทศไทย




