ท่ามกลางสมรภูมิธุรกิจโรงพยาบาลที่ทวีความรุนแรง และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง โรงพยาบาลพญาไท พหลโยธิน ได้ประกาศการปรับทิศทางเชิงยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญที่สุดในรอบหลายสิบปี โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการก้าวข้ามบทบาท “โรงพยาบาลสำหรับคนป่วย” สู่การเป็น “Flagship Healthcare Hub” หรือศูนย์กลางด้านสุขภาพแบบองค์รวม ด้วยการชูโมเดลธุรกิจใหม่ที่เรียกว่า “Value Personalized Care” เพื่อเจาะตลาด “Premium Mass” และกลุ่มคนยุคใหม่ (New Age) ที่มองหาการดูแลสุขภาพเชิงรุกในราคาที่สมเหตุสมผล
วิสัยทัศน์นี้ เกิดจากการวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งต่อปัจจัยท้าทายรอบด้าน ทั้งสภาวะเศรษฐกิจที่บีบให้ผู้บริโภคมองหาความคุ้มค่า การแข่งขันที่ดุเดือดซึ่งทำให้ต้องสร้างความแตกต่าง และที่สำคัญที่สุดคือ เทรนด์การดูแลสุขภาพที่เปลี่ยนจาก “การตั้งรับเพื่อรักษา” เป็น “การเดินหน้ารุกเพื่อป้องกัน” ยุทธศาสตร์ใหม่นี้จึงเปรียบเสมือนการเดิมพันครั้งใหญ่ที่จะกำหนดอนาคตของพญาไท พหลโยธิน ในทศวรรษต่อไป
แก่นกลยุทธ์ “Value Personalized Care”: สร้างสมดุลระหว่างคุณภาพพรีเมียมและราคาที่เข้าถึงได้
หัวใจของยุทธศาสตร์ใหม่นี้ คือการรื้อสร้างนิยามของคำว่า “คุณภาพ” และ “ราคา” ในธุรกิจโรงพยาบาล โมเดล “Value Personalized Care” ถูกออกแบบมาเพื่อทำลายกำแพงความคิดที่ว่าบริการทางการแพทย์ระดับพรีเมียมต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงลิ่วเสมอไป
ปาณิพันธ์ ตันตยาภรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการและบริหารธุรกิจ โรงพยาบาลพญาไท พหลโยธิน อธิบายว่า แกนของ “Value” คือการมอบมาตรฐานการรักษาคุณภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้จริง “เราเปรียบเทียบง่าย ๆ เหมือนการซื้อตั๋วเครื่องบิน ทุกคนได้มาตรฐานความปลอดภัยเท่ากัน แต่ใครต้องการบริการเสริมก็สามารถเลือกจ่ายเพิ่มได้ เช่นเดียวกับการรักษา คนไข้ผ่าตัดเปลี่ยนเข่าที่ต้องการแค่กลับมาเดินใช้ชีวิตปกติได้ ก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายเท่ากับคนที่ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องกลับไปปีนเขาให้ได้ เราทำให้เกิดความแฟร์กับผู้ป่วยทุกคน”
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ โครงการผ่าตัดตามสิทธิ์ข้าราชการ (DRG) ที่ช่วยให้ข้าราชการได้รับการผ่าตัดที่มีความซับซ้อนในราคาที่เหมาะสม ซึ่งเป็นการเพิ่มทางเลือกด้านการรักษา อีกทั้งเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของโรงพยาบาลรัฐและลดระยะเวลาการรอคิว
“เราเชื่อว่าการจ่ายเพิ่มอีกนิดหน่อยเพื่อแลกกับเวลาชีวิตที่ได้คืนมา มันคุ้มค่ากว่ามาก” ปาณิพันธ์ กล่าว
ขณะที่แกนของ “Personalized Care” คือการเปลี่ยนจากการรักษาแบบเหมารวม (One-size-fits-all) ไปสู่การออกแบบการดูแลที่อิงตามเป้าหมายและไลฟ์สไตล์ของผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งสะท้อนผ่านการออกแบบ Patient Journey (เส้นทางของผู้ป่วย)ใหม่ทั้งหมด ที่ลงลึกในทุกจุดสัมผัส (Touchpoint) ตั้งแต่เก้าอี้ที่คนไข้นั่ง แสงไฟในห้องพัก ไปจนถึงบรรยากาศที่ส่งเสริมการฟื้นตัวอย่างแท้จริง
จาก ‘โรงพยาบาล’ สู่ ‘โค้ชสุขภาพ’: เปลี่ยนเป้าหมายสู่การดูแล 90% ของชีวิตที่ไม่ได้ป่วย
เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุด คือการเปลี่ยนบทบาทขององค์กรให้เป็นมากกว่าสถานที่สำหรับคนป่วย นพ.ธนารักษ์ สถาพรวรศักดิ์ อำนวยการฝ่ายการแพทย์ รพ.พญาไท 1 รพ.พญาไท 2 และ รพ.พญาไท พหลโยธิน ชี้ว่า เป้าหมายคือการเป็นโค้ชสุขภาพ (Health Coach) ที่จะเข้ามาดูแลผู้คนใน 90% ของช่วงชีวิตที่เขาไม่ได้ป่วย
“เราไม่ได้ทิ้งการรักษา (Curative) ซึ่งเป็นพื้นฐานที่แข็งแกร่งของเรา แต่เรากำลังจะก้าวไปสู่การดูแลเชิงป้องกัน (Preventive) และสุขภาวะองค์รวม (Wellness) อย่างเต็มตัว” นพ.ธนารักษ์กล่าว
“ไม่มีใครอยากเป็นเบาหวานหรือความดัน เราจึงอยากช่วยให้ทุกคนไปถึงจุดนั้นช้าลง หรือไม่ไปถึงเลย ด้วยการกลับไปสู่พื้นฐาน หรือ Back to Basic นั่นคือ กินดี อยู่ดี นอนหลับดี ไม่เครียด โดยมีโรงพยาบาลเป็นผู้สนับสนุนด้วยเทคโนโลยีและองค์ความรู้ที่ทันสมัย”
แนวคิดนี้ถูกทำให้เป็นจริงผ่านบริการที่เน้นการป้องกัน เช่น โปรแกรม “All You Can Check” ที่ พญ.ถนอมศิริ สติฐิต ผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพหญิง โรงพยาบาลพญาไท พหลโยธิน กล่าวว่า เป็นการตอบโจทย์คนยุคใหม่ที่ต้องการดูแลสุขภาพเชิงรุก “หากเราตรวจเจอความผิดปกติเล็กน้อย โปรแกรมนี้จะเปิดโอกาสให้คนไข้กลับมาตรวจติดตามผลได้อีกภายในปีเดียวกันหลังจากปรับพฤติกรรมแล้ว โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม”
“การป้องกันดีกว่าการแก้ไขเสมอ การตรวจพบความผิดปกติในระยะก่อนที่จะกลายเป็นมะเร็ง มีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่ามาก เทียบกับการรักษามะเร็งในระยะลุกลามที่ค่าใช้จ่ายอาจสูงเป็นหลักล้านและไม่รับประกันว่าจะหายขาด สุดท้ายแล้ว สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง”
รากฐานที่แข็งแกร่ง: ทีมแพทย์นวัตกรรมและทำเลที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์
การจะบรรลุเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ได้นั้น จำเป็นต้องมีรากฐานที่แข็งแกร่งรองรับ โรงพยาบาลพญาไท พหลโยธิน มีความพร้อมทั้งในด้านบุคลากร นวัตกรรม และทำเลที่ตั้ง
ความเป็นเลิศทางการแพทย์ (Clinical Excellence) สะท้อนผ่าน ศูนย์ศัลยกรรมผ่านกล้อง (MIS) ซึ่งเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญที่มอบการรักษาแบบ “เจ็บน้อย ฟื้นไว และลดการเกิดแผลเป็น” ด้วยเทคนิคที่ล้ำสมัยอย่าง การผ่าตัดไทรอยด์แบบไร้แผลผ่านทางช่องปาก นอกจากนี้ โรงพยาบาลยังมีจุดแข็งในศูนย์ศัลยกรรมขากรรไกรและปรับโครงหน้า (Maxillofacial Surgery) ที่มีทีมแพทย์ระดับแนวหน้าของประเทศ
ในเชิงยุทธศาสตร์ ทำเลที่ตั้งของโรงพยาบาลใน ย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี (Yothi Medical Innovation District) ซึ่งรายล้อมด้วยสถาบันการแพทย์กว่า 30 แห่ง และใกล้กับย่านนวัตกรรมอารีย์ (Ari Innovation District) ทำให้ได้เปรียบในการสร้างความร่วมมือและพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์
การเดินทางสู่อนาคตของโรงพยาบาลจะขับเคลื่อนผ่าน 4 แกนหลักที่ชัดเจน ได้แก่ Facility Upgrade ปรับปรุงอาคารและโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง Advanced Medical Technology ลงทุนในเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ล้ำสมัย Specialized Excellence ยกระดับศูนย์ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และ Wellness & Preventive Care พัฒนาบริการดูแลเชิงป้องกันสำหรับบุคคลและองค์กรกว่า 1,900 แห่งที่เป็นพันธมิตร
การพลิกโฉมครั้งนี้ จึงเป็นการประกาศจุดยืนที่ชัดเจนของพญาไท พหลโยธิน ในการเป็นโรงพยาบาลสำหรับอนาคต ที่พร้อมจะเป็นพันธมิตรด้านสุขภาพที่เข้าใจและเข้าถึงได้สำหรับคนยุคใหม่ที่มองหาชีวิตที่ดีและยั่งยืน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
True Visions เปิดตัว ‘The Race to Space’ เฟ้นคนไทยคนแรกบินกับ Blue Origin
‘มนุษย์ต่างวัย’: เมื่อ Digital Storytelling ทลายกำแพงวัยสร้างสังคมแห่งความเข้าใจ




