ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมักถูกมองว่าเป็นเรื่องใหญ่และไกลตัว เป็นวาระของบริษัทขนาดใหญ่หรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง แต่ Bangkok Climate Action Week กำลังจะทลายภาพจำเดิม ๆ นั้นลง ด้วยแนวคิดที่ต้องการ “ซอยเป้าหมายใหญ่ให้เล็กลง” และดึงให้ปัญหาโลกร้อนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของทุกคน ผ่านมุมมองและพลังขับเคลื่อนของ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และ ลีโอ ฮอร์น-พัธโนทัย ผู้อำนวยการจัดงาน ที่เชื่อมั่นในพลังของคนตัวเล็กตัวน้อยซึ่งลุกขึ้นมาลงมือทำด้วยตัวเอง
นี่ไม่ใช่แค่งานสัมมนา แต่คือการจุดประกายการเคลื่อนไหวทางสังคม ที่เปลี่ยนบทบาทของประชาชนจาก “ผู้ฟัง” มาเป็น “ผู้สร้าง” การเปลี่ยนแปลง ด้วยกิจกรรมกว่า 230 งานที่เกิดขึ้นจากความคิดริเริ่มของชุมชนเอง
ทลายกำแพงความไม่ไว้ใจ: เมื่อ “Action” คือคำตอบ
หนึ่งในโจทย์ที่ท้าทายที่สุดของการขับเคลื่อนประเด็นสิ่งแวดล้อมในระดับเมือง คือ กำแพงของความไม่ไว้วางใจ ระหว่างภาครัฐและประชาชน ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวว่า ที่ผ่านมาประชาชนมักตั้งคำถามกับนโยบายต่าง ๆ เช่น “แยกขยะไปทำไม เดี๋ยวรถขยะก็เอาไปรวมกันอยู่ดี” ความรู้สึกไม่เชื่อใจนี้เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การมีส่วนร่วมไม่เกิดผลอย่างที่ควร
Bangkok Climate Action Week จึงถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจขึ้นมาใหม่ ผ่านการลงมือทำร่วมกันซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของงาน ดังเช่นความสำเร็จของโครงการปลูกต้นไม้ล้านต้นที่เริ่มต้นจากเสียงวิจารณ์ แต่เมื่อเกิดการลงมือทำอย่างจริงจังและต่อเนื่องจนปลูกไปแล้วกว่า 2.2 ล้านต้น ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าพลังของความร่วมมือนั้นมีอยู่จริง และสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้
“ที่ผ่านมาเรามีสโลแกนเยอะ แต่ขาด Action Plan หัวใจสำคัญของงานนี้คือคำว่า Action ที่ทุกคนมีส่วนร่วมได้ มันคือการ Empower คน และสร้าง Solution ที่มาจากคน เพื่อให้คนนำไปปรับใช้ได้จริง” ” ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าว “
เปลี่ยนวิธีคิด: ไม่ใช่แค่ “แก้ปัญหา” แต่คือ “สร้างอนาคต“
ด้าลีโอ ฮอร์น-พัธโนทัย กล่าว่า วัตถุประสงค์หลัก 4 ประการที่มากกกว่าแค่การจัดอีเวนต์ แต่มุ่งเป้าไปที่การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ทางสังคมครั้งใหญ่ คือ 1. ปลุกพลังคนที่ยังลังเล (Activate) สำหรับคนส่วนใหญ่ที่ห่วงใยปัญหาสิ่งแวดล้อมแต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร งานนี้จะเป็นพื้นที่ให้พวกเขาได้เห็นภาพใหญ่และค้นพบว่าตัวเองสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงได้ 2. เชื่อมต่อคนที่ลงมือทำ (Collaborate) สร้างพื้นที่กลางให้กลุ่มคนที่ทำงานด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งกระจัดกระจายอยู่ได้มาพบปะ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และสร้างเครือข่ายความร่วมมือให้แข็งแกร่งขึ้น 3. แสดงศักยภาพของท้องถิ่น (Demonstrate) พิสูจน์ให้เห็นว่าประเทศไทยมีภูมิปัญญาและนวัตกรรมท้องถิ่น (Local Solutions) ที่สามารถนำมาใช้แก้ปัญหาได้ โดยไม่ต้องรอความช่วยเหลือจากต่างประเทศ และ 4. ปรับเปลี่ยนมุมมอง (Shift the Narrative) นี่คือเป้าหมายที่สำคัญที่สุด คือการเปลี่ยนมุมมองของผู้คนจากที่เคยมองว่าปัญหาโลกร้อนเป็นเรื่องซับซ้อนและเป็นภาระของภาครัฐหรือผู้เชี่ยวชาญ ให้กลายเป็น “คำเชิญชวนให้ทุกคนมาร่วมกันออกแบบชีวิตที่ดี (Good Life) และสร้างอนาคตที่ยั่งยืนร่วมกัน” มันจึงไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาที่คนอื่นสร้าง แต่เป็นการสร้างสรรค์สังคมใหม่ที่ทุกคนเป็นเจ้าของ
พลังจากฐานราก: 230+ กิจกรรมที่สังคมเป็นผู้จัดเอง
ความพิเศษของการรวมตัวครั้งนี้คือรูปแบบที่เรียกว่า Decentralized หรือการกระจายศูนย์กลางอำนาจ โดยผู้จัดทำหน้าที่เพียงเปิดพื้นที่ แต่กิจกรรมกว่า 230 งานนั้นล้วนมาจากความคิดสร้างสรรค์ของภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคม ตั้งแต่โรงเรียน ชุมชน ศิลปิน ไปจนถึงองค์กรขนาดเล็กที่ลุกขึ้นมาจัดกิจกรรมของตัวเอง
“พระเอกของงานนี้คือ People Power เราแค่เปิดพื้นที่ แต่นี่คือคำตอบจากสังคมที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขามีความต้องการและพร้อมจะลงมือทำ”
กิจกรรมมีความหลากหลายครอบคลุมทุกความสนใจ สามารถค้นหาและเลือกเข้าร่วมได้ผ่านเว็บไซต์ของงาน โดยแบ่งตามประเภทกิจกรรม เช่น
- ศิลปะและวัฒนธรรม: นิทรรศการศิลปะที่หอศิลป์กรุงเทพฯ, การฉายภาพยนตร์ด้านสิ่งแวดล้อม, และกิจกรรมในบ้านศิลปินต่าง ๆ
- กิจกรรมกลางแจ้ง: การปั่นจักรยาน, พายเรือในคลอง, วิ่ง, และกิจกรรมเก็บขยะ
- เวทีเสวนาและเวิร์กชอป: การเรียนรู้วิธีสอนเด็กให้รักโลก, เวิร์กชอปการรับมือภัยพิบัติผ่านเกม, และเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ด้าน Nature-based Solutions
- ชุมชนและศาสนสถาน: ชุมชนคลองเตยจัดกิจกรรมจัดการสิ่งแวดล้อม และหลายวัดในกรุงเทพฯ ที่ได้ปรับเปลี่ยนบทบาทเป็นศูนย์กลางการรีไซเคิลของชุมชน โดยเรียนรู้และปรับใช้ต้นแบบจากต่างประเทศ
โดยจะมีเวทีกลาง (Main Stage) อยู่ที่สวนเบญจกิติ ซึ่งจะเป็นจุดนัดพบในทุกวันช่วงเย็น ตั้งแต่เวลา 17:00 – 20:00 น. เพื่อสรุปภาพรวมกิจกรรมในแต่ละวัน พร้อมการแสดงดนตรีและศิลปะในบรรยากาศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
การรวมตัวครั้งนี้จึงเป็นมากกว่ากิจกรรมประจำปี แต่คือการ “สร้างกล้ามเนื้อให้สังคม” ให้แข็งแรงขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายด้านสภาพภูมิอากาศในระยะยาว และเป็นข้อพิสูจน์ว่าการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เริ่มต้นจากพลังของคนธรรมดาที่เชื่อมั่นในการลงมือทำ
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
พลิกป่าเป็นสินทรัพย์: โอกาสเศรษฐกิจใหม่ของไทยในยุคคาร์บอน
ซีพี แอ็กซ์ตร้า จับมือ กทม.-พันธมิตร ส่งมอบอาหาร 10 ล้านมื้อ ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางทั่วกรุง




