จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อทางตันของปัญหาสิ่งแวดล้อม ถูกทลายลงด้วยสมการใหม่ที่พิสูจน์แล้วว่า ‘การอนุรักษ์’ สามารถสร้างทั้งรายได้ให้ชุมชนและผลกำไรให้ธุรกิจได้จริง บทความนี้จะเจาะลึก 4 แนวทางที่กำลังเป็นพิมพ์เขียวสำคัญของประเทศไทย จากเวทีเสวนา “กุญแจสู่การอยู่รอดของคนและธรรมชาติ” ได้แก่ กลไกการเงินที่สร้างรายได้ให้ธรรมชาติโดยตรง โมเดลธุรกิจที่เปลี่ยน ‘ของเสีย’ ให้เป็น ‘ความมั่งคั่ง’ การตั้งราคาคาร์บอนเครดิตที่ต้องสะท้อนต้นทุนชีวิตของชุมชน และการวางคนในพื้นที่ให้เป็น ‘หัวใจ’ ของการขับเคลื่อนทั้งหมด นี่คือบทสรุปจากการทำงานของ 4 ฟันเฟืองสำคัญ ที่กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าการอนุรักษ์ของไทยจากเรื่อง ‘ต้นทุน’ ให้กลายเป็น ‘การลงทุน’ ที่ยั่งยืน
ภาครัฐ – ปักหมุดป่าไม้สู่เป้าหมาย Net Zero และความท้าทายที่ลึกกว่าแค่ ‘คาร์บอน’
ณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้อำนวยการ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ฉายภาพใหญ่ของประเทศที่กำลังมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero โดยชี้ว่า “ภาคป่าไม้” ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็น “คำตอบสุดท้าย” ที่จำเป็นอย่างยิ่งยวดในการดูดซับก๊าซเรือนกระจกส่วนที่เหลือ หัวใจสำคัญของกลไกนี้คือมาตรฐาน T-VER (โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย) ซึ่งปัจจุบันมีโครงการที่ขึ้นทะเบียนแล้ว 138 โครงการ คิดเป็นปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลดได้ราว 9 แสนตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และมีการรับรองคาร์บอนเครดิตไปแล้วจาก 17 โครงการ รวมเกือบ 5 แสนตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
สิ่งที่น่าสนใจคือบทบาทของ “ป่าชุมชน” ที่ได้กลายเป็นผู้เล่นหลักอย่างแท้จริง โดยคิดเป็นสัดส่วนถึง 30% ของคาร์บอนเครดิตที่ผ่านการรับรองแล้ว และมีพื้นที่ป่าชุมชนเข้าร่วมโครงการกว่า 2 แสนไร่ จากพื้นที่โครงการภาคป่าไม้ทั้งหมดราว 7 แสนไร่ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพมหาศาลของชุมชนในการเป็นกำลังหลักเพื่อดูแลรักษาป่า ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยยังมีความได้เปรียบในภูมิภาคอาเซียนจากการมีมาตรฐาน T-VER เป็นของตนเอง ซึ่ง อบก. กำลังผลักดันให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยเฉพาะการยื่นขอการรับรองจากองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) เพื่อให้สายการบินสามารถนำคาร์บอนเครดิตจาก T-VER ไปใช้ชดเชยได้
อย่างไรก็ตาม ณกรณ์ได้ฝากประเด็นไว้ 2 ข้อ ซึ่งเป็นความท้าทายที่ลึกกว่าแค่ตัวเลขคาร์บอน ประการแรกคือเรื่อง ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) โดยย้ำว่าการปลูกป่าต้องไม่มองแค่ปริมาณคาร์บอน แต่ต้องคำนึงถึงการฟื้นฟูระบบนิเวศซึ่งเป็นรากฐานความมั่นคงของธรรมชาติ และประการที่สองคือ ต้นทุนที่แท้จริงของคาร์บอนเครดิต ซึ่งราคาในปัจจุบันมักสะท้อนแค่ต้นทุนการปลูก โดยอาจละเลย “ต้นทุนในการดูแลรักษาระยะยาว” และ “ต้นทุนค่าเสียโอกาส” ของชุมชนที่ต้องสละพื้นที่ทำกินเพื่อดูแลป่า นี่คือโจทย์ใหญ่ที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันขบคิดเพื่อสร้างความเป็นธรรมและแรงจูงใจที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
องค์กรระหว่างประเทศ – เปิด‘ช่องว่างทางการเงิน’ และชี้ทางสร้างรายได้ให้ธรรมชาติ

นิรันดร์ นิรันดร์นุต Country Project Manager จากโครงการ UNDP Biodiversity Finance Initiative (BIOFIN) กล่าวว่า สิ่งที่ทำให้การอนุรักษ์ธรรมชาติไม่คืบหน้าเท่าที่ควร คือ ช่องว่างทางการเงิน (Financial Gap)
นิรันดร์เล่าว่าเมื่อ 10 ปีก่อน ตอนที่โครงการ BIOFIN เริ่มเข้าไปพูดคุยกับหน่วยงานภาครัฐในไทย เมื่อเอ่ยคำว่า “Biodiversity” หรือความหลากหลายทางชีวภาพ หลายคนยังถามว่า “มันแปลว่าอะไร” ซึ่งแตกต่างจากปัจจุบันที่ทุกคนตระหนักถึงภาวะที่ความหลากหลายทางชีวภาพกำลังถูกคุกคามอย่างหนัก
ปัญหาหลักคือช่องว่างทางการเงินมหาศาล ในระดับโลกมีการประเมินว่ามีความต้องการงบประมาณเพื่อดูแลธรรมชาติสูงถึง 824,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี แต่มีเงินทุนหมุนเวียนอยู่เพียง 143,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อมองมาที่ประเทศไทย สถานการณ์ก็น่าเป็นห่วงไม่แพ้กัน รัฐบาลไทยใช้งบประมาณเพื่อดูแลความหลากหลายทางชีวภาพไม่ถึง 1% ของงบประมาณแผ่นดิน หรือคิดเป็นเพียง 0.1% ของ GDP ตัวเลขนี้สวนทางอย่างยิ่งกับรายได้มหาศาลจากการท่องเที่ยวที่พึ่งพิงความสวยงามของธรรมชาติเป็นหลัก ซึ่งสร้างรายได้ให้ประเทศถึง 18-20% ของ GDP
นิรันดร์นำเสนอโมเดล “เค้กแต่งงาน SDG” ที่แสดงให้เห็นว่ารากฐานของทุกการพัฒนา (เศรษฐกิจและสังคม) คือ “ชีวมณฑล” (Biosphere) หรือความสมบูรณ์ของธรรมชาติ และได้ชี้ทางออกผ่านกลยุทธ์ 3 ด้านที่จับต้องได้ คือ สร้างรายได้ให้ธรรมชาติ (Generate Revenue) ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมคือ เกาะเต่า ที่ UNDP เข้าไปช่วยแก้ไขเทศบัญญัติ ทำให้ท้องถิ่นสามารถเก็บเงินค่าธรรมเนียมจากนักท่องเที่ยว 20 บาทต่อคน เพื่อนำเงินเข้ากองทุนดูแลฟื้นฟูปะการังและจัดการขยะได้โดยตรง นอกจากนี้ ในช่วงวิกฤติโควิด ยังได้ร่วมมือกับฟินเทคสร้างแพลตฟอร์ม Crowdfunding ระดมทุนช่วยจ้างงานคนในพื้นที่ให้ดูแลเกาะจนสำเร็จเกินเป้าหมายถึง 143%
ลดการลงทุนที่สร้างผลเสีย (Reduce Harm) ชี้ให้เห็นถึงนโยบายที่อาจสร้างผลกระทบโดยไม่ตั้งใจ เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่มีช่องว่างให้เกิดการตัดต้นไม้ที่มีค่าทางเศรษฐกิจและพันธุกรรม (เช่น ทุเรียนนนท์) ทิ้ง เพื่อเปลี่ยนที่ดินเป็นเกษตรกรรมทั่วไปที่เสียภาษีถูกกว่า ซึ่งเป็นการแลกความหลากหลายทางชีวภาพกับการประหยัดภาษี และ จัดสรรงบประมาณใหม่และส่งมอบให้ดีขึ้น (Realign Budget & Deliver Better) ผลักดันให้หน่วยงานภาครัฐทำงานสอดประสานกัน เพื่อให้งบประมาณที่มีอยู่จำกัดถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ภาคธุรกิจ – พลิกวิกฤติสู่ความยั่งยืนจาก CSR สู่แก่นของธุรกิจ
ทวิโรจน์ทรงกำพล ประธานเจ้าหน้าที่สายกลยุทธ์องค์กร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เราโชคดีที่เราล้ม เพราะช่วงเวลาของการฟื้นฟูกิจการได้บังคับให้องค์กรต้องกลับมาทบทวนตัวตนอย่างลึกซึ้ง จากการตั้งคำถามถึงสโลแกนเดิม “รักคุณเท่าฟ้า” ว่ายังคงจับต้องได้หรือไม่ นำไปสู่การตั้งเป้าหมายใหม่คือการเป็น “สายการบินแห่งชาติที่คนในชาติภาคภูมิใจ” ซึ่งความภาคภูมิใจนี้ไม่ได้วัดแค่ผลกำไร แต่ครอบคลุมถึงความโปร่งใสและความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม”
การบินไทยได้เปลี่ยนแนวคิดนี้ให้เป็นการปฏิบัติผ่านยุทธศาสตร์ความยั่งยืน 3 ประการ ได้แก่ From Plane to Planet คือการหมุนเวียนทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด และลดผลกระทบต่อโลก ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมคือ ชุดยูนิฟอร์มพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินรุ่นใหม่ที่ผลิตจากเส้นใยของชุดยูนิฟอร์มเก่าผสมกับขวดพลาสติก PET หรือการนำเครื่องยนต์เก่าที่หมดสภาพแล้วมาปรับปรุงโดยทีมช่างของการบินไทยเอง แล้วขายเป็นเครื่องยนต์ที่ใช้งานได้ให้สายการบินอื่น แทนที่จะขายเป็นเศษเหล็ก ซึ่งโมเดลนี้สามารถสร้างรายได้ให้บริษัทในระดับพันล้านบาท
From Waste to Wealth คือการเปลี่ยนขยะหรือของที่ไม่ได้ใช้งานแล้วให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ พร้อมกับกระจายความมั่งคั่งสู่ชุมชน เช่น การนำเสื้อชูชีพเก่ามาผลิตเป็นกระเป๋า หรือนำผ้าหุ้มเบาะโดยสารเก่าไปให้ “ชุมชนในต่างจังหวัด” ช่วยตัดเย็บเป็นสินค้า เป็นการสร้างงานและกระจายรายได้โดยตรง แทนที่จะจ้างบริษัทขนาดใหญ่
และ From Purple to Purpose คือการยืนยันว่าทุกการกระทำขององค์กรหลังจากนี้ต้องขับเคลื่อนด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนและสร้างคุณค่าที่มากกว่าเดิม เช่น การนำผลิตภัณฑ์จากชุมชนอย่างกาแฟของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ขึ้นเสิร์ฟในชั้นธุรกิจและจำหน่ายในร้าน Puff & Pie เพื่อสนับสนุนเกษตรกรและเศรษฐกิจท้องถิ่น
แนวทางทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า การบินไทยกำลังเปลี่ยนผ่านจากการทำกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) ที่แยกส่วน มาสู่การฝังความยั่งยืน (Sustainability) ให้เป็นส่วนหนึ่งของแก่นธุรกิจอย่างแท้จริง
ชุมชนและผู้เชื่อมร้อย – หัวใจของการลงมือทำจริงและผลลัพธ์ที่จับต้องได้
สมิทธิ หาเรือนพืชน์ หัวหน้าสายงาน Nature-based Solutions จากมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ตอกย้ำว่าการทำงานทั้งหมดจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากขาดฟันเฟืองตัวสุดท้ายที่สำคัญที่สุด นั่นคือ “ชุมชน” และองค์กรที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน เขาเริ่มต้นโดยวางบทบาทของมูลนิธิฯ เป็นผู้ที่นำ “การบ้านของกลุ่ม” มานำเสนอ ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน
หัวใจของปรัชญาการทำงานคือ ต้องมีชุมชนหรือชาวบ้านอยู่ในสมการเสมอ เพราะพวกเขาคือผู้ดูแลป่าตัวจริงในพื้นที่ แต่ที่ผ่านมากลับต้องแบกรับภาระโดยไม่มีรายได้ที่เหมาะสม ด้วยเหตุนี้ มูลนิธิฯ จึงสร้างโมเดลที่เปลี่ยนมุมมองของภาคธุรกิจจากการทำกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) แบบให้เปล่า มาสู่การลงทุนที่มีหลักการชัดเจน โดยต้องมีผลตอบแทนที่วัดผลได้ทางวิทยาศาสตร์ มีราคาคาร์บอนเครดิตที่ยุติธรรม และที่สำคัญคือ ความโปร่งใส ซึ่งโครงการทั้งหมดเป็นฐานข้อมูลเปิด (Open Database) ให้ภาคเอกชนสามารถเข้าถึงข้อมูลและลงพื้นที่ตรวจสอบได้ตลอดเวลา
โมเดลนี้ได้สร้างผลลัพธ์เชิงประจักษ์คือ พื้นที่ป่ากว่า 250,000 ไร่ ได้รับการดูแลโดยชุมชน ทำให้ประชาชนกว่า 163,000 คนได้รับประโยชน์ และสามารถสร้างรายได้กลับคืนสู่ชุมชนจากโครงการคาร์บอนเครดิตแล้วกว่า 150 ล้านบาท แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น คุณสมิทธิได้ทิ้งท้ายด้วยวิสัยทัศน์ที่ใหญ่กว่า คือการปลูกป่าคู่ปลูกเศรษฐกิจ โดยมองว่าหากกลไกธุรกิจนี้ถูกนำไปขยายผลโดยภาคเอกชนอีกหลายแห่ง ก็จะสามารถฟื้นฟูป่าในพื้นที่ต้นน้ำที่สำคัญของประเทศได้มากกว่า 4-5 ล้านไร่ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนพื้นที่วิกฤตให้กลายเป็นพื้นที่แห่งโอกาสทางเศรษฐกิจและความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง
จากความร่วมมือสู่โอกาสของประเทศไทย
กุญแจสู่การอยู่รอด ไม่ได้อยู่ที่การทำงานของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เกิดจากการที่ฟันเฟืองทั้งสี่ภาคส่วนได้หมุนประสานกันอย่างเข้าใจในบทบาทและเป้าหมายร่วมกัน แต่ยิ่งไปกว่านั้น คือการเกิด “กระบวนทัศน์ใหม่” ในการมองปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ารเปลี่ยนมุมมองต่อการอนุรักษ์ จากต้นทุนที่ต้องแบกรับ ไปสู่เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจตัวใหม่ที่สร้างโอกาสได้ ไม่ว่าจะเป็นโมเดลการสร้างรายได้ให้ธรรมชาติโดยตรงของ UNDP แนวคิด From Waste to Wealth ของการบินไทยที่เปลี่ยนของเสียเป็นรายได้ระดับพันล้าน หรือกลไกคาร์บอนเครดิตที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ พิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างรายได้จริงให้ชุมชนกว่า 150 ล้านบาท ทั้งหมดนี้ชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า ความยั่งยืนและผลกำไรทางเศรษฐกิจสามารถเติบโตไปพร้อมกันได้
อย่างไรก็ตาม เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจนี้จะขับเคลื่อนไปไม่ได้เลย หากขาดรากฐานที่มั่นคงนั่นคือ การวาง “คน” โดยเฉพาะ “ชุมชน” เป็นศูนย์กลาง เพื่อให้แน่ใจว่าผลประโยชน์จากการดูแลรักษาธรรมชาติจะไหลกลับไปสู่ผู้ที่อยู่กับป่าอย่างแท้จริง สร้างแรงจูงใจให้เกิดการดูแลรักษาในระยะยาว
ท้ายที่สุดแล้ว สมการความร่วมมือที่เกิดขึ้นนี้ ไม่เพียงสร้างทางรอดให้แก่คนและธรรมชาติในประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญของประเทศไทยในการก้าวขึ้นเป็น ผู้นำด้านความยั่งยืนในระดับภูมิภาค ด้วยความพร้อมทั้งมาตรฐานคาร์บอนเครดิต T-VER ของตนเอง และศักยภาพของภาคธุรกิจในการขับเคลื่อนวาระระดับอาเซียน หากโมเดลนี้ถูกขยายผลอย่างจริงจัง ก็อาจกลายเป็นพิมพ์เขียวสำคัญที่สร้างแรงบันดาลใจให้ประเทศอื่น ๆ เดินตามได้ต่อไป
== end ==




