ในยุคที่ภูมิทัศน์การตลาดเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นักการตลาดต่างเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ โดยถูกคาดหวังให้ “ทำให้มากขึ้น ด้วยทรัพยากรที่น้อยลง” เพื่อสร้างการเติบโตและผลกำไรให้กับธุรกิจ ขณะเดียวกันก็ต้องรับมือกับความไม่แน่นอนและความซับซ้อนรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นวิวัฒนาการอย่างรวดเร็วของ AI หรือพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างคาดเดายาก ท่ามกลางแรงกดดันนี้ คำถามสำคัญที่อยู่ในใจของทุกคนคือ จะสร้างสมดุลระหว่าง การสร้างแบรนด์ (Branding) ระยะยาว กับ การตลาดที่เน้นผลลัพธ์ (Performance Marketing) ระยะสั้นได้อย่างไร?
ชรินทิพย์ ตั้งกิตติสุวรรณ์ Brand Measurement Head จาก Google ประเทศไทย ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจว่า แรงกดดันที่ต้องการสร้างการเติบโตในระยะสั้น ทำให้หลายแบรนด์หันไปมุ่งเน้นที่ Performance Marketing มากขึ้น และบางครั้งถึงขั้นละเลยการสร้างแบรนด์ไปโดยปริยาย ซึ่งอาจนำไปสู่ “กับดัก” ที่ทำให้แบรนด์ไม่สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน
ภาพลวงตาของ “ยอดขายวันนี้” และกับดัก “Valley of Death”
คุณชรินทิพย์ กล่าวว่า ในทุกกลุ่มสินค้าจะมีผู้บริโภคเพียงกลุ่มเล็ก ๆ ประมาณ 5% เท่านั้นที่ “พร้อมจะซื้อสินค้าของเราในวันนี้” ในขณะที่อีก 95% ที่เหลือ คือกลุ่มคนที่ “พร้อมที่จะซื้อสินค้าของเราในอนาคต”
Performance Marketing มุ่งเป้าไปที่ผู้บริโภค 5% ที่พร้อมซื้อทันที เพื่อสร้างยอดขายปัจจุบัน หรือที่เรียกว่า “Current Demand” ส่วน Branding มุ่งเป้าไปที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ 95% ที่ยังอยู่ในขั้นตอนการค้นหาข้อมูล เพื่อสร้างความต้องการในอนาคต หรือ “Future Demand”
การมุ่งเน้นแต่ Performance Marketing เปรียบเสมือนการได้รับ “พลังงานระยะสั้น” จากการกินโดนัทหรือชานมไข่มุก ที่ให้ความรู้สึกสดชื่น มีความสุขได้ทันที แต่เป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนจะตามมาด้วยอาการ “น้ำตาลตก” ที่ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียและหมดแรง
แบรนด์ที่ติดอยู่กับการวัดผลระยะสั้นเพียงอย่างเดียวจะตกอยู่ในสภาวะที่เรียกว่า “Valley of Death” หรือหุบเขาแห่งความตาย ซึ่งมีกลไกมาจากการที่แบรนด์มุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยน (Convert) ลูกค้ากลุ่มเล็ก ๆ แต่กลับ ละเลยผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ที่มีศักยภาพในการซื้อ ทำให้แบรนด์ขาดพลังและไม่สามารถเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพในระยะยาว
สมดุลคือทางรอด: ไม่ใช่การเลือกแต่คือการทำทั้งสองอย่าง
กุญแจสำคัญไม่ได้อยู่ที่การเลือกระหว่าง Branding หรือ Performance แต่คือการเลิกที่จะเลือกและหันมาหาแนวทางที่สมดุลซึ่งจะขับเคลื่อนการเติบโตได้อย่างยั่งยืน แบรนด์ที่สามารถสร้างความสมดุลนี้ได้ จะสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น กระตุ้นความสนใจในการค้นหาแบรนด์ได้ดีกว่า และมี Conversion ที่สูงขึ้นถึง 70%
คุณชรินทิพย์ชี้ว่า YouTube คือแพลตฟอร์มที่สามารถช่วยให้แบรนด์ขับเคลื่อนได้ตลอดทั้งกระบวนการ ตั้งแต่การดึงดูดความสนใจ (Attraction) การสร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) ไปจนถึงการกระตุ้นยอดขาย (Drive Conversion) โดยในประเทศไทย YouTube สามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ได้สูงกว่าทีวีถึง 2.9 เท่า และสูงกว่าโซเชียลแพลตฟอร์มอื่นถึง 1.6 เท่า
3 กลยุทธ์ “Unmissable” สู่การเติบโตที่ยั่งยืนบน YouTube
เพื่อสร้างกลยุทธ์สื่อแบบองค์รวมและบรรลุผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ยั่งยืน คุณชรินทิพย์ได้สรุป 3 แนวทางสำคัญที่แบรนด์สามารถทำได้บน YouTube
เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างไม่พลาด (Unmissable by Your Audience) ด้วยการเข้าถึงผู้คน “ในที่ที่เขาอยู่ ในช่วงเวลาที่พวกเขาMสนใจ และพร้อมที่จะถูกโน้มน้าว”
สร้างความเกี่ยวข้องได้อย่างตรงจุด (Unmissable Relevance) ผ่านการใช้ “เสียงของเหล่าครีเอเตอร์ที่ได้รับความไว้วางใจและมีอิทธิพล” ร่วมกับคอมมูนิตี้ของพวกเขาที่มีความเชื่อมโยงกันอย่างแข็งแกร่ง
และ สร้างผลกระทบที่วัดผลได้ (Unmissable Impact) โดยการสร้างสมดุลระหว่าง Brand และ Performance เพื่อขยายเสียงของแบรนด์ให้ดังขึ้น ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนทั้ง ROI และผลลัพธ์ทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง
ท้ายที่สุดแล้ว การตลาดยุคใหม่ไม่ใช่การเลือกข้าง แต่คือการสร้างสรรค์ “มื้ออาหาร” ที่มีสารอาหารครบถ้วน ผ่านกลยุทธ์ที่สมดุลระหว่างการตอบสนองความต้องการของลูกค้าในปัจจุบัน และการสร้างฐานสำหรับความต้องการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อให้แบรนด์สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนอย่างแท้จริง
สรุปเทรนด์การตลาดบน YouTube ที่แบรนด์และครีเอเตอร์ต้องรู้ปี 2025
Google แนะ 4 พรอมต์ภาษาไทย สำหรับสร้างรูปภาพบน Gemini
หยุดเห่อ AI ถ้ายังไม่เข้าใจกลยุทธ์ ธุรกิจอาจพังไม่รู้ตัว




