Share on
×

Share

‘Inspecta’ AI สัญชาติไทยคว้า 2 รางวัล TICTA ตั้งเป้าสู่ยูนิคอร์น

'Inspecta' AI สัญชาติไทยคว้า 2 รางวัล TICTA ตั้งเป้าสู่ยูนิคอร์น

จากภาพจำของวิศวกรที่ต้องโรยตัวบนตึกสูงเพื่อตรวจสอบรอยร้าว หรือความเสี่ยงในการสำรวจสะพานและโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศ ได้กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญให้งานวิจัยในรั้วมหาวิทยาลัยกว่าทศวรรษ ก่อเกิดเป็น Inspection Technology สตาร์ตอัพสัญชาติไทยผู้พัฒนา Inspecta แพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังจะเข้ามาปฏิวัติวงการวิศวกรรมโยธา ทำให้การตรวจสอบโครงสร้าง “ปลอดภัยขึ้น เร็วขึ้น และประหยัดขึ้น” พร้อมเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ในการก้าวสู่การเป็น “ยูนิคอร์น” ภายใน 3 ปี

The Story Thailand จะพาไปเจาะลึกเบื้องหลังความสำเร็จของ Inspecta จากจุดเริ่มต้นที่เกิดจากความห่วงใยในเพื่อนร่วมอาชีพ สู่การเป็นนวัตกรรมที่ได้รับความไว้วางใจจากองค์กรชั้นนำ และล่าสุดกับการคว้ารางวัลอันทรงเกียรติมาครอง

ความสำเร็จที่จับต้องได้: การันตีด้วยรางวัลชนะเลิศและความไว้วางใจจากองค์กรระดับชาติ

แม้จะเพิ่งเปิดตัวในฐานะบริษัทเต็มรูปแบบได้ไม่นาน แต่ด้วยรากฐานงานวิจัยที่แข็งแกร่งกว่าทศวรรษ ทำให้ผลกระทบของ Inspecta เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นรูปธรรม พิสูจน์ได้จากการยอมรับบนเวทีประกวดนวัตกรรมที่ทรงเกียรติ และการได้รับความไว้วางใจจากองค์กรระดับประเทศ

ล่าสุด ความสำเร็จของ Inspecta ได้ถูกตอกย้ำด้วยชัยชนะบนเวทีประกวดเทคโนโลยีดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดของประเทศอย่าง Thailand ICT Awards (TICTA) ครั้งที่ 21 โดยสามารถคว้ารางวัลใหญ่มาครองได้ถึง 2 รางวัล คือ รางวัลชนะเลิศหมวด Industrial และ รางวัลชนะเลิศหมวด Start up การชนะในสองหมวดหมู่นี้มีความหมายอย่างยิ่ง เพราะไม่เพียงพิสูจน์ว่า Inspecta เป็นนวัตกรรมที่ “ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมได้จริง” แต่ยังแสดงให้เห็นถึง “ศักยภาพในการเติบโตทางธุรกิจ” ในฐานะสตาร์ตอัพที่มีอนาคตไกล ซึ่งถือเป็นเครื่องยืนยันความสำเร็จที่แข็งแกร่งในทุกมิติ

ยิ่งไปกว่านั้น Inspecta ยังได้รับความเชื่อมั่นจากหน่วยงานภาครัฐผู้ดูแลโครงสร้างพื้นฐานสำคัญและมรดกของประเทศ ซึ่งการตรวจสอบจำเป็นต้องใช้ความแม่นยำและความน่าเชื่อถือสูงสุด ไม่ว่าจะเป็น กรมศิลปากรวางใจให้เข้าไปช่วยตรวจสอบโบราณสถานและสถาปัตยกรรมเก่าแก่ ซึ่งเป็นมรดกของชาติที่ประเมินค่าไม่ได้ แสดงให้เห็นถึงความแม่นยำของ AI ในการทำงานที่ละเอียดอ่อน

และการได้ร่วมงานกับสองหน่วยงานหลักที่ดูแล “เส้นเลือดใหญ่” ของประเทศ ทั้งระบบชลประทานและระบบคมนาคม คือ กรมชลประทานและกรมทางหลวง เป็นการยืนยันว่า Inspecta สามารถตอบโจทย์การตรวจสอบโครงสร้างขนาดใหญ่ (Mega Infrastructure) ที่มีความสำคัญต่อความปลอดภัยสาธารณะและเศรษฐกิจของประเทศได้

นอกเหนือจากภาครัฐ Inspecta ยังได้รับการยอมรับจากบริษัทชั้นนำในภาคเอกชน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าในเชิงพาณิชย์และการนำไปใช้ได้จริงในโลกธุรกิจ อาทิ ไทยโอบายาชิบริษัทผู้รับเหมาชั้นนำระดับนานาชาติ และ AP Thailand บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ที่ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อนำ AI เข้าไปช่วยควบคุมดูแลข้อมูลโครงสร้างอาคารที่พักอาศัยในระยะยาว

จุดเริ่มต้น: เมื่อความเสี่ยงของเพื่อนร่วมอาชีพกลายเป็นแรงผลักดันกว่าทศวรรษ

เบื้องหลังความสำเร็จและรางวัลมากมายนี้ ไม่ได้เริ่มต้นจากโอกาสทางธุรกิจ แต่เกิดจากความเจ็บปวด (Pain Point) ที่ฝังลึกในวิชาชีพวิศวกรรมโยธา ซึ่ง ดร.อภิชาติ บัวติก (CTO) ได้สัมผัสด้วยตนเอง เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นเมื่อกว่า 10 ปีก่อน ขณะที่เขากำลังศึกษาในระดับปริญญาโทและได้เข้าไปคลุกคลีกับทีมสำรวจอาคารสูง เขาได้เห็นภาพที่น่าหวาดเสียวจนติดตา นั่นคือการที่วิศวกรต้องห้อยเชือกโรยตัวลงมาจากตึกสูง และในวันนั้นก็เกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยที่เกือบนำไปสู่โศกนาฏกรรม

เหตุการณ์ดังกล่าว ได้จุดประกายคำถามสำคัญในใจของเขาว่า ทำไมกระบวนการที่สำคัญขนาดนี้ถึงยังต้องพึ่งพาวิธีการที่เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต? และจะมั่นใจได้อย่างไรว่าข้อมูลที่เก็บมานั้นครบถ้วนแม่นยำ? คำถามเหล่านี้กลายเป็นแรงผลักดันให้เขาเบนเข็มสู่การค้นคว้าและพัฒนานวัตกรรมอย่างจริงจัง

Inspecta คือผลลัพธ์ของการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่าทศวรรษ ตั้งแต่ระดับปริญญาโทจนถึงปริญญาเอก โดยมี ดร.พรหมพัฒน ธัญสิริชัยศรี (CEO) ซึ่งเป็นอาจารย์ที่จบจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เป็นผู้มีวิสัยทัศน์และจุดประกายให้เขาหันมาสนใจเทคโนโลยี AI ตั้งแต่ 8 ปีก่อน ในยุคที่ยังไม่มีใครเชื่อว่า AI จะเข้ามามีบทบาทในงานวิศวกรรมโยธาได้

งานวิจัยของเขา ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติชั้นนำอย่าง “Automation in Construction” ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่า AI ของ Inspecta ไม่ใช่แค่การนำโมเดลสำเร็จรูปมาใช้ แต่เป็น “Specialist AI” ที่ถูกสอนและพัฒนาขึ้นมาเพื่อเข้าใจความซับซ้อนของงานวิศวกรรมโครงสร้างโดยเฉพาะ

หลังจากสำเร็จการศึกษา เทคโนโลยีของเขาเป็นที่ต้องการของตลาด แต่กลับติดปัญหาที่หน่วยงานไม่สามารถทำสัญญาจ้างงานกับบุคคลธรรมดาได้ สถานการณ์นี้เองจึงกลายเป็นสถานการณ์บังคับที่ผลักดันให้ทั้งสองตัดสินใจ Spin-off งานวิจัยออกจากมหาวิทยาลัย และก่อตั้ง บริษัท Inspection Technology จำกัด ขึ้นมาอย่างเป็นทางการเมื่อ 5 เดือนก่อน

Inspecta ทำงานอย่างไร? ปลดแอกวิศวกรจากพื้นที่อันตราย

Inspecta ถูกออกแบบมาเพื่อเป็น “ผู้ช่วย” ที่ปฏิวัติกระบวนการตรวจสอบโครงสร้างที่เคยเสี่ยงอันตรายและใช้เวลานาน ให้กลายเป็นเวิร์กโฟลว์ดิจิทัลที่ปลอดภัยและแม่นยำ โดยมี 3 ขั้นตอนหลัก ได้แก่

  1. ปฏิวัติการเก็บข้อมูล: ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องเป็นวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ เพียงแค่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น โดรน บินสำรวจภายนอก กล้องวิดีโอ ติดหมวกนิรภัยเพื่อบันทึกภาพขณะเดินตรวจภายใน แล้วอัปโหลดข้อมูลภาพและวิดีโอทั้งหมดขึ้นสู่แพลตฟอร์ม พร้อมข้อมูลเสริมอื่น ๆ เช่น แบบจำลองอาคาร (BIM) หรือข้อมูลจากเซ็นเซอร์
  2. AI สร้าง Digital Twin เสมือนจริง: หัวใจสำคัญของ Inspecta คือ Specialist AI ที่จะนำข้อมูลภาพและวิดีโอหลายพันไฟล์มาประมวลผล สร้างเป็นแบบจำลองดิจิทัลสามมิติที่มีความสมจริงและแม่นยำ หรือที่เรียกว่า Digital Twin ซึ่งเป็นสำเนาเสมือนจริงของโครงสร้างทางกายภาพ
  3. วิเคราะห์เชิงลึกและรายงานผลอัจฉริยะ: AI จะวิเคราะห์ Digital Twin อย่างละเอียด เพื่อตรวจจับความเสียหาย เช่น รอยแตกร้าว การกะเทาะของคอนกรีต พร้อมทั้งวัดขนาดและประเมินระดับความรุนแรง ผลลัพธ์ทั้งหมดจะถูกสรุปใน รายงานเชิงโต้ตอบ (Interactive Report) ที่วิศวกรสามารถคลิกดูตำแหน่งของความเสียหายบนแบบจำลอง 3 มิติ และตรวจสอบข้อมูลการวิเคราะห์ของ AI ได้ทันทีจากหน้าจอคอมพิวเตอร์

“เป้าหมายของเรา ไม่ได้สร้าง AI มาแทนที่วิศวกร แต่สร้างมาเพื่อเป็นเครื่องมือ ให้พวกเขาสามารถทำงานได้เยอะขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น และที่สำคัญคือปลอดภัย” ดร.อภิชาติ เน้นย้ำ

โอกาสทางธุรกิจและเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่: จากไทยสู่เวทีโลก

ความสำเร็จในช่วงแรกเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เพราะโอกาสทางธุรกิจที่ทีมงานมองเห็นนั้นมีขนาดใหญ่ระดับโลก ตลาดการบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานไม่ได้จำกัดอยู่แค่สะพานในไทยที่มีมูลค่าหลักหมื่นล้านบาทต่อปี แต่ยังรวมถึงโครงสร้างทุกประเภททั่วโลกที่กำลังเสื่อมโทรมตามกาลเวลา (Aging Infrastructure) ซึ่งเป็นปัญหาที่ทุกประเทศต้องเผชิญ

ด้วยเหตุนี้ บริษัทจึงมีแผนการที่ชัดเจนสู่การเป็นผู้นำระดับโลก โดยเริ่มต้นจากการจดสิทธิบัตร (Patent) ในอังกฤษและสหรัฐอเมริกา เพื่อปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา ก่อนจะเดินหน้า ระดมทุนในระดับ Seed หรือ Series A จากนักลงทุนต่างชาติ เพื่อเร่งการพัฒนาและบุกตลาดโลก

เป้าหมายสูงสุดของพวกเขาไม่ได้หยุดอยู่แค่เครื่องมือตรวจสอบ แต่มีวิสัยทัศน์ที่จะพัฒนาไปสู่การเป็น “AI Civil Engineer”ที่สามารถคาดการณ์ความเสียหายล่วงหน้า (Predictive) และให้คำแนะนำแนวทางการซ่อมแซม (Prescriptive) ได้โดยอัตโนมัติ ด้วยโอกาสและแผนการที่ชัดเจนนี้ ทีมงานจึงตั้งเป้าหมายที่ท้าทายอย่างยิ่ง คือการผลักดันบริษัทให้ Exit หรือก้าวขึ้นสู่การเป็นสตาร์ตอัพยูนิคอร์นให้ได้ภายใน 2-3 ปี

เป้าหมายที่ท้าทาย: สู่การเป็นยูนิคอร์นใน 3 ปี

ด้วยโอกาสทางตลาดที่ไร้ขีดจำกัด เทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นเองซึ่งยากต่อการลอกเลียนแบบ และแผนการที่ชัดเจน ทำให้ทีม Inspection Technology ตั้งเป้าหมายที่ท้าทายอย่างยิ่ง นั่นคือการผลักดันบริษัทให้ Exit หรือก้าวขึ้นสู่การเป็นสตาร์ตอัพยูนิคอร์น (มูลค่าเกิน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ให้ได้ภายใน 2-3 ปี

เป้าหมายที่ดูทะเยอทะยานนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นจากความฝัน แต่ตั้งอยู่บนรากฐานของความเชื่อมั่นที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้วในหลายมิติ ได้แก่ตลาดขนาดมหึมาและมีความต้องการจริง พวกเขากำลังแก้ปัญหาโครงสร้างพื้นฐานที่เสื่อมโทรมซึ่งเป็นปัญหาระดับโลกที่ทุกประเทศต้องเผชิญ และที่สำคัญคือเป็นตลาดที่ถูกขับเคลื่อนด้วยข้อบังคับทางกฎหมาย ทำให้มีความต้องการที่สม่ำเสมอและยั่งยืน

ความได้เปรียบทางเทคโนโลยีที่ลอกเลียนแบบได้ยาก”Specialist AI” ของ Inspecta คือผลลัพธ์จากการวิจัยและพัฒนากว่าทศวรรษ ทำให้มี “คูเมืองทางเทคโนโลยี” (Technological Moat) ที่แข็งแกร่ง คู่แข่งไม่สามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้ในเวลาอันสั้น และ การยอมรับจากผู้นำในอุตสาหกรรมการได้รับความไว้วางใจจากองค์กรระดับประเทศทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงการชนะรางวัลใหญ่อย่าง TICTA Awards เป็นบทพิสูจน์ว่าผลิตภัณฑ์ของพวกเขาสามารถตอบโจทย์ตลาดได้จริง (Product-Market Fit) และมีศักยภาพในเชิงพาณิชย์

ดังนั้น เป้าหมายการเป็นยูนิคอร์นจึงไม่ใช่เพียงการตั้งมูลค่าทางการเงิน แต่เป็นบทพิสูจน์ถึงความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมต่อศักยภาพของนวัตกรรมที่พวกเขาสร้างขึ้นมากับมือ และเป็นหมุดหมายสำคัญในการนำสตาร์ตอัพสัญชาติไทยไปสู่การเป็นผู้นำในตลาดเทคโนโลยีเพื่อการก่อสร้าง (ConTech) ระดับโลก

เบื้องหลังความสำเร็จ: ทีมเล็กแต่วิสัยทัศน์ใหญ่

เบื้องหลังเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยนี้ คือทีมงานขนาดเล็กแต่ทรงพลังเพียง 5 คน เท่านั้น โดยทุกคนเป็นวิศวกรที่สามารถเขียนโค้ดได้ นำโดย ดร.อภิชาติ ในวัย 32 ปี และทีมงานรุ่นใหม่ไฟแรงที่มีอายุเฉลี่ยเพียง 24 ปี

ในเชิงกลยุทธ์ พวกเขาไม่ได้วางตัวเป็น “คู่แข่ง” กับบริษัทวิศวกรรมอื่น ๆ แต่เลือกที่จะเป็นพาร์ทเนอร์ที่เข้าไปเสริมความแข็งแกร่งให้ ด้วยการสร้างเครื่องมือที่ดีที่สุดเพื่อให้ทุกคนในอุตสาหกรรมทำงานได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

แต่สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดอาจเป็นวิสัยทัศน์ของผู้นำ เป้าหมายที่ ดร.อภิชาติ พาบริษัทเข้าร่วมเวทีประกวดต่างๆ ไม่ใช่เพียงเพื่อรางวัล แต่มาจากความตั้งใจที่จะ “พัฒนาคน” เขาต้องการใช้เวทีเหล่านี้เป็นโอกาสให้น้อง ๆ ในทีมได้ฝึกฝนทักษะการสื่อสารและก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง เพื่อปั้นให้พวกเขาเติบโตจากการเป็นนักพัฒนาที่เก่งกาจ สู่การเป็น “ผู้นำ” ที่มีคุณภาพในอนาคต เพราะพวกเขาเชื่อว่าบริษัทที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้สร้างขึ้นจากซอฟต์แวร์ที่ดีที่สุดเท่านั้น แต่สร้างขึ้นจากบุคลากรที่ยอดเยี่ยมที่สุด

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ไม่ใช่แค่ Chatbot: TANSK AI พลิกโฉม R&D สู่การสร้างสิทธิบัตร

Sustainability Expo 2025: ชูแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงสร้างอนาคตยั่งยืน

×

Share

ผู้เขียน