ในยุคที่ภูมิทัศน์สื่อเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้ก้าวเข้ามาเป็นทั้ง “ตัวเร่ง” และ “ตัวแปร” สำคัญที่กำหนดทิศทางวงการข่าวทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย จากงานประกาศรางวัลข่าวดิจิทัลยอดเยี่ยมประจำปี 2568 และเวทีเสวนา Thailand Media Lab Forum 2025: AI Journalism ที่จัดขึ้นโดย สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (สนพ.) ร่วมกับ Google ได้สะท้อนภาพความจริงที่สื่อมวลชนกำลังเผชิญหน้าอย่างรอบด้าน
สัญญาณการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุด อาจไม่ใช่แค่การมาของ AI แต่คือการปรับตัวของอุตสาหกรรมสื่อเอง ผ่านการมอบรางวัลเกียรติยศ ที่ปีนี้ได้เพิ่มสาขา “ข่าวผู้บริโภค” และ “การตรวจสอบข้อเท็จจริง (Fact-Checking)” ควบคู่ไปกับการนำข้อมูล Data มาวิเคราะห์ “ผลกระทบเชิงสังคม (Social Impact)” เป็นครั้งแรก
นี่คือการส่งสารว่า “ข่าวที่ยอดเยี่ยม” ในยุคนี้ ไม่ได้วัดกันแค่คุณภาพเชิงวารสารศาสตร์ แต่คือพลังในการปกป้องสังคมและต่อสู้กับข้อมูลเท็จ ท่ามกลางสมรภูมิข่าวแห่งอนาคต ที่ซึ่ง “คุณภาพ” และ “ความน่าเชื่อถือ” จะกลายเป็นสินทรัพย์ที่ล้ำค่าที่สุดในการอยู่รอด
ปลดแอกนักข่าว: เมื่อ AI รับบท “ลูกน้องอัจฉริยะ” ในห้องข่าว
ภาพจำของนักข่าว ที่ต้องนั่งหลังขดหลังแข็งถอดเทปสัมภาษณ์นานนับชั่วโมงกำลังจะกลายเป็นอดีต วงเสวนาได้ฉายภาพปัจจุบันที่ AI ได้แทรกซึมเข้าไปในแทบทุกกระบวนการผลิตข่าว ตั้งแต่การหาข้อมูลไปจนถึงการนำเสนอ
ผลกระทบแรกที่ชัดเจน และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางที่สุดในวงการสื่อ คือการที่ AI ได้เข้ามา “ปลดแอก” นักข่าวจากภาระงาน ซ้ำซาก จำเจ และสิ้นเปลืองเวลามหาศาล ทำให้กระบวนการทำงานในแต่ละวันเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง AI ได้สวมบทบาทเป็น “ลูกน้องอัจฉริยะ” ที่เข้ามาจัดการงานพื้นฐานได้อย่างรวดเร็ว เปิดโอกาสให้นักข่าวได้ใช้เวลาและสติปัญญาไปกับงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และการวิเคราะห์เชิงลึกมากขึ้น
หนึ่งในงานที่เปรียบเสมือน “ฝันร้าย” ของนักข่าวทุกยุคทุกสมัยคือการถอดเทปสัมภาษณ์ จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง ผู้ช่วยบรรณาธิการข่าวจาก ฐานเศรษฐกิจ เล่าว่า เครื่องมืออย่าง NotebookLM สามารถถอดเสียงสัมภาษณ์ยาวเป็นชั่วโมง ให้กลายเป็นข้อความได้ในเวลาอันสั้น ช่วยลดภาระงานซ้ำซาก (Routine Work) ที่สิ้นเปลืองเวลามหาศาล และเปิดโอกาสให้นักข่าวสามารถนำเวลาที่ได้คืนมาไปทำงานที่ต้องใช้ทักษะเฉพาะตัวของมนุษย์ เช่น การต่อยอดประเด็น การวิเคราะห์เชิงลึก หรือการพูดคุยกับแหล่งข่าวเพื่อหาข้อมูลพิเศษ (Exclusive) ที่ AI ไม่มีทางเข้าถึงได้
“ถ้าสัมภาษณ์ความยาว 1 ชั่วโมง ในอดีตอาจต้องใช้เวลาเกือบครึ่งวันในการนั่งฟังและถอดความออกมาทีละคำ เวลาอันมหาศาลนี้ คือต้นทุนที่สูญเสียไปกับการทำงานที่ควรจะเป็นอัตโนมัติได้ แต่ปัจจุบันเครื่องมืออย่าง NotebookLM ได้เข้ามาเปลี่ยนเกมโดยสิ้นเชิง มันสามารถเปลี่ยนไฟล์เสียงหรือวิดีโอสัมภาษณ์ให้กลายเป็นข้อความที่เกือบจะสมบูรณ์ได้ในเวลาไม่กี่นาที”
“ข้ออ้างของนักข่าวที่บอกว่า ‘แกะเทปอยู่ครับพี่’ จะหายไปตลอดกาล” จีรพงษ์กล่าวอย่างติดตลก แต่นี่คือความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว เวลาครึ่งวันที่เคยเสียไป ตอนนี้ถูกนำไปใช้ต่อยอดประเด็น พูดคุยกับแหล่งข่าวเพิ่มเติม หรือหาข้อมูลเชิงลึก ซึ่งล้วนเป็นงานที่สร้างมูลค่าให้ข่าวได้มากกว่าเดิม
เจนศักดิ์ แซ่อึ้ง ผู้จัดการบริหารคอนเทนต์ออนไลน์จาก PPTV HD36 ได้ชี้ให้เห็นถึงอีกหนึ่งมิติของการปลดแอก นั่นคือการทลายข้อจำกัดของคอนเทนต์ จากเดิมที่รายการสัมภาษณ์พิเศษซึ่งเป็น Original Content คุณภาพสูง ถูกจำกัดการเผยแพร่แค่บนจอทีวี แต่ด้วย AI เขาสามารถนำลิงก์วิดีโอจาก YouTube โยนเข้าไปใน NotebookLM เพื่อให้ AI สรุปประเด็นสำคัญและถอดความเป็นบทสนทนาออกมาได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงนำไปเรียบเรียงเป็นบทความข่าวสำหรับเว็บไซต์ ทำให้คอนเทนต์เพียงชิ้นเดียวสามารถต่อยอดสร้างการรับรู้และมูลค่าเพิ่มบนแพลตฟอร์มที่หลากหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่ใช่แค่เร็วขึ้น แต่ยังช่วยเรื่องคุณภาพและไอเดีย นอกจากการถอดเทปแล้ว AI ยังทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยที่รอบด้าน ตั้งแต่การเป็น “บรรณาธิการตรวจทาน” ที่ช่วยตรวจจับคำผิด แก้ไขการใช้ตัวเลขไทย-อารบิกให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ไปจนถึงการเป็น “นักคิด” ที่ช่วยระดมสมองและต่อยอดประเด็นข่าว จีรพงษ์เสริมว่า “เราสามารถใช้ AI ช่วยคิดได้ว่า จากประเด็นนี้ เราควรจะไปสัมภาษณ์ใครต่อ หรือมีมุมไหนที่น่าสนใจอีกบ้าง” สิ่งนี้ช่วยให้นักข่าวมีมุมมองที่กว้างขึ้นและทำงานได้ลึกขึ้นกว่าเดิม
สำหรับนักข่าวที่ต้องทำงานแข่งกับเวลาอย่าง กฤษฎาพงษ์ แววคล้ายหงส์ จาก ตราดทีวี AI คือผู้ช่วยคนสำคัญที่ทำให้เขาสามารถแข่งขันกับสำนักข่าวขนาดใหญ่ได้ในสถานการณ์ข่าวเร่งด่วน การใช้ AI ถอดเสียงสัมภาษณ์ภาคสนาม ทำให้เขาสามารถเรียบเรียงและส่งข่าวได้เร็วขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทั้งหมดนี้ คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนว่า AI ไม่ได้เข้ามาเพื่อลดทอนคุณค่าของนักข่าว แต่เข้ามาเพื่อเป็นเครื่องมือปลดปล่อยศักยภาพที่แท้จริงของพวกเขาออกมา
กลยุทธ์ขั้นสูง: จากผู้ช่วยสู่ “คลังสมอง” ส่วนตัว
นอกเหนือจากการใช้ AI เพื่อลดขั้นตอนการทำงานพื้นฐาน กลุ่มผู้สื่อข่าวและกองบรรณาธิการที่ปรับตัวได้เร็วที่สุด กำลังก้าวไปอีกขั้น ด้วยการพัฒนา AI จาก “ผู้ช่วย” ให้กลายเป็น “คลังสมองส่วนตัว” ที่สามารถช่วยคิดวิเคราะห์และวางกลยุทธ์ที่ซับซ้อนได้ ซึ่งเป็นแนวทางที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่แท้จริงของเทคโนโลยีนี้
พรภัสสร สุขะวัฒนะ จาก TNN Digital Media ได้เปิดเผยมิติการใช้งานที่น่าทึ่ง โดยเธอมองว่า AI เปรียบเสมือน “ลูกน้อง” ที่ต้องผ่านการ “สอนงาน” เพื่อให้เข้าใจเป้าหมายและทำงานได้อย่างเฉียบคม กลยุทธ์ของเธอคือการสร้างตัวตนหรือ Persona ให้กับ AI
“เราจะตั้งชื่อให้ AI ทุกตัว อย่าง Gemini ก็จะชื่อ ‘น้องมินะ’ แล้วเราจะป้อนข้อมูลให้เขาจำว่า เขาคือใคร จบการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านนิเทศศาสตร์และรัฐศาสตร์ มีความเชี่ยวชาญเรื่องการสื่อสาร”พรภัสสร อธิบาย “เมื่อ AI มีตัวตนที่ชัดเจน มันจะประมวลผลและให้คำตอบในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีคุณภาพและตรงกับสิ่งที่เราต้องการมากขึ้น”
ยิ่งไปกว่านั้น คือการสร้าง “คลังความรู้” ให้กับ AI โดยใช้เครื่องมือหลายชนิดทำงานร่วมกัน เช่น ใช้ NotebookLM สรุปองค์ความรู้จากแหล่งข้อมูลยาว ๆ (เช่น การอบรม 5 ชั่วโมง) จากนั้นนำบทสรุปนั้นไปป้อนให้ Gemini พร้อมคำสั่งว่า “จำเรื่องนี้ไว้นะ” เมื่อถึงเวลาต้องเขียนข่าวในหัวข้อที่เกี่ยวข้อง ก็สามารถเรียกใช้ความทรงจำนั้นจาก “น้องมินะ” เพื่อให้ช่วยแนะนำแนวทางการพาดหัวข่าวหรือเชื่อมโยงประเด็นตามหลักการที่เคยบันทึกไว้ได้ทันที
อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ทรงพลังคือการใช้ AI เป็น “นักวางแผน SEO” โดยตรง พรภัสสรชี้ว่าฟีเจอร์ Mind Map ใน NotebookLM คือเครื่องมือเปลี่ยนเกม “เพียงโยนเนื้อหาข่าวที่เรามีเข้าไป AI จะแตกประเด็นที่เกี่ยวข้องออกมาเป็นผังความคิดให้ทันที ทำให้เราเห็นว่าจะสร้างคอนเทนต์อะไรมาเชื่อมโยงกันได้บ้าง เพื่อสร้างโครงข่ายคอนเทนต์ (Content Cluster) ที่แข็งแกร่ง ดึงให้ผู้อ่านอยู่ในเว็บไซต์ของเราให้นานที่สุด”
แนวทางเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ จากการใช้ AI เป็นเพียงเครื่องมือทำงานเฉพาะหน้า ไปสู่การสร้างให้เป็นพาร์ทเนอร์ทางความคิด ที่ช่วยยกระดับการทำงานของนักข่าวสู่มิติเชิงกลยุทธ์ได้อย่างแท้จริง
ดาบสองคม: ความท้าทายครั้งใหญ่ในยุคแห่งความ “สะดวกสบาย“
แม้ AI จะมอบประโยชน์มหาศาล แต่ความสะดวกสบายที่ได้มานั้นก็เป็นดั่งดาบสองคมที่มาพร้อมกับความท้าทายครั้งใหญ่หลวง ซึ่งผู้ร่วมเสวนาต่างสะท้อนความกังวลในหลายมิติ ตั้งแต่ภัยคุกคามภายนอกไปจนถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากภายในองค์กรสื่อเอง
1. การแข่งขันที่เปลี่ยนไป และเส้นแบ่งที่เลือนลาง
ความท้าทายแรก คือ การทลายกำแพงการผลิตสื่อ กฤษฎาพงษ์ผู้ทำงานสื่อด้วยตัวคนเดียว สะท้อนภาพนี้ได้ชัดเจนที่สุด “ความท้าทายคือตอนนี้เครื่องมือ AI ทำให้ใคร ๆ ก็สามารถทำข่าวได้ อินฟลูเอนเซอร์ที่ใช้ AI เก่ง ๆ สามารถสร้างบทความข่าวเศรษฐกิจมาแข่งกับสำนักข่าวใหญ่ได้เลย”
สถานการณ์นี้ทำให้เส้นแบ่งระหว่าง “สื่อมวลชนมืออาชีพ” และ “ผู้ผลิตคอนเทนต์” เลือนลางลงอย่างน่ากังวล
ยิ่งไปกว่านั้น คือวิกฤติจากภาพที่สร้างโดย AI ซึ่งสมจริงจนแยกไม่ออก
กฤษฎาพงษ์เล่าถึงการทดลองสั่งให้ Gemini สร้างภาพ “หัวหมูไหว้เจ้า” ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้นั้นเหมือนภาพถ่ายจริงจนน่าตกใจ สิ่งนี้คือภัยคุกคามโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือของภาพข่าว และเป็นเครื่องมือชั้นดีในการสร้างข่าวปลอมและข้อมูลบิดเบือน
2. “ความขี้เกียจ” ภัยเงียบในกองบรรณาธิการ
นอกเหนือจากภัยคุกคามภายนอก ความกังวลที่ใหญ่ที่สุดอาจมาจากภายในห้องข่าวเอง นั่นคือ “ความสบาย” ที่ AI มอบให้ จนนำไปสู่ “ความขี้เกียจ” และการละเลยกระบวนการทำงานข่าวที่สำคัญที่สุด
พรภัสสร กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไม่ได้กลัว AI แต่กลัวคนใช้มากกว่า กลัวนักข่าวใช้แล้วเกิดความขี้เกียจ พอ Workflow การตรวจสอบมันหายไป มันก็จะกลายเป็น Fake News ข่าวผิด ข่าวเพี้ยน”
สอดคล้องกับ จีรพงษ์ ที่ชี้ว่า บรรณาธิการที่มีประสบการณ์สามารถมองออกได้ทันทีว่าข่าวชิ้นไหนเขียนโดย AI เพราะมันมักจะขาดรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือ “Wording” เฉพาะที่นักข่าวซึ่งอยู่ในเหตุการณ์จริงเท่านั้นที่จะเก็บมาได้ การพึ่งพา AI ให้สรุปความอย่างเดียวจึงมีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เนื้อหาข่าวขาดมิติและความถูกต้องครบถ้วน
3. วิกฤติจรรยาบรรณ และความจริงที่ถูกปรุงแต่ง
ท้ายที่สุด ความท้าทายทั้งหมดก็นำไปสู่คำถามเชิงจรรยาบรรณ เจนศักดิ์ตั้งข้อสังเกตว่า “โดยหลักการแล้ว ภาพในข่าวไม่ควรมี AI เข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะภาพก็คือข้อเท็จจริงชนิดหนึ่ง”
อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่าในทางปฏิบัติ AI อาจถูกนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาบางอย่าง เช่น การเบลอภาพเพื่อคุ้มครองสิทธิบุคคล ซึ่งเป็นงานที่น่าเบื่อและใช้เวลา แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องมีความโปร่งใส และระบุให้ผู้อ่านทราบอย่างชัดเจน
บทสรุปของความท้าทายเหล่านี้คือ อันตรายที่แท้จริงของ AI ไม่ได้อยู่ที่ตัวเทคโนโลยี แต่อยู่ที่ “ผู้ใช้งาน” ที่สะดวกสบายและใช้งานโดยปราศจากวินัยและการตรวจสอบ คือกับดักที่อาจทำลายสิ่งที่สำคัญที่สุดของวงการสื่อ นั่นคือ “ความน่าเชื่อถือ” ที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน
ทางรอด-ทางรุ่ง: จริยธรรมแบรนดิ้งและคุณค่าที่ AI ทดแทนไม่ได้
ท่ามกลางความท้าทายที่ถาโถม วงเสวนาได้ตกผลึกถึงแนวทางที่จะนำพาองค์กรสื่อให้อยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืนในยุค AI ซึ่งไม่ได้อยู่ที่การปฏิเสธเทคโนโลยี แต่อยู่ที่การกลับไปยึดมั่นในแก่นแท้ของวิชาชีพ พร้อมกับการปรับตัวเชิงกลยุทธ์อย่างชาญฉลาด โดยมี 3 เสาหลักที่สำคัญคือ จริยธรรม การสร้างแบรนด์ และการมอบคุณค่าที่ AI ไม่สามารถทดแทนได้
1. จริยธรรมต้องมาก่อน: สร้างเกราะป้องกันด้วย “กฎ” และ “ความโปร่งใส”
อุตสาหกรรมสื่อไม่ได้นิ่งนอนใจต่อความเสี่ยงที่มาพร้อมกับ AI จีรพงษ์ ในฐานะอุปนายกฯ สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ เปิดเผยว่า ทางสมาคมฯ ได้ร่วมกันร่าง “แนวปฏิบัติ 9 ข้อ” ในการใช้ AI เพื่อการรายงานข่าวขึ้นมาเป็นกรอบการทำงานร่วมกัน โดยมีหัวใจสำคัญคือความรับผิดชอบและความโปร่งใส
แนวปฏิบัตินี้ไม่ใช่แค่เอกสารบนแผ่นกระดาษ แต่ถูกนำไปใช้จริงในสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อน เขาได้ยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมที่สุดคือ ในช่วงที่มีความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ได้มีการกำชับในกองบรรณาธิการอย่างชัดเจนว่า “ห้ามใช้ AI” ในการสร้างเนื้อหาหรือภาพข่าว เพราะ AI อาจขาดความเข้าใจในบริบทที่เปราะบาง และเสี่ยงที่จะสร้างถ้อยคำหรือภาพที่กระตุ้นให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น นี่คือการขีด “เส้นแดงทางจริยธรรม” ที่แสดงให้เห็นวุฒิภาวะและความรับผิดชอบสูงสุดของสื่อ
2. กลยุทธ์อยู่รอด: เมื่อสื่อต้อง “เลี้ยงปลาของตัวเอง”
ในวันที่ AI ทำให้ใคร ๆ ก็สามารถผลิตคอนเทนต์ที่ “ดูเหมือนข่าว” ได้ การแข่งขันที่ความเร็วและปริมาณไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป นันทสิทธิ์ นิตย์เมธา นายกสมาคมฯ ได้อ้างถึงคำกล่าวของ คมสันต์ ลี ที่ว่า “ต่อไป Influencer จะค่อย ๆ หายไป ธุรกิจที่จะรอดต้องสร้างแบรนด์และเลี้ยงปลาขึ้นมาเอง”
คำเปรียบเทียบนี้สะท้อนกลยุทธ์ของสื่อยุคใหม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แทนที่จะลงไปแข่งขันไล่ตักตวงความสนใจในมหาสมุทรโซเชียลมีเดียที่เต็มไปด้วยคู่แข่ง องค์กรสื่อต้องหันมาสร้าง “บ่อปลา” หรือ “แบรนด์” ของตนเองให้แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือ จนเป็นที่ยอมรับและดึงดูดให้ผู้อ่านยอม “ว่าย” เข้ามาหาโดยตรง เพราะในท้ายที่สุดแล้ว “ความน่าเชื่อถือ” คือปราการด่านสุดท้ายที่ AI ไม่สามารถลอกเลียนได้
3. คุณค่าที่ทดแทนไม่ได้: คอนเทนต์เชิงลึก และพลังของ “นักข่าวมนุษย์”
AI จะไม่มีวันแทนที่นักข่าวได้ ตราบใดที่นักข่าวยังคงทำงานในสิ่งที่ AI ทำไม่ได้ นั่นคือการสร้างสรรค์คอนเทนต์เชิงลึกที่มีคุณค่าจากการทำงานของมนุษย์ ธนภณได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า ปัจจุบันคอนเทนต์ประเภทยาว (Long-form Content) เช่น รายการสัมภาษณ์พิเศษ กลับมียอดการรับชมที่สูงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าท่ามกลางข้อมูลที่ฉาบฉวย ผู้คนยังคงโหยหาเนื้อหาที่ลึกซึ้งและน่าเชื่อถือ
นี่คือโอกาสสำคัญที่สื่อจะใช้ AI เป็นเครื่องมือในการจัดการกับงานข่าวทั่วไป (Routine Work) เพื่อปลดปล่อยเวลาและศักยภาพของนักข่าวให้ไปทุ่มเทกับการทำข่าวสืบสวนสอบสวน (Investigative Journalism) การสัมภาษณ์เชิงลึก และการวิเคราะห์ที่รอบด้าน
“ผมแอบดีใจที่เรากำลังจะได้กลับไปทำหน้าที่นักข่าวแบบเดิม” จีรพงษ์กล่าวทิ้งท้าย “AI ไม่มีทางเดินไปหานายกฯ แล้วถามคำถามที่เราอยากจะถามได้ นั่นคือเหตุผลที่เรายังต้องมีนักข่าว และใช้ AI ควบคู่กันไป”
ท้ายที่สุดแล้ว การมาถึงของปัญญาประดิษฐ์อาจเป็นปรากฏการณ์ที่ย้อนแย้งที่สุดในประวัติศาสตร์วงการสื่อ เพราะเทคโนโลยีแห่งอนาคตนี้ไม่ได้นำพาสื่อไปสู่โลกใหม่ที่มนุษย์หมดความสำคัญ แต่กลับบังคับให้ทุกคนต้องหวนคืนสู่รากฐานและจรรยาบรรณดั้งเดิมที่แข็งแกร่งที่สุด
บทสรุปจากเวทีเสวนาครั้งนี้ จึงไม่ใช่เรื่องของเทคนิคการใช้เครื่องมือ แต่คือการตระหนักว่าในวันที่ AI สามารถผลิต “ข่าวสาร” ได้อย่างล้นหลาม “คุณค่า” ที่แท้จริงของนักข่าวจะถูกวัดกันที่สิ่งที่ AI ทำไม่ได้ นั่นคือการตั้งคำถามที่เฉียบคม การเข้าถึงแหล่งข่าวเชิงลึก การวิเคราะห์ที่รอบด้าน และที่สำคัญที่สุดคือ “ความน่าเชื่อถือ” ที่สั่งสมมา
อนาคตของวงการข่าวจึงไม่ได้แขวนอยู่บนความฉลาดของอัลกอริทึม แต่อยู่บนความรับผิดชอบและคุณค่าในตัวตนของ “นักข่าวมนุษย์” ที่จะยังคงเป็นผู้เฝ้าประตูแห่งความจริงในสังคมต่อไป
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ปลุกอนาคตครีเอเตอร์ iCreator Conference 2025 เปิดไลน์อัพแรกสุดปัง
รศ.ดร.กาญจนา แก้วเทพ ชี้ ‘Knowledge Shift’ นิเทศศาสตร์ยุคใหม่ ต้องเชื่อมโยงบูรณาการ




