นานกว่า 4 ทศวรรษที่ชื่อของ SVOA โลดแล่นอยู่ในวงการไอทีไทยในฐานะผู้จัดจำหน่าย (Distributor) รายใหญ่ที่แข็งแกร่ง แต่วันนี้ภายใต้คลื่นการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่ถาโถม โดยมี AI เป็นตัวเปลี่ยนเกม (Game Changer) บริษัทฯ กำลังเดินหมากครั้งสำคัญเพื่อพลิกโฉมตัวเองจาก “ผู้ขายฮาร์ดแวร์” สู่การเป็น “ผู้ให้บริการดิจิทัลโซลูชันครบวงจร (Digital Solution Provider)” นี่ไม่ใช่แค่ “ทางรอด” แต่คือการสร้าง “ทางรุ่ง” เพื่อก้าวสู่คลื่นลูกที่สามของการปฏิรูปธุรกิจด้วยดิจิทัล
ปรับตำแหน่ง สู่ “Top of Mind” ในสมรภูมิดิจิทัลโซลูชัน
“เราต้องการเป็น Top of mind ของลูกค้าและคู่ค้า SI (System Integrator) เมื่อพวกเขานึกถึงดิจิทัลโซลูชัน” ปฐม อินทโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสวีโอเอ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงเป้าหมายแรกที่ชัดเจนภายใต้การนำของเขา SVOA กำลังเปลี่ยนภาพจำเดิมๆ ที่ลูกค้ามองว่าเป็น “Old Mode” หรือผู้ขายคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง สู่การเป็นผู้ให้บริการที่มี Value Added มากขึ้น โดยวางเป้าหมายท้าทายว่า ภายในปีหน้ารายได้จากฝั่งดิจิทัลโซลูชันจะต้องคิดเป็น 10% ของรายได้รวม
การปรับเปลี่ยนครั้งนี้ เกิดจากการมองเห็นโอกาสมหาศาลในตลาดประเทศไทย ซึ่งประเมินว่ายังมีองค์กรอีกกว่า 80% ที่ยังไม่ได้ทำ Digital Transformation อย่างเต็มรูปแบบ และยังเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาสานต่อธุรกิจของคู่ค้าเดิมที่มีอยู่ทั่วประเทศ
เบื้องหลังยุทธศาสตร์: การมาถึงของ “Digital Transformation ยุคที่ 3”
ปฐมได้ให้มุมมองว่า การที่ SVOA รุกเข้าสู่ตลาดดิจิทัลโซลูชันอย่างเต็มตัวในเวลานี้ เป็นเพราะตลาดในประเทศไทยได้เดินทางมาถึง “ยุคที่ 3” ของการทำ Digital Transformation แล้ว ซึ่งแตกต่างจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง
ยุคที่ 1 (IT-Lead) เป็นยุคแรกเมื่อ 6-7 ปีก่อน ที่หลายองค์กรทำตามกระแสเพราะกลัวตกเทรนด์ แต่ส่วนใหญ่มอบหมายให้ฝ่ายไอทีเป็นผู้นำคิดโปรเจกต์ ผลลัพธ์ที่ได้คือแพลตฟอร์มหรือแอปพลิเคชันที่ไม่มีใครใช้ เพราะไม่ได้ตอบโจทย์ทางธุรกิจจริง ๆ ซึ่งปฐมชี้ว่าโปรเจกต์ในยุคนี้ล้มเหลวไปกว่าครึ่ง
ยุคที่ 2 (Business-Lead) องค์กรเริ่มเรียนรู้ CEO และฝ่ายธุรกิจลงมานำเอง โดยมักจะเน้นโปรเจกต์ที่นำโดยฝ่ายการตลาด เพราะเห็นผลเร็วและวัดผลคืนทุนได้ง่าย แต่ยังเป็นการปรับปรุงกระบวนการ (Digitalization) มากกว่าการเปลี่ยนโมเดลธุรกิจ
ยุคที่ 3 (True Transformation) คือยุคปัจจุบัน ที่เทคโนโลยี AI เข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญ ทำให้องค์กรสามารถคิดใหม่ทำใหม่ได้ทั้งหมด ไม่ใช่แค่ปรับปรุงประสิทธิภาพ แต่สามารถ “เปลี่ยนโมเดลธุรกิจ” ขยายตลาด หรือแม้กระทั่งลดคนได้อย่างมีนัยสำคัญ SVOA จึงมองว่านี่คือจังหวะเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะเข้าไปนำเสนอโซลูชันที่ตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงในยุคนี้
เจาะช่องว่างตลาด: โฟกัส “SI ขนาดกลาง” และ “SME”
แทนที่จะแข่งขันในสนามของลูกค้ารายใหญ่ (Enterprise) SVOA เลือกที่จะเจาะช่องว่างที่สำคัญ นั่นคือ กลุ่ม SI ขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยมีเป้าหมายหลักที่ 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านอย่างจริงจัง ได้แก่ ธุรกิจโรงพยาบาล (Healthcare) ตัวอย่างที่ชัดเจนคือความต้องการของโรงพยาบาลศิริราช ที่ต้องการใช้หุ่นยนต์ต้อนรับผู้ป่วยที่หน้าลิฟต์ สามารถจดจำใบหน้า แจ้งข้อมูลนัดหมาย และเดินนำทางไปยังห้องตรวจได้ทันที ซึ่งเบื้องหลังคือการเชื่อมต่อที่ซับซ้อนระหว่างหุ่นยนต์, ระบบฐานข้อมูลหลักของโรงพยาบาล, และระบบลิฟต์ สะท้อนถึงความต้องการโซลูชันแบบบูรณาการอย่างแท้จริง
ธุรกิจค้าปลีก (Retail) ปฐมเล่าประสบการณ์จากเครือข่ายสหพัฒน์ที่พบว่า มีเจ้าของร้านโชห่วย “รุ่นหลาน” ถึง 40% ที่ไม่ยอมแพ้ต่อ Modern Trade แต่กลับนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ได้อย่างน่าทึ่ง พวกเขาสร้างเครือข่ายร้านค้าระดับภูมิภาค ใช้ Social Media พูดคุยกับลูกค้าจนรู้ว่าสินค้าอะไรใกล้หมด และใช้บริการ Delivery วิ่งไปส่งถึงบ้าน เป็นการ “ดักลูกค้า” ก่อนที่จะเดินไปถึงร้านสะดวกซื้อ
และ ธุรกิจโรงแรม (Hospitality) โดยเฉพาะโรงแรมขนาดกลาง (50-150 ห้อง) ที่ต้องการนำเทคโนโลยีและ AI เข้ามาสร้างความแตกต่างและยกระดับบริการเพื่อแข่งขันกับเชนใหญ่
ปฐมขยายความว่า “มีโปรเจกต์ขนาด 60-70 ล้านบาท ที่ SI ในเครือของเรามองว่าเล็กเกินไป แต่สำหรับพาร์ตเนอร์ SI ขนาดกลางของเรา นี่คือโอกาส” กลยุทธ์นี้ทำให้ SVOA ไม่ได้เป็นคู่แข่งกับ SI รายใด แต่เป็นผู้สนับสนุน (Enabler) ที่จะจัดหาเทคโนโลยีทั้งหมดให้ เพื่อให้คู่ค้าเติบโตไปพร้อมกันได้
คลังแสงเทคโนโลยี: สร้างทางเลือกด้วยพันธมิตรระดับโลก
หัวใจสำคัญของกลยุทธ์นี้ คือการมีเทคโนโลยีที่หลากหลายและตอบโจทย์ SVOA ได้สร้างความแข็งแกร่งด้วยการจับมือกับพันธมิตรเทคโนโลยีระดับโลก เพื่อสร้าง “ทางเลือก” ให้กับตลาด ตัวอย่างเช่น Huawei และระบบนิเวศฝั่งตะวันออก เป็นพาร์ตเนอร์หลักที่แข็งแกร่ง โดย SVOA มองว่า AI จากฝั่งจีนมีความโดดเด่นในแง่ของ “ความ Practical” สามารถนำไปใช้งานได้จริงและแก้ปัญหาที่จับต้องได้ทันที และ Super Micro และระบบนิเวศฝั่งตะวันตก ในฐานะตัวแทนของ Super Micro ซึ่งอยู่ในเครือ TSMC ทำให้ SVOA สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีฝั่งตะวันตกที่ใช้สถาปัตยกรรมของ Nvidia ได้เช่นกัน
กลยุทธ์สองทางนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดความเสี่ยงจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ แต่ยังทำให้ SVOA สามารถนำเสนอโซลูชันที่เหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณของลูกค้าได้ทุกระดับ
มากกว่าผู้จัดจำหน่าย: ลงทุน “AI Lab” ร่วมสร้างนวัตกรรม
เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านดิจิทัลโซลูชัน SVOA ได้ลงทุนหลายสิบล้านบาทเพื่อสร้าง “AI Lab” ของตัวเองขึ้นมา โดยมีเป้าหมายเพื่อใช้เป็นพื้นที่ในการทำ Proof of Concept (POC) และที่สำคัญคือการ “ร่วมมือกับ Startup” ในการพัฒนานวัตกรรม
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือโปรเจกต์ “Health Scoring” ที่ร่วมมือกับ Startup ไทย-สิงคโปร์อย่าง JMQC เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มที่สามารถประเมินสุขภาพของบุคคลจากข้อมูลอุปกรณ์สวมใส่ (Wearable Devices) และ IoT ภายในบ้าน เพื่อนำไปสู่การคำนวณเบี้ยประกันที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลได้ในอนาคต
การลงทุนในแล็บและร่วมมือกับ Startup สะท้อนให้เห็นว่า SVOA ไม่ได้ต้องการเป็นเพียงผู้จัดจำหน่ายเทคโนโลยีอีกต่อไป แต่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
การเดินทางครั้งใหม่ของ SVOA ในวัย 44 ปีนี้ จึงเป็นก้าวที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่การปรับตัวเพื่อความอยู่รอด แต่คือการทรานส์ฟอร์มองค์กรอย่างแท้จริง เพื่อก้าวขึ้นเป็นผู้นำในสมรภูมิดิจิทัลโซลูชันที่กำลังทวีความเข้มข้น และเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจไทยอีกมากมายสามารถก้าวข้ามผ่านคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ไปได้
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
‘Inspecta’ AI สัญชาติไทยคว้า 2 รางวัล TICTA ตั้งเป้าสู่ยูนิคอร์น
AI สร้างภาพ: ใครคือเจ้าของลิขสิทธิ์? กฎหมายยุคดิจิทัลที่ศิลปินต้องรู้




