Share on
×

Share

ท๊อป จิรายุส ควงทีมแพทย์ แก้ความเชื่อผิด ๆ เรื่องสุขภาพ

ทีมแพทย์ 'ท็อป จิรายุส' ทลายความเชื่อสุขภาพ ที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิด

คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่า…การออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงที่เราเชื่อว่าจะทำให้แข็งแรง อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ต้องไปพบแพทย์? วิตามินราคาแพงที่ทานทุกวันเพื่อหวังแก้ผมหงอก อาจไม่เคยให้ผลลัพธ์ที่แท้จริง? หรือความเชื่อที่ว่าสายตาที่เสื่อมแล้วย่อมเสื่อมเลย อาจไม่ใช่ความจริงอีกต่อไป?

ความเชื่อเหล่านี้และความเข้าใจผิดอีกมากมายกำลังจะถูกทลายลง เมื่อ จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด เชิญทีมแพทย์ส่วนตัวของเขาขึ้นมาบนเวที ไม่ใช่เพื่อพูดคุยเรื่องสุขภาพธรรมดา แต่เพื่อตอบคำถามที่คมที่สุดเพียงข้อเดียว นั่นคือ “อะไรคือความเข้าใจผิดที่ใหญ่ที่สุดในศาสตร์ของคุณ?”

คำตอบจาก พญ.อรอุมา พันธ์อภิวัฒน์ (เส้นผม) นพ.ไชยพัทธ์ ไชยกรณ์วงษ์ (กระดูกและข้อ) พญ.พิมสุภา พุฒิไพโรจน์ (เวชศาสตร์บูรณาการ), และ อาจารย์อุราภา วัฒนะโชติ (ดวงตา) ได้นำไปสู่ความจริงที่จะเปลี่ยนวิธีคิดและปฏิบัติตัวในการดูแลสุขภาพของคุณไปตลอดกาล โดยเฉพาะความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับการออกกำลังกาย และภัยเงียบที่น่ากลัวกว่าไขมันหรือคอเลสเตอรอล

Part 1: The Shocking Truth – “No Pain, No Gain” คือหายนะ และ “กล้ามเนื้อ” คือดัชนีชี้วัดอายุขัย

ประเด็นที่น่าตกใจที่สุดบนเวทีเสวนางาน StayGold Meetup ครั้งที่ 4 มาจาก นพ.ไชยพัทธ์ ไชยกรณ์วงษ์ ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูและข้อ โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต ที่ได้ทลายความเชื่อสุดคลาสสิกของสายออกกำลังกายว่า “ยิ่งออกกำลังกายหนัก ยิ่งแข็งแรง” ความจริงแล้วคนไข้ส่วนใหญ่ที่มาพบแพทย์ ล้วนบาดเจ็บจากการ “บาดเจ็บขณะออกกำลังกาย” และ “การฝึกหนักเกินไป (Overtrain)”

“เราเคยได้ยินว่า No Pain, No Gain แต่ความจริงคือ No Pain, Rest, then Gain ต่างหาก” นพ.ไชยพัทธ์ กล่าว ร่างกายจะแข็งแรงและเติบโตขึ้นในช่วงเวลาพักฟื้น ไม่ใช่ตอนที่กำลังฝืนจนบาดเจ็บ เหมือนกรณีของทหารเกณฑ์ใหม่ที่ถูกฝึกวิ่งหนักจนเกิดภาวะกระดูกร้าวสะสม (Stress Fracture)

แต่ประเด็นที่น่าตกใจยิ่งกว่า คือภัยเงียบที่คนส่วนใหญ่มองข้าม นั่นคือ ภาวะกล้ามเนื้อฝ่อลีบ (Sarcopenia) ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวกว่ากระดูกพรุนเสียอีก คุณหมอชี้ว่าหลังอายุ 30 ปี มวลกล้ามเนื้อของเราจะเริ่มสลายไปเฉลี่ย 8% ในทุก ๆ 10 ปี และจะเพิ่มเป็น 15% หลังอายุ 60 ปี เมื่อกล้ามเนื้อซึ่งเปรียบเสมือนถุงลมนิรภัยของกระดูกฝ่อลง การทรงตัวจะแย่ลง นำไปสู่การล้มและกระดูกหัก ซึ่งเป็นอันตรายอย่างยิ่งในผู้สูงอายุ มีสถิติชี้ชัดว่าผู้สูงอายุที่กระดูกสะโพกหัก มีโอกาส 50% ที่จะไม่สามารถกลับมาเดินได้เหมือนเดิม และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนและอายุขัยที่สั้นลง

เคล็ดลับสร้างเกราะป้องกันความเสื่อมของกระดูกและกล้ามเนื้อ ได้แก่ โภชนาการที่ตรงจุด ทานแคลเซียมและวิตามินดีเสริม โดยช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการทานคือหลังอาหารเย็น เพื่อรักษาระดับแคลเซียมในเลือดให้คงที่ตลอดคืน ออกกำลังกายให้ถูกวิธี หัวใจสำคัญคือ การออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน (Resistance Training) หรือการยกน้ำหนักเพื่อสร้างมวลกล้ามเนื้อ (Hypertrophy) โดยควรยกจนถึงจุดที่หมดแรง ในครั้งที่ 7-8 จะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

และได้แนะนำท่าบริหารเฉพาะทางสำหรับชาวออฟฟิศ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารคอ บ่า ไหล่ ด้วยการยืดกล้ามเนื้อคอเบา ๆ 4 ทิศทาง (ก้ม, เงย, เอียงซ้าย-ขวา) ที่สำคัญ ห้ามสะบัดหรือหมุนคอแรง ๆ เด็ดขาด เพราะอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บรุนแรงได้

การบริหารต้นขา ให้นั่งเหยียดขาตรง กระดกปลายเท้าเข้าหาตัว ค้างไว้จนรู้สึกเมื่อย เพื่อบริหารกล้ามเนื้อมัดในซึ่งสำคัญต่อการพยุงข้อเข่า ป้องกันภาวะข้อลูกสะบ้าอักเสบ หรือที่เรียกว่า “Cinema Sign” (อาการปวดเข่าเวลาลุกหลังนั่งนาน ๆ) ที่พบบ่อยมากในคนไทย

Part 2: The Visible Anxiety – วิตามินแก้ผมหงอกไม่มีจริง และผู้หญิงผมบางคือวิกฤติใหม่

หลังจากทบทวนความเชื่อเรื่องการออกกำลังกายแล้ว ประเด็นร้อนถัดมาที่กระทบความมั่นใจของคนทุกเพศทุกวัยคงหนีไม่พ้นเรื่องเส้นผม พญ.อรอุมาพันธ์ อภิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DR ORN Clinic ยืนยันหนักแน่นว่า “ปัจจุบันยังไม่มียาหรือวิตามินตัวไหน ที่สามารถทำให้ผมขาวกลับมาดำ (Reverse Gray Hair) ได้”

แม้ท้องตลาดจะเต็มไปด้วยผลิตภัณฑ์ที่อวดอ้างสรรพคุณดังกล่าว แต่ในทางการแพทย์ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ยังมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์จากงานวิจัยที่ค้นพบโดยบังเอิญในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งและลมชัก ซึ่งยาบางชนิดสามารถกระตุ้นให้สเต็มเซลล์เม็ดสีกลับมาทำงานได้อีกครั้ง และนี่คือแนวทางที่วงการแพทย์กำลังศึกษาเพื่อพัฒนาเป็นวิตามินในอนาคต

สาเหตุที่แท้จริงของผมขาวคืออะไร? มันคือความเสื่อมของเซลล์ แต่ไม่ได้หมายความว่าคนผมขาวเร็วจะอายุสั้น ปัจจัยหลักคือพันธุกรรม แต่ไลฟ์สไตล์ก็เป็นตัวเร่งที่สำคัญ โดยเฉพาะการสูบบุหรี่ ซึ่งมีงานวิจัยยืนยันชัดเจนว่าทำให้ผมขาวก่อนวัย นอกจากนี้ การทำเคมีรุนแรงกับเส้นผมบ่อย ๆ ก็เป็นการทำร้ายเซลล์เม็ดสีเช่นกัน ซึ่งเกณฑ์ “ผมขาวก่อนวัย” ก็แตกต่างกันไปในแต่ละเชื้อชาติ (คอเคเชียน < 20 ปี, เอเชีย < 25 ปี, แอฟริกัน < 30 ปี)

วิตามินที่จำเป็นต่อเส้นผมจริง ๆ คืออะไร? แทนที่จะไปเสียเงินกับวิตามินแก้ผมหงอก พญ.อรอุมา แนะนำให้เน้นวิตามินที่จำเป็นต่อสุขภาพผมโดยรวม ซึ่งคนไทยมักขาด ได้แก่วิตามินดี เป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะผมบางเรื้อรังที่คนมักมองข้าม ธาตุเหล็ก พบว่าขาดบ่อยในผู้หญิงวัยมีประจำเดือน และไบโอติน แม้จะโด่งดัง แต่ในความเป็นจริงมีคนขาดน้อยมาก การทานเสริมเข้าไปหากไม่ได้ขาดจึงอาจไม่เกิดประโยชน์

วิกฤติใหม่ ผู้หญิงผมบางเท่าผู้ชาย และอายุน้อยลงเรื่อย ๆ พญ.อรอุมายังเปิดเผยข้อมูลที่น่ากังวลว่า “ปัจจุบันลูกค้าผู้หญิงที่เข้ามารักษา มีจำนวนพอ ๆ กับผู้ชาย และมีแนวโน้มอายุน้อยลงเรื่อย ๆ” บางรายอายุเพียง 18 ปีก็เจอปัญหาศีรษะบางแล้ว ซึ่งถูกกระตุ้นจากปัจจัยร่วมสมัยอย่างความเครียดเฉียบพลัน มลภาวะ (PM 2.5), การใช้ฮอร์โมนเพศชายเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ, และการลดน้ำหนักอย่างหักโหมจนขาดโปรตีน

ดังนั้น การป้องกันคือหัวใจสำคัญ ควรเริ่มตรวจสุขภาพเส้นผมและหนังศีรษะตั้งแต่เนิ่น ๆ (อายุ 15-18 ปี) อย่ารอจนเห็นว่าผมบางแล้ว เพราะนั่นหมายถึงเซลล์รากผมได้เสื่อมสภาพไปมากจนอาจแก้ไขไม่ทัน และเมื่อรูขุมขนปิดไปแล้ว ทางเดียวที่เหลือคือ “การปลูกผม” เท่านั้น

Part 3: A Ray of Hope – ฟื้นฟูสายตาให้ดีขึ้นได้ด้วยตัวเอง

ท่ามกลางเรื่องราวของความเสื่อมที่ดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาจารย์อุราภา วัฒนะโชติ ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูดวงตาวิถีธรรมชาติ และผู้ก่อตั้งศูนย์ Natural Joy Vision ได้มอบความหวังครั้งใหม่ให้กับคนมีปัญหาสายตา ด้วยการยืนยันว่า “ดวงตาสามารถฟื้นฟูได้ แม้จะเป็นสายตาสั้น ยาว หรือเอียง” และความเชื่อที่ว่าต้องใส่แว่นตลอดเวลาเพื่อไม่ให้สายตาแย่ลงนั้นไม่เป็นความจริงเสมอไป

กลไกการฟื้นฟูสายตาที่ทุกคนต้องรู้ อาจารย์อุราภา อธิบายว่า ปัญหาสายตาสั้นส่วนใหญ่เกิดจากกล้ามเนื้อยึดเลนส์ตา (Ciliary body) เกิดอาการเกร็งค้าง จากการใช้สายตามองใกล้เป็นเวลานาน เช่น การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของคนยุคใหม่ เมื่อกล้ามเนื้อนี้เกร็งค้าง เลนส์ตาก็จะป่องออก ทำให้การมองไกลไม่ชัดเจน ในทางกลับกัน ปัญหาสายตายาวตามวัยเกิดจากกล้ามเนื้อเดียวกันนี้อ่อนแรงลงจนไม่สามารถเพ่งได้ดีเท่าเดิม ดังนั้น หากเราสามารถบริหารให้กล้ามเนื้อนี้คลายตัวสำหรับคนสายตาสั้น และแข็งแรงขึ้นสำหรับคนสายตายาว สายตาก็จะกลับมาดีขึ้นได้

เคล็ดลับ คือท่าบริหารดวงตาง่าย ๆ ใช้นิ้วกลางกดเบา ๆ ที่บริเวณ “หัวตา” (ไม่ใช่ลูกตา) แล้วนวดหมุนเป็นวงกลมเล็ก ๆ อย่างนุ่มนวล ไล่ไปตาม “ขอบกระดูกเบ้าตา” ทำซ้ำ 3-4 รอบทุกวัน จะช่วยคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อรอบดวงตาได้อย่างดีเยี่ยม

อาจารย์อุราภาเล่าว่า ตัวเองสามารถลดค่าสายตาสั้นจาก -475 เหลือ -300 และที่น่าทึ่งคือคุณพ่อของอาจารย์สามารถลดค่าสายตาจาก -600 เหลือเพียง -200 ด้วยวินัยในการบริหารอย่างสม่ำเสมอ

ดวงตาคือหน้าต่างของสมองและหัวใจ อาจารย์อุราภาทิ้งท้ายว่า การบริหารดวงตาไม่ใช่แค่เรื่องของกล้ามเนื้อ แต่เป็นการดูแลแบบองค์รวมที่เชื่อมโยงไปถึงสมองและจิตใจ เพราะเมื่อเราใช้งานสมองหนักหรือพักผ่อนน้อย ร่างกายจะฟ้องออกมาที่ดวงตาเป็นอันดับแรก การดูแลดวงตาจึงเท่ากับการดูแลสุขภาพองค์รวมทั้งหมดนั่นเอง

Part 4: The Foundation – รากฐานของสุขภาพที่แท้จริงคือ “จิตใจ” และ “สิ่งแวดล้อม”

ท้ายที่สุด พญ.พิมสุภา พุฒิไพโรจน์ แพทย์ General Practitioner จาก SOMA Health ได้ให้มุมมองที่ลึกซึ้งซึ่งเป็นรากฐานของทุกเรื่องราวสุขภาพ โดยชี้ให้เห็นถึงความเข้าใจผิดที่ใหญ่และอันตรายที่สุด 2 ประการ

  1. การทำตามอินฟลูเอนเซอร์: สุขภาพของคุณไม่ใช่ของคนอื่น “คำแนะนำของคนอื่น อาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคุณ” พญ.พิมสุภาย้ำ สุขภาพเป็นเรื่อง “เฉพาะบุคคล” อย่างยิ่งยวด (Hyper-Personalized) การกินวิตามิน การทำ IF หรือการออกกำลังกายที่ได้ผลดีกับคนหนึ่ง อาจส่งผลเสียกับอีกคนหนึ่งก็ได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ซับซ้อนทั้งอายุ เพศ พันธุกรรม และไลฟ์สไตล์ การวิ่งตามเทรนด์โดยไม่เข้าใจร่างกายของตัวเองจึงเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่ง
  2. การละเลย “จิตใจ”: องค์ประกอบของสุขภาพที่ถูกมองข้ามมากที่สุด พญ.พิมสุภากล่าวว่าสิ่งที่คนมองข้ามมากที่สุด (Underrated) คือ “จิตใจ” เพราะ “สุขภาพที่สมบูรณ์คือ ร่างกาย + จิตใจ + จิตวิญญาณ แต่ทุกคนกลับโฟกัสแค่ร่างกาย คุณตรวจเลือด วัดไขมัน แล้วมีใครเคย ‘Work Out’ ให้จิตใจตัวเองบ้าง?” ท่านอธิบายว่าเมื่อเราเครียด ร่างกายจะเข้าสู่ “โหมดเอาตัวรอด” (Survival Mode) และไม่สามารถเข้าสู่ “โหมดซ่อมแซม” (Healing Mode) ได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าผลเลือดจะออกมาดีแค่ไหนก็ตาม

คุณหมอแนะว่าวิธี “Work Out” จิตใจที่ง่ายที่สุด คือการเขียน “บันทึกขอบคุณ (Gratitude Journal)” ก่อนนอนทุกคืน ให้ลิสต์ 5 สิ่งที่คุณรู้สึกขอบคุณในวันนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม การทำเช่นนี้จะช่วยปรับคลื่นความถี่ของจิตใจให้เป็นบวกและส่งเสริมการฟื้นฟูร่างกาย

นอกจากนี้ ภัยร้ายในบ้านก็อาจเป็นศัตรูสุขภาพที่คุณอาจนอนกอดอยู่ทุกคืน ภัยร้ายในสิ่งแวดล้อมใกล้ตัวที่คนมักคิดไม่ถึง อาทิ สารพิษสะสมการแพ้สิ่งแวดล้อมสามารถเกิดขึ้นได้แม้จะอยู่ในบ้านหลังเดิมมานาน 10 ปี เพราะสารเคมีและสารก่อภูมิแพ้จะค่อย ๆ สะสมในร่างกายจนถึงจุดที่ร่างกายทนไม่ไหว คุณหมอเคยมีประสบการณ์ตรงที่เคยมีอาการหายใจไม่ออกโดยไม่ทราบสาเหตุ และพบว่าต้นตอมาจาก “เศษไม้ปาร์เก้” ที่วางทิ้งไว้ในห้องนอน

เฟอร์นิเจอร์ใหม่ น้ำหอม และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ก็เป็นภัยร้าย เฟอร์นิเจอร์ใหม่ปล่อยสารระเหย (VOCs) ที่เป็นอันตราย น้ำหอมอาจกระทบต่อระบบฮอร์โมน และแม้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (EMF) จากโทรศัพท์มือถือที่ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจน ก็ควรเลี่ยงเพื่อความปลอดภัย

ซึ่งเครื่องฟอกอากาศคือสิ่งจำเป็น ในยุคที่เต็มไปด้วยมลภาวะ PM 2.5 ต้องใช้เครื่องฟอกอากาศที่มีแผ่นกรอง HEPA เท่านั้น จึงจะสามารถกรองอนุภาคที่เล็กและเป็นอันตรายเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ท้ายที่สุด การรวมตัวของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญครั้งนี้ได้มอบบทสรุปที่ทรงพลังยิ่งกว่าเคล็ดลับสุขภาพใด ๆ นั่นคือการดูแลร่างกายไม่ใช่การทำตามสูตรสำเร็จ แต่คือการเดินทางเพื่อทำความเข้าใจ “ร่างกายและจิตใจของเราเอง” อย่างลึกซึ้ง เราได้เรียนรู้ว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงไม่ได้มาจากความเจ็บปวดของการออกกำลังกาย แต่มาจากการฟื้นฟูอย่างชาญฉลาด ความงามของเส้นผมไม่ได้ขึ้นอยู่กับวิตามินมหัศจรรย์ แต่คือการดูแลจากรากฐาน และดวงตาของเราก็มีศักยภาพที่จะฟื้นฟูตัวเองได้มากกว่าที่เคยเชื่อ ทั้งหมดนี้ถูกโอบอุ้มไว้ด้วยพลังของจิตใจที่สงบและสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย ถึงเวลาแล้วที่เราจะหยุดวิ่งตามเทรนด์ แล้วหันกลับมา “ฟัง” เสียงร่างกายของตัวเอง เพื่อสร้างนิยามของ “สุขภาพดี” ที่เป็นของเราอย่างแท้จริงและยั่งยืน

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

BrandBrand x Creator: สกุลเงินใหม่คือ ‘ความไว้วางใจ’

ไทยร่วง 4 อันดับ GII 2025 NIA ชี้ทางรอด ปั้น ‘Health Tech’ สู้ศึกนวัตกรรมโลก

×

Share

ผู้เขียน