Share on
×

Share

รัฐบาลชั่วคราว ‘4+4 เดือน’ ต้องทำอะไร?

รัฐบาลชั่วคราว '4+4 เดือน' ต้องทำอะไร?

วันนี้ (29 กันยายน) รัฐบาลอนุทิน 1 ได้ฤกษ์งามยามดีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา และจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่เต็มตัว พร้อมคำมั่นสัญญาว่าจะ ‘ยุบสภาภายใน 4 เดือน’ หลังจากที่มีการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ก็เริ่มวอร์มอัพโหมโรงนำทีม ครม. เศรษฐกิจไปพบปะหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับภาคธุรกิจ ทั้งสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทยและตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เพื่อรับฟังและรับข้อเสนอนโยบายเร่งด่วนจากภาคเอกชนที่ให้กับภาครัฐ

แม้รัฐบาลนี้จะเป็นรัฐบาลชั่วคราว มีเวลาในการบริหารประเทศระยะเวลาเพียง 4 เดือน บวกกับรักษาการอีก 4 เดือน แต่กลับต้องเผชิญกับโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะประเด็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ อย่างที่ทราบ ๆ กันว่า เศรษฐกิจปัจจุบันอยู่ในภาวะอ่อนแรง คนส่วนใหญ่ไม่ได้รู้สึกว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว พ่อค้าแม่ค้าพากันขายของไม่ได้ คนไม่มีกำลังซื้อ จะจับจ่ายใช้สอยเฉพาะที่จำเป็น

อีกหนึ่งโจทย์สำคัญที่รัฐบาลอนุทินต้องเผชิญหลังเข้ามาบริหารประเทศคือ ‘ปัญหาเศรษฐกิจไทยที่มีอัตราการเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ’ ขยายตัวต่ำกว่าที่ควรจะเป็น อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีล่าสุดอยู่ที่ 2.2% ขณะที่คาดการณ์ปีนี้จะลดลงเหลือ 1.8% และปีหน้าลดลงต่อเนื่องเหลือ 1.5% สะท้อนทิศทางที่ถดถอยลงเรื่อย ๆ ส่วนหนึ่งเกิดจากเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจที่เคยขับเคลื่อนประเทศอ่อนแรงเร่งไม่ขึ้น ติด ๆ ดับ ๆ ส่งผลให้ปัญหาการเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ

อย่างไรก็ตาม ด้วยเงื่อนเวลาในการทำหน้าที่จริง ๆ มีจำกัดแค่ 4 เดือน และหากรวมเวลาในฐานะรัฐบาลรักษาการอีก 4 เดือน แต่ 4 เดือนหลังคงทำอะไรมากไม่ได้ ดังนั้นนโยบายไม่ต้องมาก ไม่เน้นปริมาณ เน้นโฟกัสให้ตรงจุด สิ่งที่ควรทำมากที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องเศรษฐกิจและปัญหาปากท้อง อย่าไปฝันถึงการปฏิรูปหรือปรับโครงสร้างใหญ่ซึ่งต้องใช้เวลา แต่ทำในสิ่งที่ชาวบ้านรู้สึกได้ทันที ทำมาตรการเร่งด่วนที่จับต้องได้ โดยเฉพาะเรื่องปากเรื่องท้อง เรื่องค่าครองชีพ

สิ่งแรกที่ต้องทำ รัฐบาลต้องเร่ง ”สร้างความเชื่อมั่น“ จากหน้าตาทีมเศรษฐกิจในรัฐบาลนี้ มีรัฐมนตรีที่เป็นคนนอกหลายคน เป็นนักบริหารมืออาชีพ เป็นข้าราชการระดับสูงเข้ามารับผิดชอบในกระทรวงที่ตรงกับความรู้ ความเชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเป็นการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงพลังงาน รวมถึงรองนายกฯ ด้านกฎหมาย ตรงนี้ถือเป็นด่านแรกในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน ภาคธุรกิจ และผู้บริโภค หากนักลงทุนเชื่อมั่น ก็กล้าที่จะลงทุน หากประชาชนเชื่อมั่นก็กล้าจับจ่ายใช้สอย ทำให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนไปได้

ที่ผ่านมาเครื่องยนต์สำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอาจอ่อนแรง ติด ๆ ดับ ๆ รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งฟื้นความแข็งแรงให้กับเครื่องยนต์เหล่านั้น เช่น การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณหรืองบกระตุ้นเศรษฐกิจ ประคองกำลังซื้อ ลดค่าครองชีพ สิ่งแรกที่ประชาชนอยากเห็นคือ “ต้นทุนชีวิตที่ไม่สูงขึ้น” ไปกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเดินทาง ต้องมีมาตรการตรึงราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ขณะนี้รัฐบาลได้เตรียมปัดฝุ่นโครงการ “คนละครึ่ง” ในสมัยรัฐบาลลุงตู่ เป็น ”โครงการคนละครึ่งพลัส” มากระตุ้น มาตรการลดภาระค่าครองชีพและรายจ่าย รวมถึง ”โครงการคนละครึ่งพลัส” ล้วนเป็นมาตรการที่ทำได้ทันที และจะเป็นสัญญาณแรกในการสร้างความมั่นใจแม้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะสั้น ๆ ก็ตาม

แต่ปัญหาใหญ่ที่ท้าทายมาหลายรัฐบาล นั่นคือ ‘หนี้ครัวเรือน” ที่พุ่งสูงเกิน 90% ของจีดีพี กำลังบีบทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการรายเล็ก หนี้ครัวเรือนมีผลต่อเศรษฐกิจในหลายมิติ ทำให้กำลังซื้อหดตัว ครัวเรือนต้องกันรายได้ไปใช้หนี้ ทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบน้อยลงส่งผลถึงการลงทุนลดลงไปด้วย เรื่องนี้แม้จะต้องใช้เวลาในการแก้ปัญหาแต่ต้องถือว่าเป็นมาตรการเร่งด่วนเช่นกัน

ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการ SME ซึ่งเป็นแหล่งจ้างงานหลักกำลังเผชิญทั้งต้นทุนดอกเบี้ย ค่าแรง และการแข่งขันจากต่างประเทศโดยเฉพาะสินค้าจากจีนเข้ามาตีตลาด หากให้ผู้ประกอบการเหล่านี้เข้าถึงแหล่งเงินทุนด้วยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำผ่านธนาคารรัฐในช่วงสั้น ๆ เป็นการเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการรายเล็ก ก็จะช่วยพยุงไม่ให้ธุรกิจรายเล็ก ๆ ต้องปิดตัว

หาก SME อยู่รอดได้เศรษฐกิจฐานรากก็ยังคงหมุนต่อไป รัฐบาลสามารถใช้ธนาคารของรัฐเป็นกลไกหลักในการดำเนินมาตรการพักหนี้ระยะสั้น 6-12 เดือน โดยเฉพาะเกษตรกรและผู้ประกอบการ SME ให้ทันก่อนที่จะโดนดอกเบี้ยกดทับหนักกว่านี้ มาตรการเหล่านี้จึงไม่ใช่การซื้อเวลาแต่เป็นการช่วยให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนต่อไปได้

นอกจากนี้ รัฐบาลชั่วคราวอาจจะกระตุ้นรายได้ อย่างเร็ว ๆ เช่น การจ้างงานท้องถิ่นเล็ก ๆ เร่งเบิกจ่ายงบลงทุนที่ค้างอยู่ตามท่อ แม้ว่ารัฐบาลใหม่จะเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ รัฐบาลยังคงมีเครื่องมือสำคัญที่อยู่ในมือของรัฐอย่าง ‘การใช้จ่ายของรัฐ’ รัฐบาลมีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ที่ยังคงค้างอยู่ที่สามารถรีบเร่งเบิกจ่ายให้ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจได้โดยเร็ว อีกทั้งยังมีการใช้จ่ายงบลงทุนของรัฐบาลซึ่งเป็นรายจ่ายเพื่อการลงทุน ที่หลายฝ่ายมองว่าอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณยังไม่ถึงเป้า ตลอดจนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ที่รัฐบาลอนุทินจะใช้เป็นเครื่องมือสามารถเข้ามาขับเคลื่อนได้ทันที

อย่าลืมว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้คาดหวังว่ารัฐบาลชั่วคราวจะมาปฏิรูปประเทศ หรือยกเครื่องเศรษฐกิจในเวลาแค่ 4 เดือนหรือ 8 เดือน แต่สิ่งที่คาดหวังคือทำให้ชีวิตประจำวันง่ายขึ้น รายได้ไม่หายและภาระหนี้ไม่ทับถมจนหมดแรง หากรัฐบาลทำได้ตามนี้ แม้เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก็สามารถสร้างภาพจำเชิงบวกและอาจจะกลายเป็นจุดแข็งทางการเมืองได้

บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน

วิกฤติทางการเมือง: ‘เนปาล-อินโดฯ’ บทเรียนที่ไม่อาจมองข้าม

‘เวียดนาม’ เสือตัวใหม่แห่งเอเชีย

‘วิทัย รัตนากร’ ผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่ กับโจทก์ที่ท้าทาย

×

Share