Share on
×

Share

GAME CHANGER: ไทยเข้าสู่สังคมไร้เงินสดเต็มรูปแบบ

GAME CHANGER: ไทยสู่สังคมไร้เงินสดเต็มรูปแบบ

เสียงแจ้งเตือนสั้น ๆ จากสมาร์ทโฟนได้เข้ามาแทนที่เสียงนับเงินทอน และการสแกน QR Code ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันอย่างแยกไม่ออก

การเปลี่ยนแปลงที่ดูเหมือนเล็กน้อยเหล่านี้ แท้จริงแล้วคือภาพสะท้อนของการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่ประเทศไทยกำลังมุ่งหน้าสู่ “สังคมไร้เงินสด” (Cashless Society) อย่างเต็มรูปแบบ การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนวิธีการชำระเงิน แต่กำลังจะพลิกโฉมโครงสร้างทางเศรษฐกิจ วิถีการทำธุรกิจ และนำมาซึ่งโอกาสและความท้าทายที่ซับซ้อนซึ่งทุกคนต้องเผชิญ

จุดเปลี่ยนแห่งยุคสมัย: จากเงินสดในกำมือสู่ธุรกรรมปลายนิ้ว

การเดินทางสู่สังคมไร้เงินสดไม่ได้เกิดขึ้นในวันเดียว แต่เกิดจากจุดเปลี่ยนเล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ กัดเซาะพฤติกรรมการใช้เงินสดไปทีละน้อย

อิทธิฤทธิ์ รัตนทารส อัมพุช ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่าย Leasing & Property Management, EM District เล่าถึงสะพานเชื่อมยุคแรก ๆ อย่าง “บัตรศูนย์อาหาร” ที่แม้จะสะดวกกว่าการใช้เงินสดกับทุกร้าน แต่ก็ยังมีความยุ่งยากทั้งการต่อคิวแลกบัตร และการเสียเวลาต่อคิวอีกครั้งเพื่อแลกเงินทอนคืน ก่อนที่ทุกวันนี้จะถูกแทนที่ด้วย QR Code ที่สร้างประสบการณ์ไร้รอยต่ออย่างสิ้นเชิง

วิวัฒนาการถัดมาคือยุคของ “บัตรพลาสติก” วทันยา อมตานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TAOBIN เปรียบเทียบบัตร ATM ใบแรกว่าเป็นเหมือน “ตั๋วสู่อิสรภาพทางการเงิน” เธอยังจำได้ดีเมื่อพยายามใช้เงินสดซื้อหมากฝรั่ง แต่แคชเชียร์กลับบอกว่า “รับบัตรแล้วนะคะ” คำพูดสั้น ๆ นั้นทำให้เธอตระหนักว่า แม้แต่ของชิ้นเล็ก ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินสดอีกต่อไป

ขณะที่ สาธิต บุญโฉลก กรรมการบริหาร ฝ่าย Product Management, Business Banking ธนาคารยูโอบี กล่าวว่า จุดเปลี่ยนที่แท้จริงของเขามาพร้อมกับ “บัตรเครดิต” ใบแรก ที่ให้ความรู้สึกตื่นเต้นแต่ก็ต้องระมัดระวัง

ส่วนเด็กรุ่นใหม่เติบโตมาพร้อมกับความสะดวกสบายที่ถูกปูทางไว้แล้ว นรวิชญ์ สุทธิวารี นักเศรษฐศาสตร์ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เล่าว่าประสบการณ์แรกของเขาคือการใช้บัตรเดบิตที่คุณแม่ให้ไว้เพื่อเติมเงินบัตร BTS ซึ่งสะท้อนว่าเทคโนโลยีการชำระเงินได้กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานของเมืองไปแล้ว

เรื่องราวจากแต่ละยุคสมัยเหล่านี้ คือจิ๊กซอว์ที่ประกอบกันเป็นภาพใหญ่ของการปฏิวัติพฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศไทย

ต้นทุนที่มองไม่เห็นของ เงินสดและบทบาทที่เปลี่ยนไป

สถานะของเงินสดในปัจจุบันได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง คุณวทันยาเล่าว่า ล่าสุดเธอไปงานทอดกฐินและเพิ่งรู้ตัวว่ามีเงินสดติดตัวเพียง 10 บาท นี่คือภาพแทนของคนเมืองจำนวนมากที่มองเงินสดเป็นเพียง “แผนสำรองสุดท้าย” เท่านั้น

อิทธิฤทธิ์เสริมว่า แม้เงินสดจะยังคงบทบาทในเชิงวัฒนธรรมอยู่บ้าง เช่น การให้อั่งเปาหรืองานบุญ แต่บทบาทในฐานะเครื่องมือชำระเงินหลักได้จบลงแล้ว

เบื้องหลังความเคยชินนี้ คือ ต้นทุนแฝง (Hidden Cost) มหาศาลที่ทุกภาคส่วนต้องแบกรับ

สำหรับภาคธุรกิจ ต้นทุนไม่ใช่แค่การขนย้ายหรือนับเงิน แต่คือความเสี่ยงด้านความปลอดภัย การทุจริต การฝึกอบรมพนักงาน และการเสียประสบการณ์ที่ดีของลูกค้าเมื่อร้านไม่มีเงินทอน ต้นทุนเหล่านี้หนักหนาถึงขนาดที่พันธมิตรของเต่าบินในออสเตรเลียตัดสินใจ “ไม่รับเงินสดเลย” แม้จะเสียโอกาสการขายไปเกือบ 30% ก็ตาม

สำหรับภาคธนาคาร สาธิตอธิบายว่าต้นทุนมีอยู่ทุกขั้นตอน ตั้งแต่ค่าบุคลากร ค่าประกันภัยเงินสดมูลค่ามหาศาล ไปจนถึงความซับซ้อนในการวางแผนและคาดการณ์ปริมาณเงินสดสำรองในแต่ละสาขาและตู้ ATM

สำหรับภาครัฐ นรวิชญ์ชี้ว่าธุรกรรมเงินสดที่ตรวจสอบได้ยาก อาจเป็นช่องทางของการคอร์รัปชัน เป็นอุปสรรคต่อกฎหมายป้องกันการฟอกเงิน และทำให้การส่งมอบนโยบายช่วยเหลือจากภาครัฐ เช่น เงินเยียวยา ทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ

ประเทศไทยอยู่จุดไหนบนเส้นทางสู่สังคมไร้เงินสด?

ประเทศไทยได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้นำระดับโลก โดยเป็น 1 ใน 5 ประเทศที่มีการใช้ QR Code มากที่สุดในโลก ปัจจัยสำคัญส่วนหนึ่งมาจากภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่คุ้นเคยกับ WeChat Pay และ Alipay ทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องปรับตัว ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นรากฐานให้คนไทยใช้งานอย่างแพร่หลาย

สถานะของ Cashless จึงขยับจาก “ทางเลือก” มาเป็น “โครงสร้างพื้นฐาน” (Infrastructure) ที่ทุกธุรกิจจำเป็นต้องมี

หลักฐานเชิงประจักษ์สะท้อนผ่านข้อมูลจาก TAOBIN ที่เผยว่าเพียง 3 ปี สัดส่วนการใช้เงินสดลดลงจากเกือบ 50% เหลือเพียง 28-29% เท่านั้น ขณะที่ข้อมูลจาก EM District ชี้ว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวมีการใช้จ่ายไร้เงินสดสูงถึง 77%

ที่สำคัญ การเปลี่ยนแปลงนี้ยังสร้างประโยชน์มหาศาลให้ผู้ประกอบการ SME สาธิตจาก UOB ชี้ว่า การรับชำระเงินผ่านช่องทางดิจิทัลจะสร้างเส้นทางการเงินที่ตรวจสอบได้ (Verifiable Transaction) ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกแหล่งทุนและสินเชื่อที่เคยเข้าถึงได้ยาก

อย่างไรก็ตาม สังคมไทยยังมีประชาชนกลุ่มใหญ่ที่ “เข้าไม่ถึงบริการทางการเงิน” (Underserved) ซึ่งนโยบายภาครัฐอย่างแอปฯ “เป๋าตัง” จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดึงคนกลุ่มนี้เข้าสู่ระบบต่อไป

5 ปีข้างหน้า: โอกาสและความท้าทายบนทางด่วนดิจิทัล

เมื่อมองไปอนาคต นรวิชญ์ยืนยันว่า “ประเทศไทยจะมุ่งสู่สังคมไร้เงินสดอย่างแน่นอน” โดยมีปัจจัยเร่งสำคัญคือ นโยบายจากภาครัฐ ที่พิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จผ่านโครงการ “คนละครึ่ง” และตัวเปลี่ยนเกมที่แท้จริงคือการมาถึงของธนาคารไร้สาขา (Virtual Bank) ที่จะบังคับให้ทั้งระบบนิเวศทางการเงินต้องแข่งขันด้วยนวัตกรรมอย่างเข้มข้น

อย่างไรก็ตาม เส้นทางนี้เต็มไปด้วยความท้าทายที่ซับซ้อน ประการแรก คือ สงครามอาชญากรรมไซเบอร์ที่ไม่จบสิ้น สาธิตยอมรับว่า มิจฉาชีพมีพัฒนาการที่รวดเร็ว โดยเฉพาะวิกฤติ “บัญชีม้า” ทำให้สถาบันการเงินต้องหาจุดสมดุลที่ยากอย่างยิ่งระหว่างมาตรการป้องกันที่เข้มงวด และการรักษาประสบการณ์ที่ดีของลูกค้า

ประการที่สองซึ่งเป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุด คือ ความรู้เท่าทันทางการเงิน (Financial Literacy) นรวิชญ์ชี้ว่า ปัญหานี้เป็นคนละเรื่องกับความสามารถในการใช้เทคโนโลยี (Digital Literacy) หลักฐานคือปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เรื้อรัง และการที่คนจำนวนมากยังตกเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ง่าย เป้าหมายสูงสุดของภาครัฐคือการนำพาสังคมไปสู่จุดนั้นได้อย่างปลอดภัย (Soft Landing)

ประการสุดท้าย คือ การทลายกำแพงทางความคิดเรื่อง “ภาษี” ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ของภาครัฐในการสร้างความไว้วางใจให้ผู้ประกอบการรายย่อยเข้าสู่ระบบ

ก้าวต่อไป: ทุกภาคส่วนกำลังทำอะไรเพื่อขับเคลื่อนอนาคต?

เพื่อไปสู่จุดหมาย ทุกภาคส่วนต่างมีแผนงานที่ชัดเจน EM District มุ่งสร้าง ประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อ (Seamless Journey) รวมทุกการชำระเงิน โปรโมชัน และคะแนนสะสมให้อยู่ในแอปพลิเคชันเดียว

TAOBIN เดินหน้าด้วยกลยุทธ์ “เปิดรับทุกความเป็นไปได้” โดยเชื่อมต่อกับระบบชำระเงินทุกรูปแบบ และพัฒนาระบบหลังบ้านเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในกรณีที่เกิดปัญหาสัญญาณล่ม

UOB เปลี่ยนบทบาทสู่ ผู้สร้างระบบนิเวศ (Ecosystem Builder) โดยจับมือกับพันธมิตร Tech Company เพื่อนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาให้บริการลูกค้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และ ภาครัฐ ภารกิจสำคัญที่สุดคือ การทลายกำแพงทัศนคติเรื่องภาษี โดยเปลี่ยนจากการบังคับมาเป็นการสร้างแรงจูงใจและสิทธิประโยชน์ใหม่ ๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าการเข้าสู่ระบบนั้นมี “คุณค่า” มากกว่าสิ่งที่ต้องจ่ายไป

การเดินทางสู่สังคมไร้เงินสดของประเทศไทยได้ผ่านจุดที่ไม่อาจหวนกลับแล้ว ความท้าทายข้างหน้าคือบททดสอบสำคัญที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ใช่เพียงเพื่อสร้างสังคมที่ ‘สะดวก’ ขึ้นเท่านั้น แต่เพื่อสร้างสังคมดิจิทัลที่ ‘แข็งแกร่ง’ ‘ปลอดภัย’ และ ‘เท่าเทียม’ สำหรับคนไทยทุกคนอย่างแท้จริง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Qualcomm จับมือ Green IO สร้าง AI Ecosystem ขับเคลื่อนโดยนักพัฒนาไทย

Beam เปิดตัว ‘Bolt+’ เดินหน้าสู่สังคมไร้เงินสด

×

Share

ผู้เขียน