Share on
×

Share

Art for Earth: พลังศิลปะและความหวังเพื่อโลกใบนี้

Art for Earth: พลังศิลปะและความหวังเพื่อโลกใบนี้

เมื่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ อย่างน้ำท่วมใหญ่ที่เชียงราย กลายเป็นจุดเริ่มต้น นี่ไม่ใช่แค่เรื่องราวของการฟื้นฟู แต่คือการจุดประกาย “ปรากฏการณ์” ครั้งสำคัญที่ศิลปินกว่าร้อยชีวิตจากทั่วประเทศมารวมตัวกันในโครงการ ‘Chiang Rai Art for Earth’ เพื่อใช้ปลายพู่กันและเลนส์กล้องเป็นอาวุธในการต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อม เวทีเสวนาครั้งนี้ จึงเป็นการถอดรหัสความคิดเบื้องหลังผลงาน และสะท้อนเสียงของศิลปินหลากแขนง ตั้งแต่ศิลปินระดับชาติ จิตรกร ไปจนถึงผู้กำกับภาพยนตร์แถวหน้าของเมืองไทย ถึงบทบาทของ “ศิลปะ” ในวันที่โลกกำลังเปราะบาง

จากภัยพิบัติเชียงรายสู่ปรากฏการณ์ “Art for Earth”

โครงการนี้ริเริ่มโดย รองศาสตราจารย์ ศรีวรรณ เจนหัตถการกิจ ผู้ก่อตั้งหอศิลป์ศรีดอนมูลที่ต้องการใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือในการฟื้นฟูเชียงรายหลังเหตุอุทกภัย แต่ด้วยวิกฤติสิ่งแวดล้อมที่เป็นวาระเร่งด่วนของโลก แนวคิดจึงถูกขยายจาก “Art for Chiang Rai” ไปสู่ “Art for Earth” ซึ่งเป็นโจทย์ที่ท้าทายให้ศิลปินระดับประเทศกว่า 100 ชีวิต อาทิ อาจารย์ปรีชา เถาทอง ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม), อาจารย์ปัญญา วิจินธนสาร ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) และ วสันต์ สิทธิเขตต์ ศิลปินและนักเคลื่อนไหวทางสังคม มารวมตัวกันสร้างสรรค์ผลงานศิลปะที่ได้แรงบันดาลใจจากสิ่งแวดล้อมภายในเวลาเพียง 2-3 วัน

ผศ.วุฒิกร คงคา หัวหน้าภาควิชาศิลปกรรม คณะสถาปัตยกรรม ศิลปะ และการออกแบบ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง หนึ่งในผู้ร่วมโครงการ เล่าว่า บรรยากาศในวันนั้นคือการรวมตัวของศิลปินครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง ทุกคนต่างมุ่งมั่นที่จะใช้ศิลปะเป็น “สื่อ” เพื่อสื่อสารความหมายของภัยพิบัติ ทั้งอุทกภัยและไฟป่า และรายได้จากการจำหน่ายผลงานทั้งหมด จะถูกมอบให้โรงพยาบาลและมูลนิธิในจังหวัดเชียงรายเพื่อการกุศล

อุตสาหกรรมภาพยนตร์: ดาบสองคมที่ทั้ง “สร้าง” และ “ทำลาย”

ในอีกมุมหนึ่งของโลกศิลปะ นนทรีย์ นิมิบุตร และ ชาติชาย เกษนัส สองผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง ได้สะท้อนภาพของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ว่าเป็น “ศิลปะที่สิ้นเปลือง” อย่างมหาศาล พวกเขาฉายภาพให้เห็นถึงเบื้องหลังกองถ่ายที่สร้างขยะและมลภาวะจำนวนมหาศาลในแต่ละวัน

รอยเท้าคาร์บอนที่มองไม่เห็น ชาติชายยกตัวอย่างว่า ในยุคฟิล์ม หนังเรื่องหนึ่งใช้ฟิล์มหนักถึง 15 ตัน หรือในปัจจุบันที่แม้จะเป็นยุคดิจิทัล แต่ค่าน้ำมันสำหรับกองถ่ายหนังหนึ่งเรื่องอาจสูงถึง 3 ล้านบาท ยังไม่นับรวมขยะพลาสติกจากทีมงานกว่า 300 ชีวิตที่เกิดขึ้นเป็นพัน ๆ ชิ้นต่อวัน

อย่างไรก็ตาม แทนที่จะยอมจำนนต่อปัญหา พวกเขาได้เสนอแนวทางแก้ไขที่เป็นรูปธรรม โดยนนทรีย์ได้เสนอไอเดียให้จัดกิจกรรมในสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ เพื่อแข่งขันว่า “กองถ่ายไหนจะสามารถทำให้มีขยะเหลือน้อยที่สุด (Zero Waste) ได้” เป็นการเปลี่ยนปัญหาให้เป็นความท้าทายที่สร้างสรรค์ ขณะที่คุณชาติชายเสริมว่า หากร่วมมือกับโรงงานรีไซเคิลตั้งแต่ขั้นตอนเตรียมงาน (Pre-production) เช่น การเช่าโครงสร้างเหล็กแทนการซื้อแล้วทิ้ง ก็จะช่วยให้การจัดการขยะมีประสิทธิภาพในระดับมหภาค

พลังของสื่อภาพยนตร์ในการกระตุ้นสำนึกแม้จะเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างผลกระทบ แต่ภาพยนตร์ก็มีพลังมหาศาลในการเข้าถึงและเปลี่ยนแปลงความคิดของผู้คนได้อย่างรวดเร็ว จุดเปลี่ยนสำคัญของบทสนทนาคือการฉายหนังสั้นของนนทรีย์ นิมิบุตร ที่สร้างขึ้นเพื่อโครงการนี้โดยเฉพาะ ภาพความงดงามของธรรมชาติที่ตัดสลับกับภาพขยะมหึมา สัตว์ที่ทุกข์ทรมานจากพลาสติก พร้อมกับเพลง “Dust in the Wind” ได้สร้างความรู้สึก “จุกในอก” และสะเทือนใจผู้ชมอย่างรุนแรง นนทรีย์กล่าวว่า เขาต้องการสะท้อนว่า “บนความงดงามไพเราะนั้น มีความรุนแรงเกิดขึ้นบนโลกนี้อยู่ทุกวินาที”

ชาติชายยังได้ให้มุมมองว่า รากของปัญหาอาจมาจาก “รสนิยมแบบเดียว” ของผู้บริโภคที่เกิดจากยุคอุตสาหกรรม ทำให้เกิดการผลิตซ้ำ ๆ จำนวนมหาศาล เขาจึงเชื่อว่า “Art Education” คือทางออกทางอ้อมที่สำคัญ เพราะเมื่อคนได้เรียนรู้ที่จะชื่นชมผลงานที่ทำอย่างประณีต หรือได้ลงมือทำสิ่งของด้วยตัวเอง จะเกิดความเคารพในสิ่งของนั้น ๆ และไม่ทิ้งขว้างไปง่าย ๆ เป็นการแก้ปัญหาที่การบริโภคอย่างมีคุณค่า

ศิลปะร่วมสมัย: จาก “ขยะ” สู่ “สมบัติ” และการกลับคืนสู่ธรรมชาติ

ฝั่งศิลปินทัศนศิลป์อย่าง ผศ.วุฒิกร ได้นำเสนออีกมิติของการใช้ศิลปะเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ไม่ใช่แค่การสร้างความตระหนักรู้ แต่คือการลงมือปฏิบัติผ่านกระบวนการสร้างสรรค์ผลงาน

Trash to Treasure แนวคิดการเปลี่ยนขยะให้กลายเป็นงานศิลปะที่มีคุณค่าอีกครั้ง ซึ่งวสันต์ได้ยกตัวอย่างสุดทึ่งจากเพื่อนศิลปินในอินโดนีเซีย ที่นำขยะพลาสติกในลำคลองมาบีบอัดเป็นอิฐแล้วนำไปสร้างเป็นบุโรพุทโธแห่งใหม่ (New Borobudur) โครงการศิลปะเชิงแนวคิดที่ยิ่งใหญ่จนรัฐบาลให้การสนับสนุน

ศิลปะออร์แกนิก การหวนคืนสู่การใช้วัสดุจากธรรมชาติ เช่น การใช้สีที่สกัดจากดอกไม้ใบไม้ ซึ่งไร้สารเคมี (Non-toxic) ของศิลปินอย่างศ.ญาณวิทย์กุญแจทอง ที่สร้างสรรค์ผลงานภาพพิมพ์อันงดงามจากธรรมชาติรอบตัว

ขณะเดียวกัน ศิลปะเพื่อสิ่งแวดล้อมไม่ได้มีแค่การประจานปัญหา แต่ยังมีการชื่นชมความงามที่ยังเหลืออยู่ ดังเช่นผลงานของผศ.วุฒิกร ในโครงการนี้ ที่เลือกวาดภาพทิวทัศน์อันงดงามของสถานที่จัดงาน เพื่อบันทึกความประทับใจและความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ เป็นการย้ำเตือนว่านอกจากการต่อสู้แล้ว การทะนุถนอมและเห็นคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่ก็เป็นอีกบทบาทสำคัญของศิลปะเพื่อโลก

เสียงตะโกนของศิลปิน: “เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นพยานเห็นความหายนะ

วสันต์ สิทธิเขตต์ ศิลปินจาก Bangkok Art Biennale ผู้ทำงานเพื่อสิ่งแวดล้อมมาตลอด 30 ปี คือเสียงสะท้อนของศิลปินนักกิจกรรมที่ชัดเจนที่สุด เขาเล่าย้อนไปเมื่อ 30 ปีก่อนว่า ปัญหาขยะพลาสติกเคยเป็นสิ่งใหม่ในสังคมชนบท ถึงขั้นที่วัวไถนาไปเหยียบเศษขวดจนบาดเจ็บ ซึ่งเป็นภาพสะท้อนว่าวิกฤตที่เราเผชิญอยู่นี้ มีรากมาจากการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา ประสบการณ์เหล่านี้หล่อหลอมให้เขาสร้างสรรค์ผลงานเพื่อประจานความจริงที่เกิดขึ้น

วสันต์กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า อำนาจเดียวที่ศิลปินมีคือพู่กันกับความคิด แม้จะรู้ว่าอาจเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในเกมอำนาจที่ใหญ่กว่า แต่ก็จะไม่ท้อถอยที่จะตะโกนต่อไป

“ผมคิดว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมา เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นพยานเห็นความหายนะของโลกนี้ เราควรจะเกิดมาเพื่อทำอะไรบางอย่างเท่าที่เรามีศักยภาพเล็ก ๆ น้อย ๆ  การตระหนักรู้และช่วยเหลือกันคนละนิดละหน่อย คือสิ่งที่ทำให้โลกนี้มีความหวัง”

“ศิลปะ” ไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงาม แต่เป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการกระตุกมโนธรรมของสังคม ไม่ว่าจะผ่านความสะเทือนใจของภาพยนตร์ ความเจ็บปวดที่สะท้อนผ่านภาพเขียน หรือการสร้างสรรค์ที่ยั่งยืน ทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากจุดเดียวกัน คือ การตระหนักรู้ที่เริ่มจากตัวเอง เพราะ “No Nature, No Future” หากไม่มีธรรมชาติ ก็ไม่มีอนาคตสำหรับใครทั้งสิ้น

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

SME โตเร็ว: สร้างแบรนด์ด้วย Passion มัดใจด้วย Experience

AI เพื่อนรัก…หรือภัยเงียบ? เจาะลึกความสัมพันธ์มนุษย์-ปัญญาประดิษฐ์ผ่านมุมมองจิตแพทย์

×

Share

ผู้เขียน