จากปรากฏการณ์น้ำท่วมกรุงเทพฯ ที่กลายเป็นเรื่องปกติ สู่ภัยพิบัติรุนแรงทั่วทุกมุมโลก วิกฤตการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ไม่ใช่เรื่องของสิ่งแวดล้อมอีกต่อไป แต่ได้กลายมาเป็น “Game Changer” หรือตัวพลิกเกมครั้งสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจ สังคม และทุกองคาพยพของภาคธุรกิจ นี่คือประเด็นสำคัญที่สะท้อนจากเวทีเสวนา “Global Megatrend in Climate Tech” ซึ่งชี้ชัดว่าเทคโนโลยีด้านสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Tech คือเมกะเทรนด์ที่ทรงพลังที่สุดแห่งยุค และเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสมหาศาลที่ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัว
วงเสวนาประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจาก 3 ภาคส่วนสำคัญ ได้แก่ ภคมน สุภาพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักรับรองธุรกิจคาร์บอนต่ำ องค์การบริการจัดการก๊าซเรือนกระจก (TGO) รศ.ดร.สุทธิรัตน์ กิตติพงศ์วิเศษ ผู้ประสานงานวิจัยความเสี่ยงทางสภาพภูมิอากาศและการรับรู้ปรับฟื้น และหัวหน้าหน่วยบริการและจัดการคาร์บอน สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ วีรศักดิ์ พงษ์ธัญญวชัย หัวหน้าฝ่ายพัฒนาความยั่งยืนองค์กร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งต่างเห็นพ้องต้องกันว่า Climate Tech คือจุดเปลี่ยนที่ไม่อาจมองข้าม
จากแรงกดดันโลกสู่กฎหมายภาคบังคับ: ประเทศไทยขยับเป้า Net Zero เร็วขึ้น
ภคมนระบุว่า ปัจจุบันอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้นแล้ว 1.4 องศาเซลเซียส ซึ่งเข้าใกล้เพดานอันตรายที่ 1.5 องศาเซลเซียสตามความตกลงปารีส (Paris Agreement) อย่างมาก แรงกดดันนี้ทำให้ทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันปล่อยก๊าซเรือนกระจกปีละประมาณ 5 หมื่นล้านตัน ต้องมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)
สำหรับประเทศไทย ทิศทางเชิงนโยบายกำลังจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง โดยล่าสุดได้มีการปรับเป้าหมาย Net Zero ให้เร็วขึ้นจากเดิมปี 2065 มาเป็นปี 2050 เพื่อให้สอดคล้องกับประชาคมโลก การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้จะถูกขับเคลื่อนด้วย “พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ซึ่งกำลังจะออกมาเป็นกฎหมายภาคบังคับในไม่ช้า
สาระสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ คือการกำหนดให้องค์กรขนาดใหญ่มีหน้าที่ต้องรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งทิศทางดังกล่าวสอดคล้องกับแนวโน้มที่เกิดขึ้นแล้ว โดยปัจจุบันมีองค์กรในไทยที่รายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกับ TGO กว่า 1,700 แห่ง และในจำนวนนี้กว่า 100 แห่งได้ประกาศเป้าหมาย Net Zero อย่างชัดเจน โดยภายใต้กฎหมายใหม่ คาดว่าจะมีองค์กรที่เข้าข่ายต้องรายงานเพิ่มขึ้นเป็นราว 3,200 แห่ง และในอนาคตจะมีการกำหนดเพดานการปล่อย (Emission Trading Scheme: ETS) ซึ่งหมายความว่าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะไม่ใช่เรื่องของความสมัครใจอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่ทุกธุรกิจต้องบริหารจัดการอย่างจริงจัง
พลิกมุมมองธุรกิจ: จาก “ภาระ” สู่ “โอกาส” สร้างความได้เปรียบ
ในขณะที่กฎระเบียบต่าง ๆ อาจดูเป็นภาระ แต่ในมุมของภาคเอกชนที่ปรับตัวเร็วกลับมองว่าเป็น “โอกาส” วีรศักดิ์ จากทรู คอร์ปอเรชั่น ย้ำว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ต้นทุน แต่คือการลงทุนเพื่ออนาคต โดยชี้ให้เห็นว่าหนึ่งในสามเสาหลักของการลงทุนในโลกยุคใหม่คือ “Decarbonize” นอกเหนือจาก Digital/AI และ Deglobalization
“เรามองว่านี่ไม่ใช่ภาระ แต่เป็นโอกาส” วีรศักดิ์กล่าว พร้อมทั้งเปิดเผยว่าทรูฯ ไม่เพียงแต่ดำเนินการในองค์กรของตนเองผ่านการใช้พลังงานสะอาด AI ในการบริหารจัดการพลังงาน หรือศึกษาเทคโนโลยี Carbon Capture แต่ยังทำงานร่วมกับคู่ค้าและพันธมิตรในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ทั้งหมด เพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน เพราะตระหนักดีว่าหากคู่ค้ายังคงมีกระบวนการผลิตที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ก็จะส่งผลกระทบกลับมายังองค์กรอยู่ดี
เช่นเดียวกับที่ภคมน ได้ยกตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรมว่า ผู้ประกอบการไทยที่เริ่มทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) ของผลิตภัณฑ์ก่อน กลับสร้างความได้เปรียบในการส่งออก ตัวอย่างที่ชัดเจน คือธุรกิจแป้งมันสำปะหลังของไทย ที่การมีข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ทำให้สามารถส่งออกไปยังตลาดยุโรปได้ ในขณะที่คู่แข่งที่ไม่มีข้อมูลอาจเสียโอกาสทางการค้านี้ไป ถึงขนาดที่บริษัทหนึ่งมีผลกำไรในช่วง 4 ปีที่หันมาใส่ใจเรื่อง Climate Change เทียบเท่ากับผลกำไรที่เคยทำมา 30 ปี
นอกจากนี้ เทรนด์ของอาคารสีเขียวก็กำลังมาแรง โดยบริษัทข้ามชาติเริ่มมองหาอาคารสำนักงานที่สามารถตรวจวัดการปล่อยคาร์บอนแบบเรียลไทม์ได้ เพื่อเป็นปัจจัยในการตัดสินใจเช่าพื้นที่
นวัตกรรมและความรู้: อาวุธสำคัญในการขับเคลื่อน
การจะบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้นั้น เทคโนโลยีและนวัตกรรมคือหัวใจสำคัญ โดย รศ.ดร.สุทธิรัตน์ ชี้ว่า Climate Tech ไม่ได้จำกัดอยู่แค่พลังงานหมุนเวียน แต่ครอบคลุมหลากหลายมิติ ไล่เรียงตั้งแต่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) ที่รวมถึงพลังงานทดแทน ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และ Green Hydrogen การขนส่งอัจฉริยะ (Smart Mobility) เกษตรอัจฉริยะที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Climate Smart Agriculture) และแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่เน้นการแปลงของเสียให้เกิดมูลค่า (Waste to Value) ตลอดจนเทคโนโลยีที่จำเป็นอย่างยิ่งอย่าง CCUS (Carbon Capture, Utilization, and Storage) ซึ่งคือการดักจับคาร์บอนเพื่อนำไปกักเก็บใต้ดิน (CCS) หรือนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เช่น วัสดุก่อสร้าง (CCU)
อย่างไรก็ตาม แม้เทคโนโลยีจะมีอยู่มาก แต่ความท้าทายสำคัญคือความพร้อมและความเข้าใจของคนในระดับท้องถิ่นในการนำเทคโนโลยีไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ภาคการศึกษายังเห็นการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงานอย่างชัดเจน บัณฑิตที่มีทักษะด้าน Green Business การคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ หรือการวางกลยุทธ์สู่ Net Zero กำลังเป็นที่ต้องการอย่างสูงและมีอัตราการตกงานต่ำมาก
เสียงสะท้อนจากผู้ร่วมงาน: เกษตรและอาหารคือโจทย์ใหญ่
ในช่วงหนึ่งของเวทีเสวนา ได้มีการสำรวจความคิดเห็นจากผู้เข้าร่วมงานแบบสด (Live Poll) ในหัวข้อ “เทรนด์ Climate Tech ที่สำคัญที่สุดที่ประเทศไทยควรเร่งคว้าโอกาสไว้” ผลปรากฏว่า กลุ่มเกษตรกรรมและอาหาร (Agriculture & Food) ได้รับคะแนนโหวตสูงสุดอย่างมีนัยสำคัญ ตามมาด้วย กลุ่มพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) และ เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ในอันดับสองและสามตามลำดับ
ภคมนให้ความเห็นว่าผลลัพธ์นี้สอดคล้องกับข้อมูลของ TGO ที่พบว่ากลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอาหารเป็นกลุ่มที่ยื่นขอการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์มากที่สุด ขณะที่ วีรศักดิ์มองว่า สอดคล้องกับทิศทางขององค์กรขนาดใหญ่ในไทยที่มีรากฐานจากอุตสาหกรรมดังกล่าว ในทางกลับกัน เทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่างไฮโดรเจน (Hydrogen) กลับยังไม่ได้รับความสนใจจากผู้ร่วมงานมากนัก ซึ่งผู้ร่วมเสวนาให้ความเห็นว่าอาจเป็นเพราะยังเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหม่สำหรับบริบทของประเทศไทย
ต้องไปพร้อมกันทั้งหมด “Climate for All”
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้จะสำเร็จได้ต้องไม่ใช่การ “ต่างคนต่างทำ” โดยเฉพาะเมื่อผู้ประกอบการรายย่อย (SME) และชุมชนท้องถิ่นจำนวนมากยังมองว่าการปรับตัวเป็นเรื่องไกลตัวและเป็นภาระ เพราะขาดทั้งองค์ความรู้และทรัพยากรที่จะเริ่มต้น
ดังนั้น การสร้างวัฒนธรรม “Climate for All” ให้เกิดขึ้นจริงจึงเป็นยุทธศาสตร์ที่จำเป็นอย่างยิ่งยวด ซึ่งหมายถึงการสร้างระบบนิเวศที่ทุกภาคส่วนต้องเคลื่อนทัพไปพร้อมกันอย่างแท้จริง ภาครัฐต้องทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนผ่านนโยบายและแหล่งเงินทุนที่เข้าถึงง่าย องค์กรขนาดใหญ่ต้องก้าวขึ้นมาเป็น “พี่เลี้ยง” ที่ไม่ได้มุ่งหวังเพียงความสำเร็จของตนเอง แต่ต้องพร้อมแบ่งปันเครื่องมือและองค์ความรู้เพื่อดึงคู่ค้าตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทานให้เติบโตไปด้วยกัน ขณะที่ภาควิชาการต้องเร่งสร้างบุคลากรและเสริมศักยภาพ (Capacity Building) เพื่อไม่ให้ใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เพราะการเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ไม่ใช่แค่การลดคาร์บอน แต่คือการวางรากฐานความสามารถในการแข่งขันและความยั่งยืนของประเทศบนเวทีโลกยุคต่อไป การลงมือทำอย่างพร้อมเพรียงกันในวันนี้ จึงเป็นการกำหนดอนาคตของคนทั้งชาติ
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
โลกรวน เศรษฐกิจร่วง: ทางรอดประเทศไทย
คาร์บอนเครดิตป่าชุมชน: โมเดลสร้างรายได้ พลิกชีวิตสู่ความยั่งยืน
พลิกโฉมการอนุรักษ์: เมื่อ ‘ต้นทุน’ สิ่งแวดล้อม กลายเป็น ‘การลงทุน’ ที่ยั่งยืน




