ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ “Climate Tech” หรือเทคโนโลยีเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้กลายเป็นสมรภูมิสำคัญที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทาย
แม้โอกาสจะเปิดกว้างจากความต้องการของผู้บริโภคและแรงกดดันระดับโลก แต่ “ต้นทุน” และ “การสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่แข็งแกร่ง” คือโจทย์ใหญ่ที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันแก้ไข เพื่อให้ธุรกิจนวัตกรรมเหล่านี้สามารถเติบโตและสร้างผลกระทบได้อย่างแท้จริง
โอกาสที่เปิดกว้าง: จากพลังงานไฮโดรเจนถึงพลังของผู้บริโภค
โอกาสสำหรับ Climate Tech ในไทยนั้นมีอยู่มหาศาลในหลายมิติ ในมุมของพลังงานและอุตสาหกรรมสีเขียว พงศ์ศักดิ์ เหลืองจินดารัตน์ Chief Strategy and Sustainability Officer, Bangkok Industrial Gas (BIG) กล่าวว่า เทคโนโลยีพลังงานสะอาดอย่างไฮโดรเจนนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นสิ่งที่ BIG เชี่ยวชาญมากว่า 30-40 ปีแล้ว ความท้าทายในอดีตคือการจัดการคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากกระบวนการผลิต
ปัจจุบัน BIG มีเทคโนโลยี Carbon Capture (การดักจับคาร์บอน) อยู่แล้ว แต่ประเทศไทยยังขาดโครงสร้างพื้นฐานด้านการกักเก็บและใช้ประโยชน์จากคาร์บอน (CCUS) ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องต่อไป นอกจากนี้ ระบบบริหารจัดการพลังงาน (Energy Management System) ยังเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและแก้ปัญหาความไม่เสถียรของพลังงานหมุนเวียน โดยยกตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมคือ ช่วงกลางคืนที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าพุ่งสูงขึ้นจากการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) แต่เป็นช่วงที่โซลาร์เซลล์ไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้
สำหรับวงการอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ในฐานะ “ผู้ร้าย” ที่สร้างคาร์บอนถึง 40% ของทั้งโลก ประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ ประธานคณะอนุกรรมการกำกับดูแลกิจการด้านความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วงการอสังหาริมทรัพย์จำเป็นต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน และนี่คือโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญ
เขาได้นำเสนอแนวคิดนวัตกรรม 4 ด้านที่ LPN นำมาปรับใช้ เริ่มตั้งแต่ Design Innovation หรือการออกแบบอาคารให้สอดคล้องกับธรรมชาติ Construction Innovation ที่มุ่งเน้นกระบวนการก่อสร้างที่รวดเร็วและประหยัดทรัพยากร Monitoring Innovation ผ่านการใช้เทคโนโลยีเพื่อติดตามการใช้ทรัพยากรแบบเรียลไทม์ และปิดท้ายด้วย Community Innovation ซึ่งเป็นการสร้างกิจกรรมเพื่อชวนลูกบ้านมาร่วมกันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ข้อมูลที่น่าสนใจจากการทำวิจัยของ LPN คือ ปัจจุบัน ‘สิ่งแวดล้อม’ ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญอันดับสองที่ผู้บริโภคกว่า 80% ใช้พิจารณาในการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย รองจาก ‘ความปลอดภัย’ ที่ยังคงเป็นอันดับหนึ่ง และมีแนวโน้มตามมาด้วย Smart Technology และ Wellness
ขณะเดียวกัน พลังของผู้บริโภคที่พร้อมจ่ายเพื่อความยั่งยืนก็เป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญ พิพัฒน์ อภิรักษ์ธนากร ผู้ก่อตั้ง บริษัท คิดคิด จำกัด และ ECOLIFE App เน้นย้ำถึงพลังของผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z ที่กว่า 70% ยินดีจ่ายเงินเพิ่มขึ้นให้กับสินค้าและบริการที่ใส่ใจเรื่องความยั่งยืน เขาเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่า หากมีสินค้าปกติราคา 100 บาท กับสินค้าที่ยั่งยืนซึ่งมีฟังก์ชันเหมือนกันแต่ราคา 120 บาท ผู้บริโภคยุคใหม่ยินดีที่จะจ่ายในราคาที่สูงกว่า หากสินค้านั้นมีเรื่องราวที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ว่าใช้วัสดุจากไหน หรือลดคาร์บอนได้อย่างไร
แพลตฟอร์ม ECOLIFE ของเขาจึงถูกสร้างขึ้นเพื่อ “เปลี่ยนความตระหนักรู้ให้เป็นการลงมือทำ” (Turn Awareness into Action) โดยใช้หลัก Gamification สร้างแรงจูงใจให้คนเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ผ่านการทำงานร่วมกับโรงเรียน มหาวิทยาลัย และองค์กรต่าง ๆ ซึ่งมีโมเดลการทำงานที่น่าสนใจ เช่น การทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยที่นักศึกษาสามารถสะสมคะแนนเพื่อแลกเป็น “ชั่วโมงจิตอาสา” ได้ หรือการแบ่งกลุ่มผู้ใช้งานเป็น 3 รูปแบบชัดเจน คือ 1) กลุ่มองค์กร ที่ใช้โดเมนอีเมลเฉพาะเพื่อทำภารกิจร่วมกัน 2) กลุ่มบุคคลทั่วไป ที่เข้าร่วมกิจกรรมกลาง และ 3) กลุ่มลูกค้าของแบรนด์ ที่ทำกิจกรรมเพื่อรับสิทธิประโยชน์จากแบรนด์นั้น ๆ โดยตรง
กำแพงความท้าทาย: ต้นทุน การยืนระยะ และระบบนิเวศที่ยังไม่สมบูรณ์
แม้โอกาสจะสดใส แต่หนทางสู่ความสำเร็จของ Climate Tech ยังเต็มไปด้วยอุปสรรค โดยมีกำแพงความท้าทายสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมา
กำแพงความท้าทายประการแรกที่สำคัญที่สุดคือ ต้นทุนที่สูงและอุปสรรคทางเศรษฐศาสตร์ พงศ์ศักดิ์กล่าวว่า หากประเทศไทยจะเปลี่ยนมาใช้ไฮโดรเจนผลิตไฟฟ้าเพื่อลดคาร์บอน แม้จะทำได้ทางเทคนิค แต่ต้นทุนค่าไฟฟ้าอาจต้องเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยากในสังคม ความท้าทายนี้ซ้ำเติมภาคธุรกิจ B2B ที่ปัจจุบันก็ต้องแข่งขันด้านราคากับสินค้านำเข้าอยู่แล้ว การนำเทคโนโลยีสีเขียวที่มีต้นทุนสูงมาปรับใช้จึงอาจทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลงไปอีก
ความท้าทายประการต่อมาคือ การยืนระยะของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มสตาร์ตอัพ พิพัฒน์ให้มุมมองว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่เหมือนกับวิกฤติโควิด-19 ที่เห็นผลกระทบเฉียบพลันและรุนแรงจนทำให้ทุกคนต้องปรับตัวทันที แต่เป็นปัญหาที่ต้องอาศัย ‘การยืนระยะ’ เพราะผลลัพธ์ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน เขาเปรียบเทียบว่า การทำโครงการเพื่อความยั่งยืนไม่เหมือนการโพสต์โซเชียลมีเดียที่เห็นผลตอบรับได้ทันที แต่ต้องใช้เวลาในการสร้างการเปลี่ยนแปลง
นอกจากนี้ เขายังชี้ให้เห็นถึงความท้าทายในระดับองค์กร ที่บางครั้งมักเริ่มต้นด้วยการมอบหมายเรื่องความยั่งยืนให้ฝ่าย PR ซึ่งอาจไม่ใช่แนวทางที่สร้างการเปลี่ยนแปลงได้เท่ากับการส่งเสริมบุคลากรที่มีความเข้าใจและมีใจรักในเรื่องนี้โดยตรง
และกำแพงประการสุดท้ายคือ ระบบนิเวศที่ยังขาดความสมบูรณ์ ในมุมมองของประพันธ์ศักดิ์ เห็นว่า ปัจจุบันยังขาด ‘ตัวกลาง’ หรือ Matchmaker ที่จะเชื่อมโยงผู้ที่มีปัญหา ผู้ที่มีนวัตกรรม และผู้ที่มีแหล่งทุนเข้าด้วยกัน
เขากล่าวว่าหลายครั้งที่องค์ประกอบสำคัญอย่าง Profit (ผลกำไร) Planet (สิ่งแวดล้อม) และ People (สังคม) ยังหาจุดลงตัวร่วมกันไม่ได้ ทำให้โอกาสทางธุรกิจจำนวนมากไม่เกิดขึ้น การสร้างความสมดุลด้านการเข้าถึงองค์ความรู้และแหล่งทุน รวมถึงการกำหนดทิศทาง (Direction) ที่ชัดเจนและสอดคล้องกันตั้งแต่ระดับประเทศ ระดับองค์กร ไปจนถึงระดับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งเพื่อสร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์
ทางออก: นวัตกรรมที่ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี และการสร้าง Ecosystem
ทางออกจากความท้าทายเหล่านี้ไม่ได้อยู่ที่การรอคอยเทคโนโลยีที่ดีที่สุดเพียงอย่างเดียว แต่มุ่งไปที่การสร้าง “ระบบนิเวศ” ที่เอื้อให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน
ข้อเสนอแรกที่สำคัญคือภาครัฐต้องเข้ามามีบทบาทเป็นผู้สนับสนุนเชิงรุก ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของเงินทุน (Government Funding/Grant) หรือการสร้างแรงจูงใจ (Incentive) ซึ่งคุณพงศ์ศักดิ์ได้ยกตัวอย่างโมเดลที่น่าสนใจจากประเทศญี่ปุ่น ที่กระทรวงเศรษฐกิจฯ ได้จัดตั้งกองทุนมูลค่ามหาศาลเพื่ออุดหนุนเทคโนโลยีสีเขียวในระยะแรก ให้สามารถเติบโตจนแข่งขันในตลาดได้ และที่สำคัญคือการสร้างอุปสงค์ผ่านนโยบาย “การจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว” (Green Public Procurement)
หัวใจสำคัญอีกประการคือความร่วมมือ โดยมองว่าการแก้ปัญหานี้ไม่สามารถทำได้โดยลำพัง แต่ต้องเกิดจากการทำงานร่วมกันของ 4 ภาคส่วน คือ สตาร์ตอัพ (ผู้คิดค้น) ภาคธุรกิจ (ผู้ขยายผลและลงทุน) ภาคการศึกษา (ผู้สร้างองค์ความรู้และบุคลากร) และภาครัฐ (ผู้วางนโยบายและสนับสนุน)
สุดท้ายคือการนิยามคำว่า “นวัตกรรม” ให้กว้างขึ้น โดยคุณประพันธ์ศักดิ์เสนอว่านวัตกรรมไม่ใช่แค่เทคโนโลยีดิจิทัล แต่คือ “การนำความรู้มาประยุกต์ใช้เพื่อทำอะไรสักอย่างหนึ่ง” ซึ่งอาจหมายถึงการปรับกระบวนการหรือการออกแบบใหม่ทั้งหมด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
Climate Tech คือคลื่นลูกใหม่ที่เต็มไปด้วยศักยภาพ แต่การจะทำให้คลื่นลูกนี้สร้างประโยชน์ให้กับประเทศไทยได้อย่างเต็มที่นั้น จำเป็นต้องอาศัยความมุ่งมั่นและความร่วมมือจากทุกองคาพยพ เพื่อเปลี่ยนความท้าทายให้กลายเป็นโอกาสที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Qualcomm จับมือ Green IO สร้าง AI Ecosystem ขับเคลื่อนโดยนักพัฒนาไทย
GAME CHANGER: ไทยเข้าสู่สังคมไร้เงินสดเต็มรูปแบบ
NIA เดินหน้า ‘ชาตินวัตกรรม’ ชู Climate Tech ตั้งกองทุน 4 พันล้าน เสริมแกร่งสตาร์ตอัพ




