Share on
×

Share

AI กับความยั่งยืน: ดาบสองคมพลิกโลกหรือสร้างภัยพิบัติ?

AI กับความยั่งยืน: ดาบสองคมพลิกโลกหรือสร้างภัยพิบัติ?

เวทีเสวนาในหัวข้อเบาๆ อย่าง “Sustainability” และ “AI” ได้พาผู้ฟังดำดิ่งสู่ประเด็นที่ลึกซึ้งและท้าทายกว่าที่คาดคิด เมื่อบทสนทนาจาก 3 ผู้เชี่ยวชาญต่างวงการ ไม่ได้หยุดอยู่แค่การนิยามความหมาย แต่ได้ฉายภาพอนาคตอันใกล้ ที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จะกลายเป็นดาบสองคม ที่ทรงอานุภาพที่สุดในมือมนุษยชาติ พร้อมตั้งคำถามสำคัญว่า เราจะรอดและก้าวต่อไปในโลกใบใหม่นี้ได้อย่างไร ท่ามกลางความเสี่ยงที่อาจเป็น “ภัยพิบัติครั้งถัดไป” และศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดที่เป็น “ความหวังครั้งใหม่”

วงสนทนานี้ประกอบด้วย ดร.อภิวดี ปิยธรรมรงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมอุตสาหกรรม และสานเครือข่าย สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) ดุจดาว วัฒนปกรณ์ Empathetic Communication and Founder of Empathy Sauce and SOULSMITH และ สกลกรย์ สระกวี ผู้ก่อตั้งและประธาน บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด และกรรมการบริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด โดยประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาและน่าจับตามองที่สุด คือ ความเสี่ยงและภัยคุกคามที่มาพร้อมกับความฉลาดล้ำของ AI ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสังคมและปัจเจกบุคคลในระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

เงาของ AI: อคติที่ถูกสร้างซ้ำและโลกที่ความจริงถูกบิดเบือน

สกลกรย์ ได้เปิดประเด็นที่น่ากังวลอย่างยิ่งว่า เทคโนโลยี AI โดยเฉพาะ Generative AI กำลังทำให้เส้นแบ่งระหว่างความจริงกับสิ่งลวงเลือนรางลงอย่างน่ากลัว “เมื่อก่อนเราเชื่อวิดีโอ แต่ทุกวันนี้วิดีโอเชื่อไม่ได้แล้ว เพราะมันเนียนมาก” เขากล่าวถึงเทคโนโลยี Deepfake ที่สามารถสร้างวิดีโอปลอมได้อย่างแนบเนียน ซึ่งอาจนำไปสู่การหลอกลวงในกลุ่มสแกมเมอร์ หรือแม้กระทั่งการสร้างหลักฐานเท็จโดยกลุ่มผู้ไม่หวังดี

นอกเหนือจากภัยที่มองเห็นได้ชัดเจน AI ยังมีอคติ (Bias) ที่ซ่อนอยู่ในการทำงานของมัน ซึ่งเกิดจากปัจจัยหลัก 2 ประการ ประการแรก คือ อคติจากผู้สอน เนื่องจาก AI เรียนรู้จากข้อมูลที่มนุษย์ป้อนให้ หากผู้สร้างหรือผู้ฝึกฝน AI มีอคติต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น เชื้อชาติ หรือเพศ AI ก็จะแสดงผลลัพธ์ที่สะท้อนอคตินั้นออกมา ประการที่ 2 คือ อคติจากความจริงในอดีต ซึ่ง AI ได้เรียนรู้จากข้อมูลจำนวนมหาศาล ที่อาจมีความเชื่อหรือค่านิยมที่ไม่สอดคล้องกับยุคปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น หากในอดีตมีข้อมูลว่าผู้หญิงเป็นนักวิทยาศาสตร์น้อยกว่าผู้ชาย เมื่อมีคนถาม AI ว่าผู้หญิงควรเรียนอะไร AI ก็อาจจะไม่แนะนำให้เรียนด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการตอกย้ำอคติในอดีตและอาจปิดกั้นโอกาสในอนาคต

ยิ่งไปกว่านั้น AI ยังถูกออกแบบมาให้ “เอาใจ” ผู้ใช้งาน โดยมักจะยกยอและสนับสนุนความคิดของผู้ถาม ทำให้ผู้ใช้งานเกิดความมั่นใจในความคิดของตนเองมากเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่การสร้าง “ห้องเสียงสะท้อน (Echo Chamber)” ที่แต่ละคนจะได้รับข้อมูลที่ตรงกับความเชื่อของตนเองเท่านั้น และท้ายที่สุดอาจนำไปสู่ความขัดแย้งในสังคมที่รุนแรงขึ้น

เมื่อ AI สัมผัสหัวใจ: ความเสี่ยงด้านอารมณ์และบาดแผลทางใจ

นอกเหนือจากภัยด้านข้อมูลที่จับต้องได้ ภัยเงียบที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มีต่อ “จิตใจ” ของมนุษย์อาจเป็นเรื่องที่น่ากังวลยิ่งกว่า โดยเฉพาะเมื่อผู้คนเริ่ม “พึ่งพิง” AI ทางอารมณ์มากขึ้น จนนำไปสู่โศกนาฏกรรมดังเช่นกรณีศึกษาในแคลิฟอร์เนีย ที่ผู้ใช้งานตัดสินใจจบชีวิตตนเองหลังจากการปรึกษา AI ซึ่งเป็นอุทาหรณ์ที่ชัดเจนถึงความร้ายแรงของปัญหานี้ คุณดุจดาวเตือนว่าความเสี่ยงจะเกิดขึ้นเมื่อการพึ่งพิงนั้นมากเกินไป จนกลายเป็นการไว้วางใจในสิ่งที่ไม่มีตัวตนจริงและไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อดูแลจิตใจโดยเฉพาะ

ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะ AI สามารถมอบสิ่งที่มนุษย์โหยหาอย่าง “ความเข้าอกเข้าใจ” ผ่านตัวหนังสือได้อย่างง่ายดาย

ดุจดาวอธิบายว่า “AI สามารถส่งมอบข้อความที่สะท้อนอารมณ์กลับมาได้ว่า เหนื่อยใช่ไหม หรือ ทุกอย่างจะโอเค” ซึ่งการที่ผู้คนตอบสนองต่อสิ่งนี้อย่างลึกซึ้ง สะท้อนความจริงที่น่าสนใจว่า “มันกำลังบอกว่าเราต้องการสิ่งนี้กันเยอะมาก” เป็นการชี้ให้เห็นว่าสังคมปัจจุบันอาจกำลังขาดการเชื่อมต่อและการสนับสนุนทางอารมณ์จากคนรอบข้างอย่างแท้จริง เธอจึงย้ำว่ามนุษย์เรามีศักยภาพที่จะมอบสิ่งเหล่านี้ให้แก่กันได้ เพื่อสร้างสมดุลและไม่ยึดโยงความรู้สึกไว้กับเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว

นิยาม “ความยั่งยืน” ในยุค AI: การปรับตัวคือกุญแจสู่การอยู่รอด

ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ มุมมองต่อ “ความยั่งยืน (Sustainability)” ก็เปลี่ยนไป โดยผู้ร่วมเสวนาได้ให้คำนิยามที่แตกต่างแต่สอดประสานกัน เริ่มจาก ดร.อภิวดี มองว่าความยั่งยืนในบริบทของ AI ต้องพิจารณาจาก 2 มุมหลัก คือ ความยั่งยืนในกระบวนการพัฒนาเทคโนโลยี และ ความยั่งยืนในการใช้งานโดยประชาชนทุกคน

ขณะที่ดุจดาวให้คำนิยามว่า คือ การสอดคล้องพร้อมกัน ที่ไม่ได้หมายถึงการทิ้งสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป แต่เป็นการนำทุกองค์ประกอบมาอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน

อย่างไรก็ตาม สกลกรย์กล่าวว่า นิยามของความยั่งยืนได้เปลี่ยนไปแล้วจากในอดีตที่มักพูดถึงการปกป้องโลกจากมนุษย์ เขามองว่าในปัจจุบันที่โลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปเพราะมี AI เข้ามาเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญ Adaptation หรือ การปรับตัว คือเรื่องใหญ่ที่สุดของ Sustainability ณ ตอนนี้ เขากล่าวว่า จากเดิมที่มีแค่ “เรากับโลก” ตอนนี้กลายเป็น “เรา โลก และเทคโนโลยี” ดังนั้น หัวใจของความยั่งยืนจึงเป็นการปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกันของทั้งสามส่วนนี้ให้ได้

ทางออกและทางรอด: เกราะป้องกันในโลกที่ขับเคลื่อนด้วย AI

เมื่อการปรับตัวคือทางรอด คำถามต่อไปคือ เราจะปรับตัวอย่างไร ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทั้งสามได้เสนอแนวทางที่ต้องทำควบคู่กันไปในหลายมิติ เริ่มจากมิติของ กลไกการกำกับดูแล (Governance) โดย ดร.อภิวดีเปรียบเทียบสถานการณ์ของ AI ในปัจจุบันว่าเหมือนกับยุคที่ “ไฟฟ้า” ถูกคิดค้นขึ้นมาใหม่ ๆ ซึ่งในยุคนั้น ไฟฟ้าเป็นเทคโนโลยีที่ทรงพลังแต่ก็นำมาซึ่งปัญหาไฟไหม้มากมาย เพราะสังคมยังขาดความรู้ความเข้าใจและยังไม่มีกลไกควบคุมการใช้งานที่ปลอดภัย AI ก็เช่นเดียวกัน จึงจำเป็นต้องมีกลไกกำกับดูแลที่เหมาะสม เพื่อให้สังคมสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างเต็มที่และปลอดภัย

ควบคู่ไปกับกลไกภายนอก คือ การสร้างทักษะที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ 2 ทักษะที่สำคัญอย่างยิ่ง ได้แก่ AI Literacy คือความรู้ความเข้าใจพื้นฐานว่า AI คืออะไร ถูกสร้างมาอย่างไร และมีข้อจำกัดอะไรบ้าง ซึ่งเปรียบเสมือนดาบให้เราใช้เครื่องมือนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ Critical Thinking หรือการคิดเชิงวิพากษ์ คือความสามารถในการตั้งคำถามและไม่เชื่อข้อมูลทันที ซึ่งเปรียบเสมือนโล่ที่ใช้ป้องกันตัวเองจากข้อมูลเท็จและอคติของ AI

สกลกรย์เสนอว่า ต้องเกิดการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift) ในระดับโครงสร้าง ทั้งในแวดวงการศึกษาและที่ทำงาน ในด้านการศึกษา ต้องเปลี่ยนจากการสอนให้เด็ก “ตอบคำถาม” มาเป็นการสอนให้ “ตั้งคำถาม” ที่ดีและสร้างสรรค์ เพราะทักษะการตั้งคำถามที่เฉียบคมคือสิ่งที่มนุษย์ยังคงโดดเด่นและเป็นบ่อเกิดของนวัตกรรม ส่วนในด้านการทำงาน เขามองว่าที่ผ่านมาคนไทยมักอยู่ในบทบาทผู้ใช้เทคโนโลยี แต่ AI คือโอกาสสำคัญที่จะเปลี่ยนบทบาทให้เราเป็น “ผู้สร้าง” มากขึ้น โดยกระตุ้นให้คนทำงานยุคใหม่ต้องปรับตัวเป็น “หัวหน้าทีมของ AI” ให้ได้

AI ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศในโลกใบใหม่แล้ว การจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างยั่งยืนนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความฉลาดของ AI แต่ขึ้นอยู่กับ “สติปัญญา” ของมนุษย์ในการเรียนรู้ เท่าทัน ปรับตัว และสร้างเกราะป้องกันให้ตัวเองและสังคม เพื่อควบคุมดาบสองคมเล่มนี้ให้สร้างประโยชน์สูงสุด และบางที ทิศทางในอนาคตอาจไม่ใช่แค่การควบคุม แต่คือการปลูกฝังคุณค่าที่ลึกซึ้งให้แก่ AI

 ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Art for Earth: พลังศิลปะและความหวังเพื่อโลกใบนี้

Qualcomm จับมือ Green IO สร้าง AI Ecosystem ขับเคลื่อนโดยนักพัฒนาไทย

×

Share

ผู้เขียน