ท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ วิกฤติสภาพภูมิอากาศ และปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศ ธนาคารกสิกรไทย (KBank) ประกาศยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญ เดิมพันอนาคตด้วยการ “ไปต่อด้วยกันบนหลักการแห่งความยั่งยืน” พร้อมประกาศอัดฉีดเม็ดเงินสู่เศรษฐกิจสีเขียวครั้งใหม่ เพิ่มเป้าหมายสินเชื่อและการลงทุนเพื่อความยั่งยืนจาก 2 แสนล้านบาท เป็น 4-5 แสนล้านบาทภายในปี 2030 สะท้อนความมุ่งมั่นที่จะเป็นมากกว่าสถาบันการเงิน แต่คือกลไกสำคัญในการนำพาสังคมไทยเปลี่ยนผ่านสู่การเติบโตที่สมดุลและยั่งยืน
จงรัก รัตนเพียร ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย ประเดิมเวทีแถลงข่าวครั้งแรกว่า ธนาคารกสิกรไทยจะไม่จำกัดตัวเองอยู่แค่การเป็นผู้ให้สินเชื่อที่มองธุรกรรมเป็นเพียงการปล่อยเงินและรับดอกเบี้ย แต่จะก้าวไปสู่การเป็นผู้ร่วมสร้างอนาคตที่ยั่งยืน (Co-creator for a Sustainable Future) ที่มองความสำเร็จของลูกค้าและสังคมเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จของธนาคารเอง
แนวคิดนี้ตั้งอยู่บนหลักการที่เรียกว่า “Issue-Based” ซึ่งเป็นการมองภาพรวมของปัญหาต่าง ๆ อย่างครบวงจร โดยยุทธศาสตร์นี้ตั้งอยู่บนเสาหลัก 3 ประการ ประการแรก คือ การเป็นแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ (Trusted Brand) ที่ลูกค้าต้องรู้สึก “สบายใจ” และมั่นใจได้ว่าธนาคารดำเนินงานด้วยหลักธรรมาภิบาลและความซื่อสัตย์
คุณจงรักชี้ว่า จุดแข็งสำคัญของธนาคาร คือพลังของแบรนด์และความเป็นผู้นำตลาดที่สั่งสมมานาน ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจให้แก่ลูกค้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ประการที่สองคือ การสร้างองค์กรที่พร้อมรับมือและปรับตัว (Resilient Organization) ให้มีความทนทานต่อความผันผวนทุกรูปแบบ ผ่านการบริหารความเสี่ยงรอบด้าน การพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง และการยกระดับขีดความสามารถของบุคลากร
และเสาหลักประการสุดท้ายคือ การสร้างการเติบโตที่ครอบคลุมและเท่าเทียม (Inclusive Growth) ซึ่งธนาคารจะดึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดให้ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกัน ผ่านการส่งมอบองค์ความรู้ ยกระดับคุณภาพชีวิต และสร้างโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างเท่าเทียม
“หากเราไม่ทำอะไรเลย และอุณหภูมิโลกสูงขึ้น 2.6 องศาเซลเซียสภายในปี 2050 GDP ของไทยจะหายไปถึง 4% ขณะที่ GDP ของโลกจะหายไป 14% นี่คือผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงและเป็นความท้าทายที่เราต้องร่วมกันแก้ไข” คุณจงรัก กล่าว
เดินหน้าทั้งให้เงินและให้ความรู้
เพื่อให้ยุทธศาสตร์ดังกล่าวเกิดผลเป็นรูปธรรม กสิกรไทยได้เดินเครื่องเต็มกำลังผ่าน 2 กลไกหลักที่ทำงานสอดประสานกัน คือ การอัดฉีดเม็ดเงิน (Sustainable Financing) และ การมอบองค์ความรู้ (Empowerment)
ในด้านการสนับสนุนทางการเงินซึ่งเป็นพลังขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจสีเขียว ธนาคารได้ตั้งเป้าหมายใหม่ที่ท้าทายด้วยการขยับวงเงินสินเชื่อและการลงทุนเพื่อความยั่งยืนจากเดิม 2 แสนล้านบาท ไปสู่ 4-5 แสนล้านบาท ภายในปี 2030 เป้าหมายดังกล่าวเป็นการนับยอดสินเชื่อใหม่ (New Loan) ที่จะปล่อยจนถึงปีดังกล่าว ซึ่งหากเทียบกับพอร์ตสินเชื่อรวมในปัจจุบัน จะคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงประมาณ 20% สะท้อนถึงขนาดและความสำคัญของยุทธศาสตร์นี้อย่างยิ่ง
โดยคุณจงรักย้ำว่าตัวเลข 4-5 แสนล้านบาทนี้ เป็นเป้าหมายแรกที่ธนาคารมั่นใจว่าจะทำได้อย่างแน่นอน และมีความมุ่งมั่นที่จะขยับเป้าหมายให้สูงขึ้นไปอีกในอนาคต ตามความพร้อมของลูกค้าและระบบเศรษฐกิจโดยรวม
นโยบายสำคัญคือ การประเมินความเสี่ยงด้าน ESG ครบ 100% สำหรับการอนุมัติสินเชื่อของกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ (Corporate) ส่วนกลุ่มลูกค้า SME นั้น ธนาคารจะใช้แนวทางแบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากเข้าใจดีว่าผู้ประกอบการรายย่อยต้องใช้เวลาและมีต้นทุนในการปรับตัว ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางสากลที่ให้ธุรกิจขนาดใหญ่ซึ่งเป็นต้นทางของซัพพลายเชนเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงก่อน
ขณะเดียวกัน ในด้านการสร้างองค์ความรู้และเครื่องมือซึ่งเปรียบเสมือนเกราะป้องกันและเข็มทิศสู่อนาคต ธนาคารได้ส่งมอบความช่วยเหลือในหลากหลายมิติ ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมคือ โครงการ “สติ” ที่สร้างภูมิคุ้มกันภัยไซเบอร์ให้ประชาชนไปแล้วถึง 44 ล้านคน
ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) ทำหน้าที่เป็นคลังสมองเผยแพร่บทวิเคราะห์เศรษฐกิจและเทรนด์ธุรกิจเข้าถึงผู้อ่านกว่า 6.58 ล้านคน ควบคู่ไปกับ K-Wealth ที่เผยแพร่ความรู้ด้านการเงินจนมียอดเข้าชม 8 ล้านเพจวิว
นอกจากนี้ ธนาคารยังสนับสนุนผู้ประกอบการ SME อย่างต่อเนื่องผ่าน K SME และ SkillLane ซึ่งมีผู้ลงทะเบียนเรียนรู้แล้วกว่า 8,000 คน และยังมีทีมที่ปรึกษาผ่านโครงการ Catalyst เพื่อช่วยเหลือธุรกิจในการเปลี่ยนผ่านที่ซับซ้อน เช่น การทำบัญชีคาร์บอนอีกด้วย
พิสูจน์ด้วยการกระทำ: เริ่มต้นที่ “บ้านของตัวเอง“
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและยืนยันในความมุ่งมั่นต่อหลักการแห่งความยั่งยืน กสิกรไทยไม่ได้เพียงแค่กำหนดนโยบายสำหรับภายนอก แต่ได้ลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังกับสิ่งที่ควบคุมได้เอง นั่นคือการดำเนินงานภายในองค์กรของตนเอง เพื่อเป็นต้นแบบและพิสูจน์ว่าการเปลี่ยนผ่านสู่องค์กรสีเขียวนั้นสามารถเกิดขึ้นได้จริง
ธนาคารได้ลงมือทำอย่างเป็นรูปธรรม เริ่มตั้งแต่การทยอยเปลี่ยนกลุ่มรถยนต์ที่ใช้ในการดำเนินงานกว่า 350 คันให้เป็น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั้งหมด 100% ควบคู่ไปกับการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนอาคารสำนักงานหลักและสาขาทั่วประเทศเพื่อ เปลี่ยนสู่พลังงานสะอาด 100%
แม้ในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ธนาคารได้นำร่องโครงการ “Zero Waste to Landfill” ที่อาคารหลัก 2 แห่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การลงมือทำอย่างจริงจังนี้ ไม่ใช่แค่การสร้างภาพลักษณ์ แต่ได้สร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ โดยสามารถ ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานของธนาคารโดยตรงไปแล้วถึง 17% ซึ่งเป็นการสร้างรากฐานที่มั่นคงและเป็นเครื่องยืนยันความจริงใจ ก่อนที่จะนำพาพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าไปสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมในวงกว้างต่อไป
การแถลงยุทธศาสตร์ครั้งนี้คือภาพที่ชัดเจนว่า กสิกรไทยกำลังก้าวไปไกลกว่าบทบาทธนาคารแบบดั้งเดิม โดยวางตำแหน่งตัวเองเป็น “ผู้นำการเปลี่ยนแปลง” ที่พร้อมจะใช้ทั้งทรัพยากรทางการเงิน องค์ความรู้ และเครือข่ายที่แข็งแกร่ง เพื่อนำพาประเทศไทยเปลี่ยนจากภาพ “โลกร้อนสีแดง” ไปสู่ภาพ “โลกยั่งยืนสีเขียว” ที่มีทั้งตึกสูง ท้องฟ้าใส พลังงานสะอาด และธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งทุกคนสามารถเติบโตไปด้วยกันได้อย่างแท้จริง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
คาร์บอนเครดิตป่าชุมชน: โมเดลสร้างรายได้ พลิกชีวิตสู่ความยั่งยืน
SX2025: มหกรรมความยั่งยืนใหญ่สุดในอาเซียน ปรับตัวสู้วิกฤติโลกรวน




