อุตสาหกรรมพลังงานเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก เมื่อทั่วโลกมุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสนับสนุุนการใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น ทำให้บริษัทชั้นนำด้านธุรกิจพลังงานทดแทนครบวงจรและระบบไฟฟ้าอย่างบริษัท กันกุล เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตัวเองครั้งใหญ่ กระทั่งมอบหมายให้คน Gen Y ก้าวขึ้นมาชูธงนำองค์กรที่มีอายุกว่า 43 ปี ฟันฝ่าไปสู่ธุรกิจยุคใหม่
นุก-นฤชล ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL ทายาทรุ่นที่ 2 ผู้มีพื้นฐานการศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ ด้านบริหารธุรกิจ (MBA) และเคยมีประสบการณ์ผ่านงาน investment banker ก่อนเข้ามาทำงานกับกันกุลเป็นเวลา 15 ปี จนรับไม้ต่อในฐานะผู้บริหารเบอร์หนึ่งตั้งแต่เมื่อต้นปี 2568
โดยสิ่งที่เธอทำเป็นอย่างแรก คือ การปรับวิสัยทัศน์ใหม่เป็น The most recognized partner in inclusive green energy and infrastructure across Asia หรือการเป็นพาร์ตเนอร์ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในด้านพลังงานสีเขียวและโครงสร้างพื้นฐานทั่วทั้งเอเชีย
“วิชั่นเดิมเราอยากเป็น leading company แต่วันนี้เราปรับ mindset และสื่อสารกับทั้งภายนอกและภายในองค์กรว่า เราอยากเป็นพาร์ทเนอร์คนสำคัญที่ช่วยสร้าง impact ให้กับลูกค้าของเราหรือคู่ค้าของเรา ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ยุคของพลังงานสะอาด หรือในเรื่องไปสู่เป้าหมาย Net Zero ของเขา“
ในการสนทนากับ The Story Thailand เธอบอกว่า “นี่เป็นภาพใหม่จริง ๆ ไม่ได้เป็นแค่การ re-wording อะไร”
ปรับตัวรับมือการเปลี่ยนแปลงใหญ่
ท่ามกลางความท้าทายจากระบบนิเวศทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป คุณนฤชลบอกว่า ทำให้กลุ่มธุรกิจกันกุลจำเป็นต้องปรับโฟกัสจาก renewable energy เป็น inclusive green energy and infrastructure
“เรื่องพลังงานหมุนเวียนเป็นสิ่งที่เราถนัดอยู่แล้วคือแดดกับลมเป็นหลัก แต่วันนี้เรามาเป็น inclusive green energy ซึ่งหมายความว่าจะเป็นพลังงานสีเขียวอะไรก็ได้ที่ on top จากพลังงานหมุนเวียนที่สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือลดการปล่อยคาร์บอนได้ เช่น เทคโนโลยี SMR หรือไฮโดรเจนที่อยู่ใน pipeline ที่เราจะศึกษาแล้วก็ติดตามว่ามีอะไรที่จะสามารถนำเข้ามาสู่ตลาดของประเทศไทยได้ ตรงนี้เป็นสโคปที่ใหญ่ขึ้น”
ส่วนเรื่อง infrastructure เธอให้ข้อมูลว่า ทุกวันนี้โรงไฟฟ้าที่มีอยู่ทั่วประเทศก็ยังต้องพัฒนาระบบสายส่ง สายจำหน่าย โดยเป็นหน้าที่ของภาครัฐในการลงทุน ซึ่งเป็นอีกธุรกิจหนึ่งของกันกุลที่สามารถมอบโซลูชันเรื่องการติดตั้งระบบไฟฟ้าและโครงข่ายไฟฟ้าให้กับทั้งภาครัฐและเอกชน
“แน่นอนว่าเรื่องพลังงานสะอาดเรายังโฟกัสอยู่ในส่วนที่เราถนัด ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโครงการพลังงานสะอาดแดดและลม แต่ในส่วนที่เราจะต่อยอด ก็มองอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่เรามั่นใจว่าเป็นสิ่งที่เราถนัด และสามารถสร้าง competitive advantage ในจุดนั้นได้ หนึ่งในนั้นก็คืออุตสาหกรรม Data Center ซึ่งเป็นเทรนด์ที่เห็นว่าประเทศไทยต้องคว้าโอกาสนี้ไว้เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เราอยากเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันเพื่อสนับสนุนภาครัฐในการดึงดูด tech giant เข้ามาในประเทศ แล้วขยายโอกาสให้เกิดขึ้นได้มากที่สุด”
อีกส่วนหนึ่งก็คือ across Asia หรือการลงทุนไปยังประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย โดยเป็นเป้าหมายใหญ่ที่ต้องการยกระดับกลุ่มธุรกิจกันกุลให้มีความเป็นสากลมากขึ้น
“ไม่ว่าจะเป็นศักยภาพพนักงาน ระบบโอเปอเรชัน เราอยากจะทำให้มี productivity ดีขึ้น lean ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นงานในประเทศหรือออกไปปักหมุดลงทุนในต่างประเทศ เราอยากยกระดับให้มีความเป็นสากลมากยิ่งขึ้น”
คุณนฤชลให้มุมมองว่า ธุรกิจพลังงานเป็นธุรกิจที่เติบโต แต่สิ่งที่จะเติบโตไม่แพ้กัน คือ คู่แข่ง
“การที่เรามาก่อนกาล ไม่ใช่ว่าเราจะอยู่อย่างนั้นได้ตลอดไป เพราะฉะนั้นเราต้องมีโซลูชันที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าด้วย cost structure ที่ดีที่สุดและคุณภาพที่เหมาะสมที่สุด จึงจำเป็นต้อง lean ทั้งโอเปอเรชันเลยเพราะว่าสภาพการแข่งขันเปลี่ยนแปลงไป เทคโนโลยีต่างๆ ความไม่แน่นอนต่างๆ เข้ามาเยอะ ดังนั้นเราต้องปรับตัว ทำให้เรามีความสามารถในการแข่งขันได้ดีที่สุด”
โซลูชันหนึ่งที่เป็นกลยุทธ์ของกันกุลในเรื่องการเพิ่มผลิตภาพ (productivity) หรือการลดต้นทุน คือการทำ resource management อาทิ การใช้ทรัพยากรต่าง ๆ อย่างคุ้มค่า ลดโอเปอเรชันที่ไม่จำเป็น ลดกระบวนการที่ไม่ใช่ ใช้จ่ายกับสิ่งที่มี value add on
ตัวอย่างเช่น การใช้แพลตฟอร์ม Energy ซึ่งเป็นระบบบริหารการจัดการพลังงานแบบอัตโนมัติที่พัฒนาเองภายในบริษัท โดยใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ สำหรับติดตาม ควบคุม และทำบิลลิ่งแบบอัตโนมัติ เข้ามาดูแลกระบวนการทั้งหมดแทนการใช้คนจำนวนมากเหมือนอดีต ทำให้เพิ่มผลิตภาพและเพิ่มการเติบโตของรายได้
ในกรณีนี้กันกุลยังได้ริเริ่มนำเทคโนโลยี AI มาคาดการณ์ข้อมูลต่าง ๆ เป็นต้นว่า ควรเปลี่ยนอุปกรณ์ตัวไหนเมื่อสัญญาณไหนเกิด ควรจะเปลี่ยนอุปกรณ์อะไรเพื่อลด down time ทำให้ระบบสามารถจ่ายไฟได้มากที่สุด หรือช่วงไหนเจ้าหน้าที่ควรจะเข้าไปเซอร์วิส
“โรงไฟฟ้าของเรามีกระจายอยู่ทั่วประเทศ เป็นไซส์ขนาดเล็กอย่าง CJ Express ก็มี หรือตามบ้านเรือนก็มี การที่เราจะใช้คนตามจำนวนไซส์เป็นการสิ้นเปลือง แต่จะ scale up แบบไหนที่ทำให้มั่นใจว่าเรา maximize benefit จากโรงไฟฟ้าของเราได้มากที่สุด ลด down time ได้มากที่สุด มี productivity ดีที่สุด โดยใช้คนให้น้อยที่สุด นอกจากทำให้ cost structure ดีขึ้น แน่นอนว่ายังลดการปล่อยก๊าซเพราะเราตัดกระบวนการต่างๆ ที่ไม่จำเป็นออกไป ตรงนี้เป็นส่วนที่เราอยากทรานส์ฟอร์มให้มันเกิดขึ้น และสนับสนุนในภาพใหญ่ของทั้งประเทศด้วย”
เปลี่ยน mindset เพื่อเปิดรับโอกาสใหม่ ๆ
คุณนฤชลเล่าว่า ก่อนหน้านี้การทำโครงการพลังงานสะอาดมักเป็นสเกลใหญ่ที่ทำงานให้กับภาครัฐ ดังนั้น บริษัทพลังงานอย่างกันกุลจะไม่คุ้นเคยในเรื่องการดูแลลูกค้า แต่ในวันนี้ตลาดมีความต้องการใหม่ ๆ เกิดขึ้น ทำให้ทีมงานต้องเปลี่ยน mindset ในการทำงานกับลูกค้า
“เราเคยถนัดกับการทำโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ แต่วันนี้ไม่ใช่แล้ว เรายังต้องซัพพอร์ตนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามา อีกทั้งตลาดบ้านพักอาศัยและตลาดรีเทล ซึ่งต้องบอกว่าแต่ก่อนพวกเราไม่ได้ถนัดกับการติดตั้งตามบ้าน ติดตั้งตามครัวเรือน เพราะฉะนั้นมันเป็น mindset ใหม่ที่เราต้องทรานส์ฟอร์ม ไม่อย่างนั้นโอกาสใหม่ ๆ ที่เข้ามา เราจะไม่สามารถ capture ตรงนั้นได้”
กล่าวได้ว่า บริการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปแบบ one-stop-service ในนาม GRoof เพื่อทำให้พื้นที่หลังคาบ้านหรือสถานประกอบการต่าง ๆ กลายเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าใช้เอง โดยเธอเป็นผู้ริเริ่มขึ้นเมื่อปี 2561 เป็นการปรับ mindset เพื่อชยายบทบาททางธุรกิจสู่ตลาดใหม่ในรูปแบบ B2C ผ่านการร่วมมือกับพันธมิตรต่าง ๆ ในหลายรูปแบบ จนวันนี้มีการติดตั้งไปแล้วราว 2,000 โลเคชัน
“ตอนจะทำ GRoof พนักงานที่ทำสเกลใหญ่ไม่มีใครอยากจะทำสักคน เพราะจากที่เคยทำงานมูลค่าหลายสิบล้าน หลายร้อยล้าน มาทำงานหลักแสนกว่าบาท ทั้งโอเปอเรชัน ทั้งทีมเซลล์ ไม่มีใครอยากทำเลย แค่บัญชีก็ไม่อยากจะเปิด invoice แล้ว เราก็ต้องหาคนใหม่ที่มี mindset อยากทำจริง ๆ”
ซีอีโอกันกุลยังฉายให้เห็นภาพว่า พลังงานโซล่าเซลล์ทำให้คนใช้พลังงานในวันนี้มีหลายบทบาท ตั้งแต่เป็นผู้ผลิต กักเก็บ และในอนาคตอันใกล้จะขายได้ด้วย
“ทำให้บริบทของผู้ใช้ไฟฟ้ามี activity มากขึ้น ถ้ามองภาพต่อไปในอนาคตเราจะมีแหล่งผลิตไฟฟ้ากระจายเต็มไปหมด ไม่ใช่ของภาครัฐอย่างเดียว แต่ของทุกคนแม้กระทั่งตามบ้านเรือน เป้าหมายของเราคือจะ utilize asset นี้ของประเทศให้ดีที่สุด ดังนั้นเราอยากให้พาร์ทเนอร์คิดถึงเราเป็นอันดับแรกเมื่อเขามีโจทย์เรื่องพลังงาน เราอยากเป็น top of mind ของเขา ที่เขารู้สึกเชื่อใจ ไว้ใจ แล้วก็สบายใจที่มีเราเป็นพาร์ทเนอร์ในการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายของเขา”
เธอชี้ให้เห็นว่า แม้วันนี้ลูกค้าที่ติดตั้งโซลาร์เซลล์จะใช้ได้เท่านั้น ยังไม่สามารถนำไปขายได้ทั้งที่มีไฟฟ้าเหลือ แต่ในอนาคตอันใกล้ทุกพื้นที่ที่ติดตั้งโซลาร์เซลล์จะสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้ามาในสายส่งไฟฟ้า แล้วภาครัฐทำหน้าที่กระจายออกไปสู่ผู้ใช้ปลายทาง ดังนั้น business model ของกันกุล นอกจากการลงทุนในโรงไฟฟ้า ต่อไปจะต้องลงทุนในการเป็นผู้ให้บริการที่จะมีรายได้จากการเป็นแพลตฟอร์มกลางให้กับลูกค้า
“สิ่งที่ลูกค้าต้องการคือความโปร่งใส ความชัดเจน และเขาก็ต้องมั่นใจว่าแพลตฟอร์มของเราสามารถสร้างโอกาสจากโรงไฟฟ้าที่บ้านของเขาได้เต็มที่ มันเป็นการทรานส์ฟอร์ม mindset ที่ต้องมาจากทั้งภายในองค์กรเราเพื่อจะตอบรับตลาดที่มันค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป”
ตลาด Data Center คือ New S-Curve
“ส่วนการลงทุนที่มาจากต่างประเทศ เราได้คุยกับหลายราย อย่างพวก Data Center ซึ่งประเทศไทยเราแข่งกับเวียดนามและอินโดนีเซีย เรามีแต้มต่อมากกว่า 2 ประเทศนั้น ถ้าเราทำ road map เรื่องพลังงานได้ดีและตอบโจทย์เขา เราก็จะเห็น flow ของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามา แล้วอยากจะให้เราช่วยซัพพอร์ต ไม่ว่าจะเป็นแบบ co-investment กับเขาในเรื่องของ local content เพราะเขาอยากสร้างความมั่นใจว่ามี local partner ที่เขาไว้วางใจได้ในการดูแลเขา และช่วยขยายฐานของเขาได้”
ซึ่งกันกุลจะมีบทบาทซัพพอร์ตในหลายด้าน ตั้งแต่การพัฒนา infrastructure ทั้งสถานีไฟฟ้า สายส่งไฟฟ้า ระบบสื่อสาร เพราะ Data Center ที่เข้ามาในวันนี้อยู่ในช่วงก่อสร้างทั้งหมด หรือเรื่องหาพลังงานสีเขียว แต่ยังต้องรอไฟเขียนนโยบายการซื้อขายไฟฟ้าพลังงานสะอาดในรููปแบบสัญญาซื้อขายโดยตรงกับผู้ผลิตพลังงาน หรือ Direct PPA (Direct Power Purchase Agreement) เสียก่อน
“ส่วนใหญ่จะเป็นนักลงทุนที่สนใจมาสร้างธุรกิจในประเทศไทย ก็ให้เราช่วยในเรื่องต่าง ๆ มีทั้งงานก่อสร้าง หาพลังงานสะอาด หรือให้เราช่วยหาสถานที่ด้วย พวก Data Center ต้องการที่ตั้งที่อยู่ใกล้เมือง เราจะพาไปดูว่ามีโลเคชันไหนบ้าง บางรายบอกว่าอยากได้พลังงานสะอาด เรามีที่ดินที่เตรียมไว้สำหรับ Direct PPA ประมาณกว่า 1,000 เมกะวัตต์ ก็แนะนำให้ตั้ง Data Center ใกล้ที่ดินของเราเลยก็ได้”
ทั้งนี้ Direct PPA เป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยของธุรกิจต่างประเทศ ซึ่งต้องการใช้พลังงานสะอาด จึงให้ความสำคัญกับประเด็นที่่ประเทศไทยมีพลังงานสะอาดให้ใช้เพียงพอหรือไม่่ กรณีที่กันกุลร่วมกับบริษัท มูราตะ อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำของญี่ปุ่น ลงทุนโครงการโซลาร์ฟาร์มขนาด 7,086.20 กิโลวัตต์ เป็นตัวอย่างหนึ่งของการสนับสนุนให้พาร์ทเนอร์บรรลุเป้าหมาย
“จะเห็นว่าวันนี้เรามี MOU กับมูราตะฯ และจะมีอีกหลายรายที่เราทยอยทำ MOU ในฝั่ง off-taker ส่วนอีกฝั่งเราก็เตรียมพื้นที่ทั้งพลังงานแดดและพลังงานลมกระจายอยู่ทั่วประเทศ เมื่อไหร่ที่ Direct PPA ประกาศออกมาเราก็สามารถเชื่อมต่อ 2 จุดนี้เข้าด้วยกัน แล้วขายไฟฟ้าให้กับนักลงทุนต่างชาติได้”
คุณนฤชลบอกว่า ในการเป็นพาร์ตเนอร์กับมูราตะ อิเล็กทรอนิกส์ กันกุลจะทำหน้าที่ให้คำปรึกษาและดูแลเรื่องการไปถึงเป้าหมายการใช้พลังงานสะอาด 100 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2035
“นอกจากติดโซลาร์เซลล์เต็มโรงงาน ยังดูว่าสามารถทำอะไรได้อีก ถ้าจะทำมีช่องไหนบ้าง ถ้าต้อง Direct PPA เขาต้องเตรียมอะไร ถ้ามีลูกค้า Data Center เข้ามา เราก็จะถามว่าเขาอยากให้เราช่วยอะไร เรามี facility ที่จะช่วยเขาได้ในเรื่องโรงไฟฟ้า เรื่องสายส่ง เรื่องพลังงานสีเขียว เรื่อง local content ต่างๆ ซึ่งแต่ละเคสต้องการให้เราช่วยแตกต่างกัน”
เธอมองว่า ตลาด Data Center จะช่วยทำให้ประเทศไทยมีโอกาสเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจดิจิทัลแห่งภูมิภาคในอนาคต จากการมีแต้มต่อหลายเรื่องเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะจุดเด่นในเรื่องเสถียรภาพพลังงานไฟฟ้า
“บ้านเราไฟดับน้อยกว่าเขา recover กลับมาได้ดีกว่าเขา และมีไฟฟ้าสำรองมาก แม้วันนี้จะมีการพูดกันว่าไฟฟ้าสำรองทำให้ค่าไฟแพง แต่เรื่องนี้เราสามารถดึงมาเป็นจุดแข็งได้ เพราะวันนี้สิงคโปร์บอกว่าเขาไม่รับแล้ว สาเหตุว่า Data Center ใช้ไฟฟ้าถึง 5 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด แล้วเขาขยายไม่ได้เพราะไม่มีพื้นที่ มาเลเซียก็บอกว่าเขาต้องพัฒนาโรงไฟฟ้าใหม่ ค่าไฟเขาเริ่มแพงแล้ว ขณะที่ของไทยมีไฟฟ้าสำรองเหลือ แปลว่าถ้า Data Center เข้ามาจะสามารถ absorb ไฟฟ้าตรงนี้ได้เลย ทำให้เกิด balance ส่งผลให้ค่าไฟของเราลงมาได้”
เธอบอกว่าจากข้อมูลของการไฟฟ้าฯ วันนี้มีความต้องการไฟฟ้าที่ยืนยันแล้ว 4,000 เมกะวัตต์ และยังมีที่อยู่ในรายการรอเจรจาอีก 6,000 เมกะวัตต์ แสดงว่ามีความต้องการไฟฟ้าระดับ 10,000 เมกะวัตต์ ดังนั้นถึงวันที่ต่างชาติเข้ามาลงทุนจะสามารถมา absorb ไฟฟ้าส่วนเกินนี้ได้
“ดูจากตัว reserve margin ที่ทางภาครัฐบอกเมื่อสิ้นปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ แปลว่าวันนี้เรามี dependable capacity คือโรงไฟฟ้าที่เราพึ่งพาได้ประมาณ 40,000 เมกะวัตต์ เรามีพีคประมาณ 34,000 เมกะวัตต์ ของปีนี้ แสดงว่ามีช่องว่างอีกไม่ถึง 10,000 เมกะวัตต์ ถ้าโหลดของ Data Center เข้ามา ตรงนี้แทบจะ recover แล้ว”
ดังนั้นความกังวลเรื่องไฟฟ้าสำรองที่มีมากจะกลายเป็นจุดแข็งที่ดึงให้นักลงทุนมาช่วยใช้ไฟฟ้าบ้านเรา แต่เราต้องมี road map เรื่องพลังงานสะอาดให้กับเขา เพราะโรงไฟฟ้าแก๊สที่มีอยู่สามารถเป็นตัวเติมได้ ทำให้เราสามารถเพิ่มพลังงานสะอาดเข้าไปด้วยราคาซื้อขายที่น่าสนใจ
“เราไม่ต้องการเป็นประเทศที่ค่าไฟถูกที่สุด แต่เราต้องมีเสถียรภาพ มีพลังงานสะอาดที่มากพอ และมีราคาที่แข่งขันได้”
CEO กันกุลบอกว่า ถ้าเรื่อง Direct PPA ออกมาภายในปี 2568 จะมีผลช่วยเปิดรับทั้ง Data Center และผู้ประกอบการยักษ์ใหญ่ที่มีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย จึงต้องขับเคลื่อนให้เป็นรูปธรรมได้จริง ๆ
“เมื่อไรนโยบาย Direct PPA ออกมา หลายคนที่กังวลหรือกำลังตัดสินใจอยู่ เขาจะไม่กังวลเรื่องนี้แล้ว เพราะเรามีความพร้อมในหลายๆ เรื่อง รวมถึงการตอบโจทย์เรื่องพลังงานสะอาดให้กับเขาด้วย วันนี้เราอยู่ในจุดที่มีแต้มต่อ แต่เราต้องการ road map ที่ชัดเจน ถ้าเราปล่อยเวลาผ่านไป คนอื่นอาจจะมา recover แล้วแก้ไขทัน และดึง investment flow ตรงนั้นไปได้ เพราะฉะนั้นเราห้ามชะล่าใจ”
จากภาพรวมดังที่กล่าวมา ทำให้เธอมั่นใจว่า Data Center จะเป็นหนึ่งใน New S-Curve ของกันกุล ซึ่งตั้งเป้าไว้ว่าพอร์ตรายได้จาก New S-Curve จะมีสัดส่วนประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ ภายในเวลา 3 ปีนับจากปี 2568
แผนพลังงานสะอาดของไทยไปถึงไหน
“ภาครัฐเข้าใจแล้วว่าประเทศไทยต้องมุ่งสู่พลังงานสะอาด จากปัจจุบัน portfolio พลังงานสะอาดของไทยอยู่ที่ประมาณ 22 เปอร์เซ็นต์ ตาม PDP 2024 ไทยจะต้องทรานส์ฟอร์มเป็น 51 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2580 ถามว่าเพียงพอในการเข้าเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2608 หรือไม่ เรื่องนี้ทาง Bloomberg ทำวิเคราะห์ละเอียดเลยว่าการที่ไทยจะไปถึงเป้า Net Zero ต้องมีพลังงานสะอาดในพอร์ต 77 เปอร์เซ็นต์ แสดงว่าเรายังต้องเติมไปมากกว่านั้นอีก”
แต่เวลานี้ร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ พ.ศ. 2567- 2580 หรือ PDP 2024 ยังไม่ได้รับการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เนื่องมาจากกระทรวงพลังงานไม่สามารถกำหนดสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนได้อย่างชัดเจน เพราะมีการตรวจสอบทบทวนโครงการรับซื้อไฟฟ้าสีเขียวเฟส 2 ส่งผลให้ กพช. มีมติให้ชะลอการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ไว้ก่อน ในฐานะผู้ประกอบการด้านพลังงานสะอาด เธอสะท้อนมุมมองต่อเรื่องนี้ว่า
“ภาพนโยบาย PDP ต้องออกมาให้ชัด หรือ Direct PPA จะออกเมื่อไหร่ อะไรมาก่อนหลังต้องทำให้ชัดเจนและสื่อสารออกไป เพราะกำลังจะมีการประชุม COP30 หรือการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 30 ในเดือนพฤศจิกายน 2568 เราต้องหาจังหวะใช้พื้นที่นี้ไปบอกว่าเรามีความพร้อม แล้วดึงความสนใจให้มาประเทศไทย”
แบตเตอรี่จะเปลี่ยนเกมธุรกิจผลิตไฟฟ้า
“แต่ก่อนเวลาจะสร้างโรงไฟฟ้าโรงหนึ่ง เราดูว่าเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม มีการใช้สูงสุดที่เท่าไหร่ แล้วบวก add on ขึ้นไป เพราะแบตเตอรี่แพงมาก ไม่สามารถจะเก็บไฟได้ ถ้าเราเจอพีคในช่วงไหนของประเทศ ก็สร้างโรงไฟฟ้าไป on top แต่ในอนาคตแบตเตอรี่จะเป็นตัวชะลอการสร้างโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ เพราะมันจะเหมือนฟองน้ำที่มาซับแล้วก็ balance ระหว่างดีมานด์และซัพพลายได้”
คุณนฤชลบอกกับเราว่า Bloomberg มีการศึกษาว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันเรื่องทำปั๊มไฮโดรสตอเรจ (pumped hydro storage) เก็บพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานทดแทนของ กฟผ. ที่สามารถกักเก็บขนาดใหญ่ได้ในต้นทุนที่ดี
“นอกจากมีปั๊มไฮโดรสตอเรจ มีแบตเตอรี่แล้ว Bloomberg เขาประเมินว่าเอาโซลาร์สเกลขนาดใหญ่บวกด้วยแบตเตอรี่ 4 ชั่วโมง ต้นทุนค่าไฟจะเอาชนะโรงแก๊สแบบ Combined Cycle Gas Turbine ที่ไซส์ซิ่งเท่าไหร่ ก็คือเป็น utility scale อาจจะเป็นสเกลใหญ่ 50 เมกะวัตต์ 60 เมกะวัตต์ หรือ 70 เมกะวัตต์ เพราะฉะนั้นวันนี้มันเอาชนะแหล่งพลังงานจากฟอสซิลแล้ว อีก 5 ปีราคาน่าจะลงไปอีก 30-50 เปอร์เซ็นต์”
ดังนั้นในอนาคตเราอาจจะได้เห็นว่าแบตเตอรี่เป็นตัว balance ไฟฟ้าของทั้งประเทศ คือช่วงไหนไฟเกิน แบตเตอรี่ก็รับไว้ ช่วงไหนไฟขาดแบตเตอรี่ก็จ่ายออก เป็นการเสริมความมั่นคงที่สามารถทำได้แล้ว
ทว่าเรื่องนี้ภาครัฐต้องลงทุนก่อน นอกจากมีสายส่งแล้ว ต้องมีแบตเตอรี่เข้ามาช่วยซัพพอร์ตเพิ่มมากขึ้น ซึ่งกันกุลสามารถเป็นทั้งผู้ลงทุนและผู้รับก่อสร้างเพราะมีความร่วมมือกับ Sungrow บริษัทสัญชาติจีนที่เป็นเบอร์หนึ่งของโลกด้านผลิตอินเวอร์เตอร์พลังงานแสงอาทิตย์ และมีแบตเตอรี่โซลูชันด้วย
“ย้อนกลับไปประเด็น Data Center ที่หลายคนอาจมองว่าสิงคโปร์ไม่เอาแล้ว เราไปรับภาระมาหรือเปล่า ความจริงบริบทไม่เหมือนกัน สิงคโปร์ไม่มีพื้นที่ในการทำโรงไฟฟ้าเพิ่มแล้ว แต่เรามีไฟฟ้าที่พร้อมจะจ่ายให้ ส่วนที่กังวลเรื่องพลังงานสีเขียวไม่เพียงพอ ที่จริงเรามีเพียงพอ ซึ่งในกรอบการลงทุน 5 ปี (ปี 2568-2572) ของ กฟผ. โรงไฟฟ้าใหม่ที่เป็นโรงแก๊สยังไม่จำเป็นต้องขึ้น เราเติมพลังงานสะอาดและแบตเตอรี่เข้าไป มันก็จะเป็นการ balance แต่ถ้ามี Data Center เข้ามามากจนเราต้องสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ สถานการณ์นั้นอีก 5 ปีค่อยมาพิจารณากันใหม่”
ภาพอนาคตของธุรกิจพลังงานสะอาด
CEO สาวของกันกุลกล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทดำเนินการธุรกิจพลังงานโดยคำนึงถึงการสร้างความสมดุลระหว่างความมั่นคงทางพลังงาน (security) ราคาที่เข้าถึงได้ (affordability) และ ความยั่งยืน (sustainability)
“นี่เป็นเส้นทางที่กันกุลกำลังมุ่งไป คือ พลังงานสะอาดจะมาช่วยลดเรื่องค่าไฟได้ ส่วนเรื่องเสถียรภาพเราสามารถตอบโจทย์ได้ด้วยแบตเตอรี่ และแน่นอนว่าการใช้พลังงานสะอาดจะตอบโจทย์ในเรื่องความยั่งยืน พวกเราเห็นว่า 3 เรื่องนี้ไปด้วยกันเลย และหวังว่าในอนาคตมันจะไปถึงจุดที่เราไม่จำเป็นต้องลงทุนในโรงไฟฟ้าก็ได้ แต่เราบริหารจัดการรีซอร์สของลูกค้าทั้งหมดบนแพลตฟอร์ม และช่วยประเทศในการ balance โหลดได้ นุกเชื่อว่ามันจะไปถึงจุดนั้นแน่นอน แต่จะต้องอาศัยการพัฒนา infrastructure ของรัฐ รวมถึงการอัปเกรดระบบให้เป็น Smart Grid มากขึ้น จึงจะไปถึงตรงนั้นได้”
เธอเชื่อว่าธุรกิจไฟฟ้าในอนาคตจะเป็นตลาดแบบเสรี (liberalized market) ที่นำกลไกตลาดมาใช้ ไม่มีการควบคุมจากรัฐแบบปัจจุบัน แต่เป็นการซื้อขายบนพื้นฐานดีมานด์และซัพพลายจริง และเกิดการบริการใหม่ที่เราอาจจะไม่คุ้นเคยมาก่อน อย่างเช่นมีการติดตั้งแบตเตอรี่อย่างเดียว ไม่ต้องมีโรงไฟฟ้า แต่ทำหน้าที่เป็น ancillary service คือเป็นหน่วยงานซัพพอร์ตอย่างเดียว คอย balance ตัวความถี่ของระบบให้สามารถบริการอย่างมีประสิทธิภาพและเก็บเงินได้
“ในอนาคตต่อไปอาจจะเกิดการค้าขายข้ามประเทศเมื่อระบบโซล่าเซลล์เชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้า (กริดไฟฟ้า) ได้ทั่วประเทศ เราก็สามารถเชื่อมกริดกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อทำการซื้อขายระหว่างกันได้ เรื่องนี้จะต้องอาศัยความร่วมมือกันอีกหลายฝ่าย จึงเป็น ideal case ที่เป็นภาพอีกไกล”
“ในส่วนของกันกุลเราเป็นได้หลายมุม อย่างปัจจุบันเป็นผู้ลงทุน เป็น EPC (Engineering, Procurement and Construction) ต่อไปเราก็สามารถที่จะมีบทบาทในการช่วยลูกค้าของเราในเรื่องการซื้อขาย หรือ maximize ตัว performance ของโรงไฟฟ้า ช่วยทำให้ลูกค้าสามารถได้กำไรมากที่สุดจากการลงทุน”
สำหรับพลังงานสีเขียวอื่น ๆ อย่างเช่นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) หรือไฮโดรเจน ที่เธอให้ความสนใจและเฝ้าติดตามอยู่นั้น คงต้องดู use case ที่เกิดขึ้นจริงเสียก่อน โดยเฉพาะ SMR แม้เป็นต้นทุนการผลิตไฟฟ้าที่ถูกที่สุดแหล่งหนึ่ง แต่จะมีปัญหาเรื่องการยอมรับของชุมชนซึ่งเป็นโจทย์ยากมากของประเทศไทย
ในฐานะผู้นำรุ่นใหม่ที่เข้ามารับภารกิจนำพาบริษัทชั้นนำด้านพลังงานก้าวสู่การแข่งขันในบริบทใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม คุณนฤชล ดำรงปิยวุฒิ์ กล่าวทิ้งทายไว้กับ The Story Thailand ว่า
“วันนี้มันเป็นแค่โรงไฟฟ้า แต่ต่อไปมันจะเป็น business model ที่ใช้ data-driven เป็น recurring business model ซึ่งสามารถสร้างรายได้ต่อเนื่องโดยเราอาจจะไม่ต้องลงทุนแบบเดิมอีก”
อศินา พรวศิน – สัมภาษณ์
สมชัย อักษรารักษ์ – เรียบเรียง
บทสัมภาษณ์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ
จากวิสัยทัศน์ สู่การสร้างชาติด้วย AI: เจาะลึกเส้นทาง ‘บอทน้อย’ และ ดร.วินน์ วรวุฒิคุณชัย
เจาะลึกอาชีพ ‘นักภาษาโบราณ’ ผู้ไขรหัสอดีตอันล้ำค่าของชาติ
‘กฤษฎา ชุตินธร FlowAccount’ พลิกความวุ่นวายหลังบ้านสู่ ‘ระบบปฏิบัติการ’ คู่ใจ SME




