Share on
×

Share

‘CodeVenture’ สตาร์ตอัพไทย เปลี่ยนการสอนโค้ดดิ้งเด็กให้เป็นเกม

'Code Venture' สตาร์ตอัพไทย เปลี่ยนการสอนโค้ดดิ้งเด็กให้เป็นเกม

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าการบ้านวิชาโค้ดดิ้งสนุกไม่ต่างจากการเล่นเกมฟอร์มยักษ์? นี่ไม่ใช่คำถามเพ้อฝัน แต่คือภารกิจหลักที่ CodeVenture กำลังทำให้เป็นจริง สตาร์ตอัพ EdTech สัญชาติไทยที่กำลังพลิกโฉมวิธีที่เด็กรุ่นใหม่เรียนรู้ทักษะดิจิทัล ด้วยการเปลี่ยนบทเรียนวิทยาการคำนวณที่ซับซ้อนให้กลายเป็นด่านผจญภัยที่น่าตื่นเต้น

พวกเขาไม่ได้กำลังสอนเด็กให้เป็นเพียง “คนเขียนโค้ด” แต่กำลังสร้าง “นักคิดและนักแก้ปัญหา” รุ่นใหม่ผ่านแพลตฟอร์มที่ทำให้เด็ก ๆ ลืมไปว่ากำลังเรียนอยู่ เบื้องหลังความสำเร็จที่เพิ่งคว้ารางวัลใหญ่ 2 สาขาจากเวที Thailand ICT Awards 2025 ในสาขา Startup และ Inclusion ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าสิ่งที่พวกเขาสร้าง ไม่เพียงมีศักยภาพทางธุรกิจ แต่ยังสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมในวงกว้าง

มากกว่าเกม แต่คือสนามฝึกทักษะแห่งอนาคต

“เราอยากส่งมอบ Mindset ของคนไอทีไปถึงเด็ก ๆ” ทรงกลด แสงวรทิพย์ (ตูน) ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของ CodeVenture ฉายภาพถึงหัวใจของแพลตฟอร์ม ที่ต้องการปลูกฝังทักษะการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ (Problem-Solving Skill) และการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) ซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานสำคัญในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

หัวใจสำคัญที่ทำให้ CodeVenture แตกต่าง คือปรัชญาการเรียนรู้แบบ ‘Think, Create, Share’ ที่ออกแบบมาเป็นเส้นทางการเติบโตของเด็ก ๆ โดยก้าวแรกเริ่มต้นที่ ‘Think’ คือการวางรากฐานกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบผ่านเกม Puzzle ที่แฝงไปด้วยหลักการ Logic และตรรกศาสตร์อย่างแนบเนียน จากนั้นจึงต่อยอดสู่สเตจ ‘Create’ ที่ซึ่งเด็กๆ จะได้ปลดปล่อยจินตนาการสร้างสรรค์โปรเจกต์ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเกมหรือแอนิเมชัน และปลายทางคือ ‘Share’ การนำผลงานไปแบ่งปันให้ผู้อื่นได้ชื่นชม ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการสร้างความภาคภูมิใจและจุดประกายความมั่นใจในศักยภาพของตนเอง

แพลตฟอร์มได้แบ่งหลักสูตรออกเป็น 3 ระดับ เพื่อให้สอดคล้องกับพัฒนาการของเด็กวัย 6-15 ปี ตั้งแต่ Icon Coding, Block Coding และ Text Coding (Python) ซึ่งเนื้อหาทั้งหมดสอดคล้องกับตัวชี้วัดของวิชา วิทยาการคำนวณที่เป็นวิชาบังคับในโรงเรียนอีกด้วย

ฝ่าด่านธุรกิจ EdTech: เมื่อ ‘คนซื้อ’ ไม่ใช่ ‘คนใช้’

เส้นทางของสตาร์ตอัพ EdTech โดยเฉพาะตลาดสำหรับเด็ก ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ CodeVenture ต้องเผชิญความท้าทายรอบด้าน เริ่มตั้งแต่ความซับซ้อนของตลาดที่ “คนซื้อ” (ผู้ปกครอง, ผู้บริหารโรงเรียน) ไม่ใช่ “คนใช้” (เด็ก, คุณครู) ซึ่งหมายความว่าแพลตฟอร์มต้องตอบโจทย์สองด้านไปพร้อมกัน คือ ต้องมีคุณค่าทางการศึกษาที่วัดผลได้เพื่อจูงใจคนซื้อ และต้องสนุกมากพอที่จะดึงดูดให้คนใช้กลับมาใช้งานซ้ำ

“เราไม่สามารถสร้างเกมให้สนุกสุดเหวี่ยงไปสู้กับ Roblox ได้ แต่เราต้องวางตำแหน่งตัวเองเป็นแพลตฟอร์มการศึกษาที่สนุกที่สุด” คุณตูนอธิบายถึงสมการที่ต้องทำให้ลงตัว พวกเขาพบว่าผู้ปกครองหลายคนใช้ CodeVenture เป็นเครื่องมือต่อรองเวลาหน้าจอของลูก ๆ เช่น “ถ้าเล่น Roblox ครึ่งชั่วโมงแล้ว ก็ต้องมาเล่น CodeVenture ต่ออีกครึ่งชั่วโมง” ซึ่งสะท้อนว่าพวกเขาหาจุดสมดุลระหว่างการเรียนรู้และความบันเทิงเจอแล้ว

นอกจากนี้ การเจาะตลาดโรงเรียน (B2B) ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักในการขยายธุรกิจ ยังต้องเผชิญกับวงจรการขายที่ยาวนาน (Long Sales Cycle) บางครั้งใช้เวลาพูดคุย 3-6 เดือนเพื่อให้สอดคล้องกับรอบงบประมาณของโรงเรียน เพื่อแก้ปัญหานี้ CodeVenture จึงใช้กลยุทธ์สองขา โดยบุกตลาดผู้ปกครองโดยตรง (B2C) ควบคู่กันไป ซึ่งแม้จะเป็นตลาดที่เล็กกว่า แต่สร้างรายได้และเก็บข้อมูลฟีดแบ็กจากผู้ใช้งานจริงได้รวดเร็วกว่ามาก

จากห้องเรียนสู่ตลาดโลก: เมื่อคุณภาพและความมุ่งมั่นทลายกำแพง

แม้จะเผชิญความท้าทาย แต่ CodeVenture ก็สร้างการเติบโตได้อย่างน่าจับตา ปัจจุบันมีผู้ใช้งานแล้วเกือบ 20,000 คน และมีการจับมือเป็นพันธมิตรกับโรงเรียนกว่า 15 แห่งเพื่อเก็บฟีดแบ็กมาพัฒนาแพลตฟอร์มอย่างใกล้ชิด และมีการใช้งานในโรงเรียนอื่น ๆ รวมแล้วกว่า 50 แห่ง

ทรงกลด แสงวรทิพย์ รับรางวัลจากเวที Thailand ICT Awards 2025
ทรงกลด แสงวรทิพย์ รับรางวัลจากเวที Thailand ICT Awards 2025

ชัยชนะจากเวที TICTA ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นหนึ่งในเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของทีมในปีนี้ ตูนเผยว่า “เราอยากสร้างชื่อเสียงให้แพลตฟอร์ม และพิสูจน์ว่าเราสามารถแข่งขันและคว้ารางวัลมาได้” การเข้าร่วมประกวดจึงเป็นหมุดหมายสำคัญเพื่อได้รับการยอมรับในวงกว้าง โดยตั้งเป้าคว้า ‘ป้าย’ รับรองในหมวด Startup จากเวที TICTA ควบคู่ไปกับรางวัลด้านการออกแบบอย่าง DMark ที่พวกเขาเพิ่งได้รับมา ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ

ความสำเร็จนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในประเทศ ปัจจุบัน CodeVenture ได้รับความสนใจจาก Distributor ในสหรัฐอเมริกา และกำลังเจรจาเพื่อนำแพลตฟอร์มเข้าไปใช้ในโรงเรียนแต่ละรัฐ ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนว่า “เทคโนโลยีที่สร้างโดยคนไทยก็มีศักยภาพในตลาดโลก”

เบื้องหลังความสำเร็จ: ทีมเวิร์ก และกำแพงที่คู่แข่งเข้าถึงยาก

เบื้องหลังความสำเร็จของ CodeVenture คือการกลับมารวมตัวของ 3 เพื่อนซี้จากคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ (SIT) มจธ. ที่เปรียบเสมือนจิ๊กซอว์สามชิ้นที่แตกต่างแต่ลงตัวอย่างสมบูรณ์แบบ หลังจากแยกย้ายไปสั่งสมประสบการณ์นานนับทศวรรษ ทรงกลด แสงวรทิพย์ (ตูน) ในฐานะ CEO ได้นำความเฉียบคมด้านธุรกิจจากการปั้น Software House มาขับเคลื่อนองค์กร, อภิญญา หิรัญญะเวช (ธัญ) ในตำแหน่ง COO นำความเข้าใจในศาสตร์จิตวิทยามาผสานกับการออกแบบการเรียนรู้เพื่อมัดใจผู้ใช้งาน และมี วรวัฒน์ ลวนนท์ (ตี้) CTO อดีตนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลจากญี่ปุ่นและฝรั่งเศส เป็นมันสมองเบื้องหลังการพัฒนาแพลตฟอร์มที่แข็งแกร่ง

การผสมผสานทักษะที่แตกต่างแต่ลงตัวของทีมผู้ก่อตั้งนี่เอง ที่กลายเป็นกำแพง (Barrier to Entry) ที่สำคัญที่สุด เพราะการจะสร้างแพลตฟอร์ม EdTech ที่ดีได้ ต้องอาศัยศาสตร์หลายแขนง ทั้งความเข้าใจทฤษฎีการศึกษา จิตวิทยาเด็ก การออกแบบเกม และเทคโนโลยี ซึ่งการหาบุคลากรที่มีครบทุกด้านในคนเดียวหรือทีมเดียวนั้นเป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง

ก้าวต่อไป: ปักธง SEA และปั้นทักษะแห่งศตวรรษที่ 21

เป้าหมายต่อไปของ CodeVenture คือการเติบโตอย่างก้าวกระโดด พวกเขามีแผนจะระดมทุนเพิ่มเติมจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) เพื่อใช้เป็นทุนในการพัฒนาแพลตฟอร์มและขยายตลาดสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) โดยจะใช้โมเดลหาตัวแทนจำหน่าย (Distributor) ในแต่ละประเทศ เพื่อให้เข้าถึงตลาดโรงเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในด้านผลิตภัณฑ์ พวกเขามองไกลกว่าแค่การเขียนโค้ด โดยมีแผนจะขยายเนื้อหาไปสู่ทักษะดิจิทัลที่จำเป็นอื่น ๆ เช่น ความรู้พื้นฐานด้าน AI (AI Literacy) และ คณิตศาสตร์ (Mathematics) เพื่อตอกย้ำจุดยืนในการเป็นแพลตฟอร์มสร้างทักษะพื้นฐานแห่งอนาคตอย่างแท้จริง

ในวันที่ AI อาจเขียนโค้ดแทนมนุษย์ได้ คุณค่าที่แท้จริงอาจไม่ใช่ “ภาษาคอมพิวเตอร์” อีกต่อไป แต่คือ “ภาษาแห่งการคิด”นี่คือปรัชญาที่เป็นหัวใจของ CodeVenture ที่มองว่าโค้ดดิ้งเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเดินทาง ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง สิ่งที่พวกเขาส่งมอบจึงไม่ใช่แค่ความสามารถในการเขียนโปรแกรม แต่คือ “ทักษะการแก้ปัญหา” อันเป็นใบเบิกทางสากลที่จะพาเด็กไทยก้าวข้ามทุกความเปลี่ยนแปลงในอนาคต เพราะเป้าหมายสูงสุดไม่ใช่การสร้างโปรแกรมเมอร์ แต่คือการสร้าง “นักคิด” ที่มีภูมิคุ้มกันทางปัญญา พร้อมที่จะเรียนรู้และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ไม่ว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนไปในรูปแบบใดก็ตาม

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ทักษะ MarTech ไม่พอ! เปิดสิ่งที่องค์กรต้องการจากนักการตลาดตัวจริง

ทัพฟ้าปั้น ‘ครีเอเตอร์ในเครื่องแบบ’ สู้สงครามข่าวลวงยุค AI

TL มุ่งสู่ ‘Digital Innovation Hub’ หลังเพิ่มทุน 2.4 พันล้านบาท

×

Share

ผู้เขียน