ในยุคที่กรุงเทพมหานครกำลังก้าวสู่การเป็นมหานครชั้นนำของโลก โครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการพลิกโฉมเมืองให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนในยุคใหม่ หนึ่งในนั้นคือ The Central พหลโยธิน เมกะโปรเจกต์จากบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN โครงการนี้ไม่เพียงมุ่งสร้างศูนย์การค้า แต่ตั้งเป้าที่จะเป็นศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ (New Central Business District – New CBD) ทางตอนเหนือของกรุงเทพฯ โดยผสานมิติของธุรกิจ ไลฟ์สไตล์ ชุมชน และธรรมชาติเข้าด้วยกัน
CPN วางตำแหน่งของ The Central พหลโยธิน ว่าเป็น “The Flagship of the Future” หรือ “เรือธงแห่งอนาคต” โครงการมีมูลค่า 21,000 ล้านบาท ตั้งอยู่บนที่ดิน 49 ไร่ มีพื้นที่ 457,409 ตารางเมตร บนจุดตัดของถนนสายหลัก 2 สาย คือ ถนนพหลโยธินและถนนวิภาวดีรังสิต เป็นตึกสูง 7 ชั้นและชั้นใต้ดิน 2 ชั้น คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในไตรมาส 4 ของปี 2569
กลยุทธ์ ‘Beyond Shopping’
ตลอด 45 ปีที่ผ่านมา เซ็นทรัลพัฒนาพยายามเป็นผู้นำในการบุกเบิกย่านใหม่ ๆ ในกรุงเทพฯ จากย่านปิ่นเกล้าที่เคยเป็นเพียงพื้นที่ชานเมืองให้กลายเป็นศูนย์กลางชีวิตฝั่งธนบุรี หรือย่านบางนาที่เติบโตอย่างรวดเร็วด้วยโครงการเซ็นทรัลบางนา โดย 1 ในกลยุทธ์หลักที่โดดเด่นคือการก้าวข้ามขีดจำกัดของศูนย์การค้าแบบเดิม ๆ หรือการพัฒนาโครงการให้เป็นมากกว่าแค่ศูนย์การค้า หรือ “Beyond Shopping” โดยเน้นการบุกเบิกในพื้นที่ใหม่ ๆ ก่อนเวลาเพื่อสร้างแลนด์มาร์คสำคัญและความเป็นย่าน (District) ให้กับเมือง
“เราไม่ได้ออกแบบเพื่อการช้อปปิ้งอย่างเดียว แต่เพื่อให้เป็นพื้นที่ใช้ชีวิต (Living Space) แห่งใหม่” ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา Chief Marketing Officer บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา อธิบาย
–CPN ทุ่ม 1.2 แสนล้านบาท พลิกโฉมเมืองไทย ปั้น ‘เดอะ เซ็นทรัล พหลโยธิน’ CBD แห่งใหม่
แนวคิดนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ที่ไม่เน้นเพียงการค้าขาย แต่สร้างพื้นที่ที่ผู้คนสามารถใช้ชีวิต ทำงาน พักผ่อน และเชื่อมต่อกันได้อย่างครบวงจร โดยผสมผสานองค์ประกอบอย่างสวนในร่ม พื้นที่ศิลปะและพักผ่อน และการออกแบบสถาปัตยกรรมที่ทันสมัย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้เทียบเท่ามหานครชั้นนำระดับโลก

แนวคิดนี้เกิดจากความเข้าใจว่าเมืองในยุคใหม่ต้องการมากกว่าศูนย์การค้าแบบดั้งเดิม การออกแบบ The Central พหลโยธิน จึงเน้นการสร้างพื้นที่ใช้ชีวิตที่ตอบโจทย์ทุกมิติของการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การอยู่อาศัย หรือการพักผ่อน โดยนำเอาแนวคิดจากดัชนีความน่าอยู่ของเมืองระดับโลกมาปรับใช้ เน้นย้ำเรื่องพื้นที่สีเขียว ความสะอาด และที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ
“เราต้องการยกระดับกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองที่มีคุณภาพชีวิตดีที่สุดเมืองหนึ่งในโลก” คุณณัฐกิตติ์กล่าว
ทำไม CPN ถึงสร้างความเป็นย่านให้กับกรุงเทพฯ?
การที่เซ็นทรัลพัฒนามุ่งเน้นสร้างความเป็นย่านให้กับกรุงเทพฯ ไม่ใช่แค่การขยายธุรกิจ แต่เป็นการตอบโจทย์การขยายตัวของเมืองที่เผชิญกับความหนาแน่นในย่านศูนย์กลางธุรกิจดั้งเดิม หรือ CBD เช่น สีลม สาทร หรือสุขุมวิท
คุณณัฐกิตติ์ เปรียบเทียบกับมหานครชั้นนำทั่วโลก เช่น มหานครลอนดอน อังกฤษที่มีย่านอีสต์ลอนดอน นครนิวยอร์กของสหรัฐอเมริกาที่มีย่านบรู๊คลิน กรุงโซล เกาหลีใต้ที่มีย่านกังนัม หรือโตเกียวของญี่ปุ่นที่มีย่านชิบูย่า
“กรุงเทพฯ ไม่ได้มีแค่ CBD แต่ยังมีมิติอื่นอีกมากมาย เหมือนเมืองใหญ่ทั่วโลก” คุณณัฐกิตติ์กล่าว
การสร้างย่านใหม่ยังช่วยกระจายความเจริญ ลดความแออัดในใจกลางเมือง และสร้างความน่าอยู่ในเมืองระดับโลก (Global Urban Livability) ที่เน้นการผสมผสานระหว่างพื้นที่สีเขียว ความสะอาด และที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ
เป้าหมายนี้สอดคล้องกับแนวโน้มของเมืองใหญ่ทั่วโลกที่พัฒนาย่านใหม่เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย เช่น ย่าน Azabudai Hills แลนด์มาร์กแห่งใหม่ใจกลางกรุงโตเกียว ซึ่งพลิกโฉมย่านเก่าให้กลายเป็นย่านคนรวย หรือย่านซองชู ในโซลที่กลายเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมและไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่
เซ็นทรัลพัฒนาเห็นโอกาสในการสร้างผลกระทบทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจใหม่ (New Culture Economy Impact) โดยการเป็นหัวหอกในการพัฒนาย่านที่กลายเป็นแลนด์มาร์ก เช่นเดียวกับที่เคยทำสำเร็จในย่านปิ่นเกล้า บางนา พระราม 2 และบางใหญ่
ถอดรหัสทำเลทอง: 3 มิติแห่งศักยภาพ

ย่านลาดพร้าว-พหลโยธินถูกเลือกให้เป็นที่ตั้งของ The Central พหลโยธิน ด้วยศักยภาพที่โดดเด่นใน 3 มิติหลัก คือ พลังของทำเล (Location Power) แม่เหล็กดึงดูดการเติบโต (Market Magnet) และ เรือธงของชุมชนวัฒนธรรมย่อย (Flagship of Sub-Culture Communities) ซึ่งทั้ง 3 มิติดังกล่าวถูกออกแบบมาเพื่อสร้าง “เรือธงแห่งอนาคต” ที่จะพลิกโฉมภูมิทัศน์ทางตอนเหนือของกรุงเทพฯ
จุดเชื่อม 2 ถนนหลักกับ 2 รถไฟฟ้า
ในมิติของศักยภาพของทำเลนั้น โครงการฯ ตั้งอยู่บนจุดตัดของถนนสายหลัก 2 สาย ได้แก่ ถนนพหลโยธินและถนนวิภาวดีรังสิต ซึ่งมีปริมาณรถยนต์สัญจรผ่านถึง 337,000 คันต่อวัน ทำเลนี้ยังเชื่อมต่อกับระบบขนส่งมวลชนรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินที่มีผู้โดยสาร 15,600 คนต่อวัน และรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียวซึ่งมีผู้โดยสาร 35,100 คนต่อวัน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 30% หลังโครงการเปิดตัว
นอกจากนี้ ยังเชื่อมโยงกับสนามบินดอนเมือง ซึ่งปัจจุบันรองรับผู้โดยสาร 30 ล้านคนต่อปี และมีแผนขยายสู่ 50 ล้านคนในอนาคตตามแผนพัฒนาของรัฐบาล ทำให้ย่านนี้กลายเป็นประตูสู่กรุงเทพฯ สำหรับนักเดินทางทั้งในและต่างประเทศ
“ย่านนี้สามารถเชื่อมโยงธุรกิจจากภาคเหนือและอีสานเข้ากับเมืองหลวงได้ โดยไม่ต้องเข้ามาใน CBD เดิมที่แออัด” คุณณัฐกิตติ์กล่าวพร้อมยกตัวอย่าง เช่น บริษัทด้านเกษตรและโรงงานจากภาคเหนือและอีสานก็สามารถตั้งสำนักงานในย่านนี้ได้อย่างสะดวก
ย่านกำลังซื้อสูง
สำหรับศักยภาพในแง่ของการเป็นแม่เหล็กดึงดูดตลาดนั้น The Central พหลโยธิน จะเป็นตัวเร่งสำคัญที่ยกระดับย่านลาดพร้าว-พหลโยธิน ให้กลายเป็นศูนย์กลางธุรกิจและไลฟ์สไตล์แห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ที่ไม่จำกัดเพียงการช้อปปิ้ง แต่ครอบคลุมด้านการเงิน พื้นที่ทำงาน และที่อยู่อาศัยในเมือง ย่านนี้มีดีมานด์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง มีประชากร 2.5 ล้านคน
จากข้อมูลของเซ็นทรัลพัฒนา พบว่าลูกค้าในย่านนี้อยู่ในกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงกว่าค่าเฉลี่ยคนกรุงเทพฯ 2.3 เท่า ยอดขายต่อพื้นที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยศูนย์การค้าในกรุงเทพฯ 45% และจำนวนผู้ใช้บริการมากกว่าศูนย์การค้าอื่นถึง 2.19 เท่า
ด้าน อิศเรศ จิราธิวัฒน์ Head of Leasing – Fashion & Luxury บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ย่านลาดพร้าว-พหลโยธินมีอัตราการเติบโตสูงเทียบชั้นย่าน Central CBD จากข้อมูลปีล่าสุด พหลโยธินช่วงต้นติด Top 10 ทำเลราคาที่ดินแพงที่สุดในประเทศไทยปี 2568 โดยมีราคาประเมินอยู่ที่ 1.9 ล้านบาทต่อตารางวา อัตราการเติบโตสูงถึง 5% (มากกว่าย่าน เพลินจิต-ชิดลม, สุขุมวิท, สีลม, สาทร) ซึ่งตัวเลขนี้การันตีถึงศักยภาพการเติบโตที่ชัดเจน
และยังเป็นย่านที่มีฐานกำลังซื้อแข็งแกร่ง โดยมีการเติบโตของโครงการที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน โครงการที่อยู่อาศัยที่แวดล้อมศูนย์การค้า The Central พหลโยธิน มีมากถึง 472 โครงการและมากกว่า 50% เป็นโครงการในระดับ Upper Segment ขึ้นไป นอกจากนี้ อาคารสำนักงานต่าง ๆ ยังมีแนวโน้มขยายตัวสู่ย่านรอบนอก โดยเฉพาะในแนว North Corridor พหลโยธินและวิภาวดีรังสิต ดังนั้นกลุ่มคนทำงานจะเข้ามาในพื้นที่และเป็นกำลังซื้อที่มหาศาล
ในส่วนอาคารสำนักงานที่ตั้งรอบโครงการมีถึง 52 แห่งในจำนวนนี้ 15 แห่งเป็น Grade A Office สะท้อนถึงคุณภาพของทำเลและศักยภาพการเป็นศูนย์กลางการทำงานแห่งอนาคตของกรุงเทพฯ ในส่วนของ Quality Neighbourhood โครงการยังแวดล้อมด้วยโรงเรียนชั้นนำ 51 แห่ง (เป็นโรงเรียนอินเตอร์ 6 แห่ง), มหาวิทยาลัยชั้นนำ 9 แห่ง, และโรงแรม 41 แห่ง
ส่วนมิติที่ 3 คือการสร้างชุมชนวัฒนธรรมย่อยที่ตอบรับเทรนด์สมัยใหม่ของโลก คุณณัฐกิตติ์ ระบุว่า โครงการฯ พยายามออกแบบพื้นที่ที่ตอบโจทย์กิจกรรมวัฒนธรรมย่อยซึ่งเป็นเทรนด์สำคัญของโลก โครงการนี้มีขนาดใหญ่กว่าเซ็นทรัลลาดพร้าวถึง 50% ด้วยพื้นที่กว่า 500,000 ตารางเมตร ทำให้สามารถรองรับกิจกรรมหลากหลาย เช่น ชุมชนกีฬาเมือง จุดหมายปลายทางด้านศิลปะสมัยใหม่ โซนค้นพบประสบการณ์ และความบันเทิงสำหรับครอบครัว พื้นที่นี้ถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่สังคมรวมที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ รวมถึงมีศูนย์การประชุมขนาด 6,700 ตารางเมตร ซึ่งรองรับคอนเสิร์ตและงานอีเว้นท์ระดับโลก
การออกแบบแห่งอนาคต
The Central พหลโยธิน มีการออกแบบด้วยคอนเซ็ปต์ The Central Playlist เปรียบเสมือนการสลับเพลงในเพลย์ลิสต์ของกรุงเทพฯ ที่เต็มไปด้วยความหลากหลายและการค้นพบใหม่ ๆ โดยร่วมมือกับนักออกแบบชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ ด้านสถาปัตยกรรมใช้แนวคิด Collective Rhythms แทรก “รอยยิ้ม” ในทุกองค์ประกอบ ส่วนการออกแบบภูมิทัศน์ใช้แนวคิด “การโอบกอด” เพื่อให้ผู้คนรู้สึกใกล้ชิดกับธรรมชาติ
“The Central พหลโยธิน จะเป็นมากกว่าศูนย์การค้า แต่คือ Curated Community ของคนรุ่นใหม่และครอบครัวทุกเจเนอเรชัน” จุฑาธรรม จิราธิวัฒน์ Head of Business Development บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าว
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
กรุงศรีทุ่มงบหมื่นล้าน ทรานส์ฟอร์มองค์กรด้วย AI-Data ใน Krungsri Tech Day 2025
Axons-AWS สร้างแอป ‘Farm One’ เพิ่มคุณภาพเกษตรกรไทยด้วย AgriTech




