เมื่อสมรภูมิ AI ในโลกธุรกิจไม่ได้วัดกันที่ความฉลาดของโมเดลภาษาอีกต่อไป แต่คือความสามารถในการนำ AI มา “ทำงานจริง” ได้อย่างเต็มรูปแบบ Google Cloud ได้ส่งสารท้ารบครั้งสำคัญด้วยการเปิดตัว “Gemini Enterprise” แพลตฟอร์มที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่แชตบอต แต่คือ ‘ประตูสู่ AI บานแรก’ ขององค์กร ที่มอบอำนาจให้พนักงานทุกคนสามารถสร้างและควบคุม “กองทัพ AI Agent” ของตนเองเพื่อทำงานที่ซับซ้อนได้โดยอัตโนมัติ
การเปิดตัวครั้งนี้ซึ่งจะมีผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 ตุลาคม ถือเป็นการเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการใช้ AI เพื่อทำงานย่อยๆ (simple tasks) ไปสู่การสร้างระบบอัตโนมัติสำหรับกระบวนการทำงานทั้งหมด (entire workflows) โดยชี้ให้เห็นว่าอนาคตของการแข่งขันทางธุรกิจจะอยู่ที่ใครสามารถผสาน AI เข้ากับข้อมูล เวิร์กโฟลว์ และบุคลากรได้อย่างไร้รอยต่อที่สุด
เจาะลึก Gemini Enterprise: ไม่ใช่แค่แชตบอตแต่คือแพลตฟอร์มชี้นำ AI
โทมัสคูเรียน ซีอีโอของ Google Cloud อธิบายว่า พลังที่แท้จริงของ Gemini Enterprise ไม่ได้อยู่ที่ฟีเจอร์ใดฟีเจอร์หนึ่ง แต่เกิดจากการผสานองค์ประกอบหลัก 5 ส่วน ที่จะเปลี่ยนวิธีที่องค์กรจะใช้ประโยชน์จาก AI ไปอย่างสิ้นเชิง
จุดเริ่มต้นคือ ขุมพลังแห่งปัญญา ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องยนต์หลักที่ขับเคลื่อนทุกอย่าง แพลตฟอร์มนี้ใช้โมเดล Gemini ที่ล้ำสมัยที่สุดของ Google เป็นแกนกลาง นั่นหมายความว่า Agent ทุกตัวจะมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ แยกแยะข้อมูลที่ซับซ้อน และเข้าใจคำสั่งที่เป็นภาษามนุษย์ได้อย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่การทำงานตามสูตรสำเร็จ แต่เป็นการใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับโจทย์นั้น ๆ
ถัดมาคือ พลังแห่งการสร้างสรรค์ที่เข้ามาทลายกำแพงทางเทคนิค Google ได้มอบเครื่องมือสร้าง Agent แบบ Low-code/No-code ที่ใช้งานง่าย ทำให้พนักงานทุกคน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายการตลาด ฝ่ายบุคคล หรือฝ่ายการเงิน สามารถสวมบทบาทเป็น ‘นักพัฒนา’ และสร้าง ‘ผู้ช่วย AI’ ของตนเองขึ้นมาได้โดยไม่ต้องเขียนโค้ดแม้แต่บรรทัดเดียว นี่คือการกระจายอำนาจให้คนที่เข้าใจหน้างานดีที่สุด สามารถสร้างเครื่องมืออัตโนมัติเพื่อแก้ปัญหาของตัวเองได้โดยตรง
เพื่อให้องค์กรสามารถเห็นผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว Google ได้มอบพลังแห่งความเร็ว ผ่านชุด Agent สำเร็จรูปที่สร้างไว้ล่วงหน้าสำหรับงานที่พบบ่อย เช่น Agent สำหรับการวิจัยตลาดเชิงลึก หรือ Agent สำหรับการสรุปและวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาล แทนที่จะต้องเสียเวลาสร้างทุกอย่างตั้งแต่ศูนย์ องค์กรสามารถนำ Agent เหล่านี้ไปปรับใช้และสร้างคุณค่าทางธุรกิจได้ทันทีตั้งแต่วันแรก
แต่สิ่งที่ทำให้ AI มีประโยชน์อย่างแท้จริงคือ พลังแห่งบริบท แพลตฟอร์มนี้ถูกออกแบบมาให้เชื่อมต่อกับคลังข้อมูลของบริษัทได้อย่างปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นเอกสารใน Google Workspace รายงานใน Microsoft 365 หรือข้อมูลลูกค้าในระบบ SAP ทำให้ Agent ไม่ได้ทำงานอยู่บนข้อมูลสาธารณะที่กว้างเกินไป แต่สามารถดึงข้อมูลภายในที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันมาใช้ในการวิเคราะห์และให้คำตอบได้ นี่คือหัวใจที่ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้มีความน่าเชื่อถือและสอดคล้องกับทิศทางขององค์กร
และสุดท้าย เพื่อให้การนำ AI มาใช้เป็นไปอย่างมั่นใจ Google ได้สร้าง พลังแห่งความเชื่อมั่น ด้วยศูนย์กลางการกำกับดูแล (Governance) ที่ช่วยให้ฝ่ายไอทีสามารถควบคุมและตรวจสอบการทำงานของ Agent ทั้งหมดได้ สามารถกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูล ตั้งค่านโยบายความปลอดภัย และติดตามการใช้งานได้จากที่เดียว สิ่งนี้เป็นหลักประกันว่า แม้พนักงานจะสร้าง Agent ขึ้นมาใช้งานอย่างอิสระ แต่ทุกอย่างจะยังคงอยู่ภายใต้กรอบการควบคุมที่รัดกุมและปลอดภัย
ทั้งหมดนี้เปลี่ยนนิยามการใช้ AI จากเดิมที่เป็นเพียงการสั่งงานย่อยๆ ไปสู่การมอบหมายภารกิจที่ซับซ้อน โดยมี Agent หลักทำหน้าที่เป็นผู้จัดการโครงการ คอยประสานงาน Agent อื่นๆ ให้ทำงานร่วมกันจนบรรลุเป้าหมายใหญ่ของธุรกิจ
จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ: สร้างแคมเปญฮาโลวีนในไม่กี่นาที
เพื่อให้เห็นภาพการทำงานจริงที่จับต้องได้ Google ได้จำลองสถานการณ์ที่นักการตลาดต้องการวางแผนแคมเปญสำหรับเทศกาลฮาโลวีน ซึ่งเป็นกระบวนการที่ในโลกความเป็นจริงต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของหลายทีมและใช้เวลาหลายวันหรืออาจเป็นสัปดาห์ แต่ด้วย Campaigns Agent ที่สร้างขึ้นบน Gemini Enterprise ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป
เพียงแค่ผู้ใช้งานพิมพ์คำสั่งง่าย ๆ หรือคลิกข้อความแนะนำว่า “Plan this year’s Halloween campaign” Agent ก็เริ่มปฏิบัติการที่ซับซ้อนเบื้องหลังทันที ขั้นตอนแรกคือการ วิจัยตลาด โดย Agent ไม่ได้เพียงแค่ค้นหาข้อมูลทั่วไป แต่ได้เรียกใช้ Agent เฉพาะทางด้านการวิจัยเชิงลึก (Deep Research Agent) เพื่อวิเคราะห์เทรนด์ล่าสุด บทความ และข้อมูลคู่แข่ง ก่อนจะสรุปเป็นข้อมูลเชิงลึก (Insight) ที่นำไปใช้ได้จริงว่า “ธีมไซไฟและอวกาศกำลังมาแรงในปีนี้”
เมื่อได้ทิศทางที่ชัดเจน Agent ไม่ได้หยุดอยู่แค่การให้ข้อมูล แต่ได้นำข้อมูลนั้นมาเชื่อมโยงกับธุรกิจทันที โดยเข้าไป ตรวจสอบสต็อกสินค้า ในระบบสินค้าคงคลังของบริษัท และพบว่าสินค้าไลน์ “Galactic Ranger” เข้ากับธีมนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ในขณะเดียวกันก็ตรวจพบปัญหาสำคัญ นั่นคือสินค้ามีไม่เพียงพอต่อความต้องการที่คาดการณ์ไว้ โดยขาดอยู่ถึง 25%
จากนักวิเคราะห์ Agent ได้เปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้ช่วยแก้ปัญหา โดยเสนอทางออกทันทีว่าจะสร้างใบสั่งซื้อ (Purchase Order) ในระบบ ServiceNow ซึ่งเป็นโปรแกรมที่องค์กรใช้งานอยู่จริง พร้อมทั้งกรอกรายละเอียดที่จำเป็นทั้งหมดให้ เมื่อผู้ใช้งานตรวจสอบและกดอนุมัติเพียงคลิกเดียว Agent ก็จะดำเนินการสั่งซื้อสินค้ากับซัพพลายเออร์ให้โดยอัตโนมัติ
ในระหว่างที่รอสินค้ามาส่ง Agent ก็ทำงานในขั้นตอนต่อไปคือการ สื่อสารภายใน โดยมันเข้าใจว่าต้องแจ้งข่าวนี้ให้ใครทราบ จึงทำการร่างอีเมลถึงผู้จัดการสาขาทุกแห่ง แจ้งรายละเอียดของแคมเปญใหม่และกำหนดการที่สินค้าจะถูกจัดส่งไปถึง เพื่อให้ทุกคนเตรียมตัวล่วงหน้า
สุดท้าย เมื่อการวางแผนเบื้องหลังใกล้เสร็จสิ้น ก็มาถึงขั้นตอนของการ สร้างสื่อโปรโมต ผู้ใช้งานสามารถสั่งให้ Agent สร้างภาพสำหรับใช้บนโซเชียลมีเดีย 3 แบบ ซึ่ง AI จะสร้างสรรค์ภาพที่สวยงามโดยยึดตาม Brand Guideline ของบริษัทอย่างเคร่งครัด และที่น่าทึ่งไปกว่านั้น เมื่อผู้ใช้งานสั่งเพิ่มเติมว่า “ช่วยทำภาพที่กำลังเต้นอยู่ให้เคลื่อนไหวที” Agent ก็สามารถต่อยอดงานเดิม สร้างเป็นวิดีโอสั้น ๆ ที่มีตัวละครขยับได้ พร้อมใส่ดนตรีประกอบธีมอวกาศให้เสร็จสรรพ
การสาธิตทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงหัวใจของ Gemini Enterprise ที่สามารถยุบรวมกระบวนการทำงานที่ซับซ้อนและกินเวลานานหลายสัปดาห์ ตั้งแต่การวางกลยุทธ์ การจัดการซัพพลายเชน การสื่อสารภายใน ไปจนถึงการสร้างสรรค์คอนเทนต์ ให้กลายเป็นบทสนทนาที่ลื่นไหลและเสร็จสิ้นได้ในเวลาไม่กี่นาที
เสียงจากลูกค้า: Macquarie Group ชี้ การกระจายอำนาจ AI คือกุญแจสำคัญ
และเพื่อตอกย้ำว่าวิสัยทัศน์นี้ไม่ใช่เพียงภาพฝันในห้องทดลอง แต่สามารถนำไปใช้ได้จริงและสร้างผลกระทบในวงกว้าง Google ได้นำเสนอเสียงยืนยันจากลูกค้าคนสำคัญอย่าง Macquarie Group สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่จากออสเตรเลีย โดยริชาร์ดฮีลีย์หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยี ธุรกิจธนาคารและบริการทางการเงิน ได้เปิดเผยถึงการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่น่าสนใจ นั่นคือพวกเขาได้ลงทุนซื้อ Gemini Enterprise ให้กับพนักงานทุกคนในฝ่ายธนาคารลูกค้ารายย่อย ไม่ได้จำกัดการใช้งานอยู่แค่ในกลุ่มวิศวกรหรือนักพัฒนาซอฟต์แวร์เท่านั้น
การตัดสินใจครั้งนี้สะท้อนปรัชญาที่ชัดเจนของ Macquarie Group ดังที่ริชาร์ดได้กล่าวไว้
“เป้าหมายของเราคือการทำให้ AI เป็นประชาธิปไตย (Democratize AI) เราไม่ต้องการให้พนักงานต้องหมดเวลาไปกับการค้นหาและถอดรหัสข้อมูลที่กระจัดกระจาย แต่อยากให้พวกเขาใช้ AI จัดการงานเหล่านั้น เพื่อที่พวกเขาจะได้ทุ่มเทสติปัญญาและเวลาไปกับงานที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้าได้มากกว่า”
เมื่อปรัชญานี้ถูกนำมาปฏิบัติจริง Macquarie Group ได้นำ Gemini Enterprise ไปประยุกต์ใช้เพื่อปฏิรูปกระบวนการทำงานใน 5 ส่วนหลักทั่วทั้งองค์กร ตั้งแต่การสร้าง Agent เพื่อช่วย บริการลูกค้า ให้สามารถตอบคำถามที่ซับซ้อนได้ตลอด 24 ชั่วโมง การปรับปรุง การดำเนินงานภายใน เช่น การใช้ AI ช่วยอ่านและกรอกเอกสารในการอนุมัติสินเชื่อบ้าน เพื่อลดขั้นตอนและลดความเครียดให้กับลูกค้า การเพิ่มความเร็วให้ทีม พัฒนาซอฟต์แวร์ ของตนเอง การช่วยทีม การขายและการตลาด สรุปบันทึกการประชุมกับลูกค้าเพื่อหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ไปจนถึงภารกิจสำคัญอย่าง การป้องกันการฉ้อโกง ซึ่ง AI จะคอยตรวจสอบธุรกรรมที่น่าสงสัยแบบเรียลไทม์
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในช่วงแรกนั้นน่าทึ่งมาก ริชาร์ดเล่าว่าสิ่งที่เขาได้เห็นคือ การระเบิดของไอเดียจากพนักงานในสายงานต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ฝ่ายเทคโนโลยีโดยตรง พนักงานเหล่านี้ซึ่งเข้าใจปัญหาหน้างานของตนดีที่สุด ได้เริ่มสร้าง Agent ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ และปรับปรุงเวิร์กโฟลว์ของตัวเองให้ดีขึ้น นี่คือบทพิสูจน์ว่าการมอบเครื่องมือที่ทรงพลังให้กับคนทั้งองค์กร คือหนทางสู่การปลดล็อกนวัตกรรมที่แท้จริง ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่ฝ่ายบริหารหรือทีมไอทีส่วนกลางไม่เคยคาดคิดมาก่อน
จุดยืนของ Google ในสมรภูมิ AI
ท่ามกลางสมรภูมิ AI ที่มีการแข่งขันสูง โทมัส คูเรียน ชี้ให้เห็นถึงจุดยืนและความได้เปรียบที่แตกต่างของ Google Cloud ซึ่งไม่ได้มองว่านี่เป็นเพียงการแข่งขันด้านโมเดลภาษา แต่คือการสร้างรากฐานที่มั่นคงและเปิดกว้างสำหรับองค์กรในระยะยาว โดยมี 3 เสาหลักที่สำคัญเป็นตัวขับเคลื่อน
เสาหลักแรกคือ โครงสร้างพื้นฐานระดับโลก ที่แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือ ทุกอย่างที่ลูกค้าใช้งานบน Gemini Enterprise ทำงานอยู่บนระบบเดียวกันกับที่รองรับ Google Search และ YouTube ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าสามารถทำงานได้อย่างมีเสถียรภาพ ปลอดภัย และขยายตัวเพื่อรองรับผู้ใช้งานหลายพันล้านคนได้ นี่คือหลักประกันด้านความพร้อมใช้งานและความปลอดภัยระดับสูงสุดที่องค์กรขนาดใหญ่วางใจได้ ว่าระบบจะพร้อมใช้งานเสมอแม้ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด
เสาหลักที่สองคือการเป็นผู้ให้บริการที่มี ระบบนิเวศครบวงจร (Full Stack) อย่างแท้จริง Google พัฒนาเทคโนโลยีเองตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ไม่ว่าจะเป็นชิปประมวลผล TPU ที่ออกแบบมาเพื่อ AI โดยเฉพาะ โมเดล Gemini แพลตฟอร์ม Vertex AI ไปจนถึง Agent ที่ใช้งานจริง การควบคุมทั้งหมดนี้ทำให้ Google สามารถปรับจูนทุกส่วนประกอบให้ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งในแง่ความเร็ว ต้นทุน และที่สำคัญคือความสามารถในการส่งมอบนวัตกรรมใหม่ ๆ จากห้องวิจัยสู่มือลูกค้าได้ในเวลาที่รวดเร็วกว่าใคร
และเสาหลักสุดท้ายที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ปรัชญาแบบเปิด (Open Ethos) แม้ Google จะมีเทคโนโลยีที่ดีที่สุดของตัวเอง แต่พวกเขายึดมั่นในการให้ “ทางเลือก” กับลูกค้า แพลตฟอร์มของ Google ไม่ได้บังคับให้ต้องใช้แต่ผลิตภัณฑ์ของ Google เท่านั้น แต่เปิดกว้างให้สามารถเลือกใช้ GPU จากผู้ผลิตรายอื่น หรือเลือกใช้โมเดล AI กว่า 200 รูปแบบใน Model Garden ได้อย่างอิสระ ปรัชญานี้ช่วยลดความกังวลเรื่องการผูกมัด (Vendor Lock-in) และทำให้องค์กรสามารถเลือกเครื่องมือที่ดีที่สุดสำหรับงานแต่ละประเภทได้จริง ๆ
ในด้านราคา Google ตั้งเป้าให้เทคโนโลยีนี้เข้าถึงได้ในวงกว้าง โดยกำหนดราคาไว้ที่ $21 ต่อผู้ใช้ต่อเดือนสำหรับ Business SKU และ $30 ต่อผู้ใช้ต่อเดือนสำหรับ Enterprise SKU ซึ่งสะท้อนความตั้งใจที่จะผลักดันให้เครื่องมือนี้กลายเป็นเครื่องมือมาตรฐานสำหรับพนักงานทุกคน
ดังนั้น การเปิดตัว Gemini Enterprise ในครั้งนี้ จึงมีความหมายมากกว่าการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่คือการประกาศวิสัยทัศน์ของ Google Cloud ที่เชื่อมั่นว่าคนทำงานทุกคนคือหัวใจสำคัญของการปฏิวัติด้วย AI และการมอบเครื่องมือที่ใช่ ซึ่งสามารถปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์และศักยภาพของพวกเขาออกมาได้อย่างเต็มที่ คือหนทางสู่ความสำเร็จที่แท้จริงของธุรกิจในยุคต่อไป
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Google แนะ 4 พรอมต์ภาษาไทย สำหรับสร้างรูปภาพบน Gemini
Google อัปเกรด Gemini ใหม่ เปลี่ยนรูปภาพเป็นวิดีโอแอนิเมชันความยาว 8 วินาทีได้
