Share on
×

Share

กระทิง Deep Tech vs หมู SME: ถอดรหัส 2 แนวคิดลงทุนสู่หมื่นล้าน

ณ เวที H.O.W. OPEN HOUSE ที่จัดขึ้นโดย House of Wisdom ภายใต้หัวข้อ “INSIDE THE BRAIN OF TECH TITAN AND THE MIND OF EXPONENTIAL INVESTOR” บทสนทนาอันแหลมคมได้เปิดฉากขึ้น เมื่อสองเพื่อนซี้แห่งวงการเทคโนโลยีไทยอย่าง “กระทิง-เรืองโรจน์ พูนผล” และ “หมู-ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์” ได้มาปะทะวิสัยทัศน์ผ่านการดำเนินรายการของ “โจ้-ธนา เธียรอัจฉริยะ” 

บทสนทนาครั้งนี้ได้เปิดเผยให้เห็นเส้นทางการลงทุนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งมุ่งหน้าสู่เวทีโลก ไล่ล่าการลงทุนใน Deep Tech ที่มีศักยภาพเปลี่ยนแปลงโลก ส่วนอีกคนหันกลับมาปักหลักในบ้านเกิด คลุกคลีกับธุรกิจ SME เพื่อปั้นแบรนด์ไทยให้ผงาด ทว่าเบื้องหลังสองแนวทางที่ดูต่างขั้วนี้ กลับซ่อนไว้ซึ่งปรัชญาท่าไม้ตายที่คมและบทเรียนความสำเร็จที่น่าขบคิด

ต่างสังเวียนต่างกลยุทธ์: Global Deep Tech ปะทะ Thai SME

ประเด็นที่น่าสนใจที่สุดคือการเลือก “สนามรบ” ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงของทั้งสองคน ซึ่งสะท้อนมุมมองต่อภูมิทัศน์การลงทุนในปัจจุบัน

ฟากหนึ่งคือคุณกระทิง ผู้มองข้ามพรมแดนสู่เวทีโลก เขาจับจ้องไปยังการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกที่เรียกว่า “Deep Tech” หรือเทคโนโลยีขั้นสูงที่ยากที่ใครจะตามทัน เพราะเชื่อมั่นว่าตลาดไทยนั้นมีขนาดจำกัดและยากจะค้นพบธุรกิจที่มีนวัตกรรมล้ำลึกได้อย่างแท้จริง

ในมุมมองของเขา ‘ประเทศไทยมันน่าจะเป็น Tech-Enabled Business มากกว่า’ กลยุทธ์ของเขาจึงชัดเจนว่าพุ่งเป้าไปที่ดีลระดับโลก ที่แม้จุดเริ่มต้นจะมีมูลค่าสูงลิ่ว แต่ก็แฝงไว้ด้วยศักยภาพการเติบโตที่ไร้ขีดจำกัด ไม่ว่าจะเป็นการร่วมลงทุนใน OpenAI ตั้งแต่ยุคบุกเบิก หรือการมองขาดในสตาร์ตอัพสายเฮลท์แคร์ที่รอเพียงการอนุมัติจาก FDA ก็พร้อมจะทะยานสู่สถานะยูนิคอร์นในทันที

ปรัชญาของเขาถูกขมวดไว้ในประโยคที่ยืมมาจากเพื่อนรักว่า “‘ดีลที่ดีคือดีลที่เกิด’ ถ้ารู้ว่าตัวนี้จะเป็น 50-60 บิลเลี่ยน อย่าไปสนใจ Entry Price เข้าได้คือโชคดีแล้ว” ดังนั้น หัวใจของการล่าดีลระดับโลกในแบบกระทิง คือ “การหาประตู” ให้เจอ และ “เลือกมุมที่ตัวเองหล่อที่สุด” เพื่อสร้างจุดขาย เช่น การใช้ความเชี่ยวชาญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นใบเบิกทาง หรือการเจาะตลาดเฉพาะทางอย่าง Cyber Security ในอิสราเอลผ่านเครือข่ายที่แข็งแกร่ง

ในขณะที่อีกฟากหนึ่ง คุณหมู-ณัฐวุฒิ กลับเลือกที่จะหันเลนส์กลับมายังแผ่นดินเกิด มองเห็นขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในการลงทุนกับ SME ไทย ที่กำลังโต้คลื่นการเปลี่ยนแปลงลูกใหญ่อย่าง “Modernization” โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจอาหาร เครื่องดื่ม และเครื่องสำอาง

“‘แบรนด์ประเทศไทยมันเริ่มเก่า’ คือคำอธิบายที่ชัดเจนที่สุดถึงโอกาสที่เกิดขึ้น” เขาชี้ว่าเทคโนโลยีในวันนี้ได้กลายเป็น Commodity ที่ใครก็เข้าถึงได้ แต่นวัตกรรมที่แท้จริงซึ่งสามารถพลิกเกมได้กลับอยู่ที่ “Business Model Innovation”เหมือนกรณีของสุกี้ตี๋น้อยที่สามารถท้าชิงบัลลังก์เจ้าตลาดเดิมได้สำเร็จ

สไตล์ของหมูนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิง เขาเลือกที่จะคลุกวงใน ลงพื้นที่ด้วยตนเอง ไปดูโรงงาน พูดคุยกับเจ้าของ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่มากกว่าแค่ตัวเลขในเอกสาร ปรัชญา “ดีลที่ดีคือดีลที่เกิด” ของเขาถูกตอกย้ำด้วยวิธีการที่ยืดหยุ่นและเข้าถึงใจผู้ประกอบการ เช่น การยอมควักเงินทุนให้เดินหน้าผลิตสินค้าก่อนที่จะสรุปเรื่อง Valuation เสียอีก ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้นักลงทุนหลายคนต้องส่ายหน้า แต่สำหรับเขา มันคือการสร้างความไว้วางใจเพื่อไปสู่ดีลที่ยิ่งใหญ่กว่า

ท่าไม้ตายเบื้องหลังความสำเร็จ: “วินัย” ปะทะ “จังหวะ”

เมื่อถอดรหัสลึกลงไปถึงแก่นความคิด จะพบว่าสิ่งที่ขับเคลื่อนนักลงทุนทั้งสองคนนั้น มาจากรากฐานชีวิตที่แตกต่างกันอย่างน่าสนใจ

สำหรับคุณกระทิง ‘วินัยเหล็ก’ ที่ถูกหลอมกรำขึ้นจากความจน คือขุมพลังสำคัญที่ขับเคลื่อนทุกย่างก้าวของชีวิต

เขาคือบทพิสูจน์ของปรัชญา “อึด ถึก ทน” ที่แท้จริง เขานิยามตัวเองว่าเป็น “คนที่โชคดีที่ไม่มีโชค” ซึ่งสะท้อนภาพชีวิตในวัยเด็กที่เติบโตมาในครอบครัวที่ยากจน กับบ้านขนาดเพียง 25 ตารางเมตรที่ต้องอาศัยกันถึง 20 ชีวิต ความลำบากนั้นไม่ได้บั่นทอน แต่กลับหล่อหลอมให้เขามี “ท่าไม้ตาย” เพียงหนึ่งเดียวที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง นั่นคือ “วินัยและความพยายามอย่างสุดขีด”

ความสำเร็จระดับเหรียญทองฟิสิกส์โอลิมปิกไม่ได้มาจากพรสวรรค์ แต่มาจากคำตอบที่ตรงไปตรงมาว่า “ทำโจทย์ให้ครบหนึ่งหมื่นข้อ” ผ่านวินัยของการตื่นนอนตั้งแต่ตีสี่ทุกวัน การก้าวข้ามกำแพงภาษาอังกฤษจนสามารถเข้าเรียนที่ Stanford ได้ ก็มาจาก “การฟังเทป BBC กว่า 40 ม้วนซ้ำแล้วซ้ำเล่า” วันละ 4-5 ชั่วโมงตลอด 3 ปีเต็ม หรือแม้กระทั่งในปัจจุบันที่ตารางงานรัดตัว เขายังคง “เรียนคอร์สออนไลน์ตั้งแต่ห้าทุ่มถึงแปดโมงเช้า” ก่อนจะเริ่มประชุมในวันใหม่

ปรัชญาชีวิตของเขาจึงถูกสรุปไว้อย่างคมคายว่า “ชีวิตมันโคตรง่ายเลยนะ หนึ่งคือลงมือทำไป ทำยาวเพียงพอ ไม่ตาย แล้วสุดท้ายเดี๋ยวมันก็หักศอกเอง” คุณกระทิง กล่าว 

หากปรัชญาของกระทิงคือการสร้างความสำเร็จผ่านวินัยที่สม่ำเสมอ สำหรับหมูแล้ว มันคือการมองหา ‘จังหวะ’ ที่ใช่ และกล้าที่จะ ‘All-in’ เมื่อโอกาสนั้นมาถึง

หากชีวิตของกระทิงคือการปีนเขาที่ต้องอาศัยความพยายามในทุกย่างก้าว ชีวิตของหมูกลับเปรียบได้กับการเป็นนักโต้คลื่นผู้มองหา “คลื่น” ลูกใหญ่ และพร้อมจะทะยานไปกับมันอย่างกล้าหาญ ปรัชญาของเขาคือ “การไม่เสี่ยง คือความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุด” (The biggest risk is not taking any risk)

เขาคือหนึ่งในผู้ที่สร้างความมั่งคั่งมหาศาลจากคลื่นปฏิวัติวงการอย่างคริปโทเคอร์เรนซี เพราะมองเห็น “จังหวะ” และกล้าที่จะเดิมพันครั้งใหญ่ โดยยึดหลักการที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก ชูวิทย์กมลวิศิษฎ์ ที่ว่า “เมื่อจังหวะมาแล้วต้องกล้าเสี่ยง ถ้ามีจังหวะแล้วคุณไม่ All-in คุณไม่มีทางเป็นแชมป์โลก”

แต่การ “All-in” ในแบบฉบับของเขา ไม่ใช่การทุ่มสุดตัวอย่างไร้สติในคราวเดียว หากแต่คือความเชื่อมั่นที่แปลงเป็นการลงทุนอย่างสม่ำเสมอและหนักแน่นผ่านหลักการ “ซื้อถัวเฉลี่ย” (DCA) ซึ่งครั้งหนึ่ง เขาเคยตัดสินใจซื้อบิตคอยน์วันละหนึ่งล้านบาทอย่างต่อเนื่อง และการตัดสินใจในวันนั้นก็ได้เปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล

จาก “สังเวียนอบต.” สู่เวทีโอลิมปิก

แม้จะเริ่มต้นจากเส้นทางที่แตกต่างกันราวกับอยู่คนละขั้ว แต่ท้ายที่สุดแล้ว วิสัยทัศน์ของนักลงทุนทั้งสองกลับบรรจบกัน ณ จุดหมายเดียวกัน นั่นคือความฝันที่อยากจะเห็น “แบรนด์ไทยผงาดไกลในเวทีโลก” อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ชื่อของ “กระทิงแดง” ได้สร้างประวัติศาสตร์ไว้เมื่อหลายทศวรรษก่อน

สำหรับคุณกระทิง เขาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความฝันนี้ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน คนไทยและบริษัทไทยสามารถก้าวไปยืนในระดับโลกได้อย่างสง่างาม รางวัลระดับเอเชียแปซิฟิกและระดับโลกที่ KBTG ได้รับ คือเครื่องยืนยันว่าเพดานที่มองไม่เห็นนั้นสามารถทลายลงได้ เขาคือผู้ที่ลงมือสร้างต้นแบบให้เห็นเป็นรูปธรรม และยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้าง “Global Brand from Thailand” ให้เกิดขึ้นจริง

ในขณะที่คุณหมู กำลังรับบทเป็นสถาปนิกผู้สร้าง “Silicon Valley เมืองไทย” ในบริบทของ SME นี่ไม่ใช่แค่การอัดฉีดเงินทุน แต่คือการรวบรวมผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่เก่งที่สุดเข้ามาอยู่ในระบบนิเวศเดียวกัน สร้างอีโคซิสเต็มที่เกื้อหนุนกัน เพื่อผนึกกำลังสร้าง “ทีมชาติไทย” ที่แข็งแกร่งพอจะออกไปแข่งขันในตลาดโลก แทนที่จะห้ำหั่นกันเองในสมรภูมิ “Red Ocean” ที่นับวันจะยิ่งเล็กลง

บทสนทนาของทั้งสองจึงเป็นมากกว่าเรื่องเล่าการลงทุน แต่มันคือเสียงสะท้อนที่ทรงพลังส่งไปถึงผู้ประกอบการและคนรุ่นใหม่ทุกคน ว่าไม่ว่าคุณจะเลือกเดินบนเส้นทางแห่งวินัยและความมุ่งมั่นแบบกระทิง หรือจะโต้คลื่นแห่งโอกาสอย่างกล้าหาญในแบบของหมู สิ่งสำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนกรอบความคิดและยกระดับเป้าหมายให้ไกลกว่าเดิม ดังที่คุณโจ้-ธนา ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “ประเทศไทยแข่งบอลอบต. เยอะเกินไปแล้ว ต้องไปโฟกัสระดับโอลิมปิก”

และความฝันนั้น … คือความฝันที่คุ้มค่าพอให้เราลุกขึ้นสู้ (is a dream worth fighting for)

×

Share

ผู้เขียน