Share on
×

Share

รัฐบาลดิจิทัลชู ‘แอปทางรัฐ’ เป็น Super App พร้อมวางรากฐานความมั่นคงข้อมูล

รัฐบาลดิจิทัลชู ‘แอปทางรัฐ’ เป็น Super App พร้อมวางรากฐานความมั่นคงข้อมูล

รัฐบาลประกาศเดินหน้าพลิกโฉมประเทศไทยสู่การเป็น “รัฐดิจิทัลชั้นนำ” (Top Digital State) อย่างเต็มรูปแบบ ชูธง 2 ยุทธศาสตร์หลักคู่ขนาน ทั้งการยกระดับ “บริการเพื่อประชาชน” ผ่าน Super App ที่ชื่อว่า “ทางรัฐ” ให้เป็นประตูบานเดียวที่รวมทุกบริการภาครัฐและเอกชนไว้ในมือ และการปฏิวัติ “โครงสร้างพื้นฐานหลังบ้าน” ด้วยเทคโนโลยีความมั่นคงขั้นสูงอย่าง Decentralization และ Blockchain โดยมี “เอสโตเนีย” เป็นต้นแบบ เพื่อสร้างเกราะป้องกันข้อมูลระดับชาติให้แข็งแกร่งและมีอธิปไตยอย่างแท้จริง

วิสัยทัศน์ดังกล่าวถูกประกาศอย่างชัดเจนบนเวที Digital Government Summit 2025 ซึ่งสะท้อนเป้าหมายของรัฐบาลที่มองว่าเทคโนโลยีดิจิทัลไม่ใช่แค่เครื่องมืออำนวยความสะดวก แต่คือ ความเชื่อมั่นและความมั่นคงใหม่ของชาติ ที่จะเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงานของระบบราชการไปตลอดกาล

จากแอปสารพัดสู่ ‘Super App ทางรัฐ’ ประตูเดียวเพื่อคนไทย

ปัญหาความซ้ำซ้อนและยุ่งยากในการติดต่อราชการ ที่ประชาชนต้องเผชิญมานานกำลังจะถึงจุดสิ้นสุด เมื่อรัฐบาลได้ประกาศนโยบายเร่งด่วนที่จะผลักดันแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้งานกว่า 33 ล้านคน ให้กลายเป็น Super App อย่างสมบูรณ์

ภาพจำของการเดินทางไปติดต่อราชการที่ต้องพกเอกสารเป็นปึก ๆ การกรอกข้อมูลส่วนตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าในแบบฟอร์มที่แตกต่างกัน และความสับสนจากการติดตั้งแอปพลิเคชันของหน่วยงานรัฐมากมาย กำลังจะกลายเป็นเพียงอดีต เมื่อรัฐบาลเตรียมปฏิวัติประสบการณ์ของประชาชนครั้งใหญ่ ผ่านการยกระดับแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ให้กลายเป็น “ประตูบานเดียว” (Single Portal) สู่ทุกบริการภาครัฐอย่างแท้จริง

ภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้อธิบายถึงพิมพ์เขียวแห่งความสะดวกสบายนี้ ซึ่งตั้งอยู่บน 3 เสาหลักสำคัญ ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าการบริการภาครัฐไปอย่างสิ้นเชิง

  1. รวมทุกอย่าง…จบในที่เดียว หัวใจของการเปลี่ยนแปลงคือการทำให้แอปฯ ทางรัฐ เป็นศูนย์กลางที่รวบรวมบริการจากทุกหน่วยงานกว่า 2,000 รายการ ไม่ว่าจะเป็นการขอสวัสดิการ ชำระภาษี หรือจดทะเบียนต่าง ๆ และจะขยายผลไปสู่บริการภาคเอกชนที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน เพื่อขจัดความวุ่นวายที่ประชาชนต้องเรียนรู้และติดตั้งหลายสิบแอปฯ พร้อมยุติวัฒนธรรมการเรียก “สำเนาเอกสาร” ที่เป็นปัญหารากลึกมาอย่างยาวนาน
  2. กรอกครั้งเดียว…ใช้ได้ทุกที่ เบื้องหลังความสะดวกสบายนี้ คือหลักการ “One Data, One Form” หรือ “กรอกข้อมูลครั้งเดียวจบ” ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ผ่านระบบเชื่อมโยงข้อมูลกลาง (Document Data Exchange – DDX) ทำให้ข้อมูลที่ประชาชนเคยให้ไว้กับหน่วยงานหนึ่ง สามารถถูกส่งต่อไปยังอีกหน่วยงานหนึ่งได้อย่างปลอดภัยและไร้รอยต่อ ประชาชนจึงไม่ต้องเสียเวลากรอกข้อมูลเดิมซ้ำ ๆ อีกต่อไป
  3. มั่นใจได้…ปลอดภัยสูงสุดและเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน รัฐบาลได้วางเกราะป้องกันข้อมูลด้วยนโยบาย “Cloud First Policy” ซึ่งเป็นมาตรฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เข้มแข็ง พร้อมพัฒนาระบบยืนยันตัวตนดิจิทัล (Digital ID) ที่รัดกุม เพื่อให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลส่วนบุคคลอันมีค่าของประชาชนจะถูกปกป้องอย่างดีที่สุด

ทั้งหมดนี้สะท้อนปรัชญาการทำงานแบบ “Digital by Design” ที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง (Customer-Centric) อย่างแท้จริง โดยรัฐบาลไม่ได้มองประชาชนเป็นเพียง “ผู้รับบริการ” อีกต่อไป แต่มอบสถานะ VIP ที่ทุกกระบวนการถูกออกแบบมาเพื่ออำนวยความสะดวก ลดขั้นตอน และสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการติดต่อกับภาครัฐ

‘ทางรัฐ-ThaID-Threads’ 3 แอปฟรีถูกที่ดาวน์โหลดบน App Store มากที่สุดในไทย

ปฏิวัติหลังบ้าน: วางรากฐานความมั่นคงด้วย ‘Decentralization’ และ ‘Blockchain’

ในขณะที่การปฏิวัติบริการภาครัฐเพื่อประชาชนกำลังเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ผ่าน Super App นั้น เบื้องหลังฉากที่มองไม่เห็น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กำลังวางโครงสร้างที่สำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะยั่งยืนและปลอดภัยอย่างแท้จริง

ไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีเอส กล่าวว่า การสร้างเส้นเลือดใหญ่ดิจิทัลของประเทศเปรียบเสมือนระบบประสาทส่วนกลางที่จะค้ำจุนรัฐบาลดิจิทัลให้มั่นคงและมีเสถียรภาพในระยะยาว โดยมีแผนการศึกษาและพัฒนาใน 4 มิติสำคัญ ดังนี้

สร้างเกราะป้องกันที่ไร้ศูนย์กลางหัวใจสำคัญคือการเปลี่ยนสถาปัตยกรรมของระบบจากเดิมที่รวมศูนย์และเสี่ยงต่อการล่มสลายหากถูกโจมตี ไปสู่ ระบบกระจายศูนย์ (Decentralized System) โดยมี “เอสโตเนีย” เป็นต้นแบบแห่งความสำเร็จ หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพ คือการเปลี่ยนจากเสาหลักต้นเดียวที่ถ้าพังจะล้มทั้งอาคาร ไปสู่โครงข่ายใยแมงมุมที่แม้บางเส้นจะขาด แต่โครงสร้างโดยรวมยังคงอยู่ได้ ทำให้บริการของรัฐมีความต่อเนื่องแม้ในภาวะวิกฤติ

ฝังความโปร่งใสไว้ในระบบเทคโนโลยี Blockchain จะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือสร้างความไว้วางใจ โดยทุกข้อมูลและการทำธุรกรรมของภาครัฐจะถูกบันทึกในรูปแบบที่แก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้ยาก ทำให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบย้อนกลับได้ และสร้างความน่าเชื่อถือซึ่งเป็นรากฐานที่ขาดไม่ได้ของบริการดิจิทัลยุคใหม่

ทวงคืนอธิปไตยทางข้อมูลเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลสำคัญของคนไทยยังคงเป็นของคนไทย รัฐบาลจะยกระดับระบบ Cloud ของภาครัฐให้มี อธิปไตยทางข้อมูล (Data Sovereignty) อย่างสมบูรณ์ ซึ่งหมายถึงการมีอิสระในการควบคุมและบริหารจัดการข้อมูลของประเทศด้วยตนเอง เพื่อรองรับเทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่าง AI และ IoT ได้อย่างมั่นคง

หน่วยเฝ้าระวังภัยไซเบอร์ 24 ชั่วโมง Thailand CERT จะถูกยกระดับให้เป็นศูนย์บัญชาการและหน่วยตอบโต้เร็วทางไซเบอร์แห่งชาติ ทำงานเชื่อมโยงทุกภาคส่วนเพื่อเฝ้าระวัง ตรวจจับ และรับมือกับภัยคุกคามที่เกิดขึ้นทุกวินาที เปรียบเสมือนระบบภูมิคุ้มกันของประเทศในโลกดิจิทัล

คุณไชยชนก กล่าวทิ้งท้ายอย่างตรงไปตรงมาว่า ภายใต้กรอบเวลาการทำงานที่จำกัด การจะสานต่อโครงการขนาดมหึมาเหล่านี้ให้เสร็จสิ้นในทันทีเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้น ภารกิจสำคัญที่สุดในวันนี้จึงไม่ใช่การสรางทุกอย่างให้เสร็จในพริบตา แต่คือการวางศิลาฤกษ์และกำหนดทิศทางที่ถูกต้อง เพื่อให้แน่ใจว่ารากฐานของรัฐบาลดิจิทัลไทยจะถูกสร้างขึ้นอย่างแข็งแรงและมั่นคงสำหรับอนาคตของประเทศในระยะยาว

มองไปข้างหน้า: จากผู้ตามสู่ผู้นำรัฐบาลดิจิทัล

หัวใจหลักของเวที Digital Government Summit 2025 คือการปรับเปลี่ยนแนวทางการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของไทย โดยจะก้าวข้ามการให้ความสำคัญเพียงมิติของความสะดวกสบาย ไปสู่การสร้างระบบที่ยึดโยงกับรากฐานด้านความโปร่งใส ความมั่นคง และความน่าเชื่อถือเป็นสำคัญ

เป้าหมายที่วางไว้คือการพัฒนาให้ได้มาตรฐานเทียบเคียงกับกลุ่มประเทศผู้นำด้านรัฐบาลดิจิทัล ตามเกณฑ์ชี้วัด E-Government Development Index ของสหประชาชาติ เช่น เดนมาร์ก เอสโตเนีย และสิงคโปร์ ทั้งหมดนี้เป็นไปเพื่อวางรากฐานให้ประเทศไทยสามารถเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจด้านการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลในอนาคต

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

อนาคตไทยยุค AI: ต้องเริ่มที่ ‘คน-ข้อมูล-แพลตฟอร์ม’

ดร.ธนชาติ ชี้ทางรอดไทยยุค AI: หยุดเป็นแค่ ‘ผู้ใช้’ ต้องเร่งสร้าง ‘ผู้สร้าง’

×

Share

ผู้เขียน