โลกการทำงานยุคปัจจุบันมาถึงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญที่คนทำงานกำลังเผชิญหน้ากับแรงกดดันมหาศาลจาก 3 ปัจจัยหลัก ทั้ง AI ที่เข้ามาแย่งงาน การเปลี่ยนแปลงที่รวดเรวจนปรับตัวไม่ทัน และรายได้จากงานประจำที่ไม่เพียงพออีกต่อไป ส่งผลให้สมการความสำเร็จแบบเดิมที่ว่า ทำงานหนักแล้วจะรวย ใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป นี่คือประเด็นสำคัญที่ Future Trends และ All Money ตอกย้ำในงานแถลงข่าว Work Life Festival 2025 พร้อมเสนอทางรอดว่า คนทำงานยุคใหม่ต้องเปลี่ยนวิธีคิดสู่การบริหารชีวิตแบบ Portfolio และทำงานอย่างชาญฉลาด (Work Smarter) มากกว่าทำงานหนักเพียงอย่างเดียว (Work Harder)
ธนโชติ วิสุทธิสมาน CEO บริษัท ไลฟ์ มี จำกัด และผู้ก่อตั้ง Future Trends กล่าวว่า คนทำงานในยุคปัจจุบันกำลังยืนอยู่บนทางแยกที่ลำบากที่สุด พวกเขารู้สึกว่าต้องทำงานหนักขึ้น แต่ความมั่นคงในชีวิตกลับสวนทางลดน้อยลง นั่นเพราะโลกกำลังถูกถาโถมด้วยคลื่นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากสามปัจจัยหลักพร้อมกัน ปัจจัยแรกคือเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่รุกคืบเข้ามาทำงานแทนมนุษย์มากขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ปัจจัยที่สองคือความเร็วของการเปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจและไลฟ์สไตล์ที่พุ่งทะยานราวกับจรวด จนทำให้หลายคนปรับตัวตามไม่ทัน และปัจจัยสุดท้ายคือรายได้จากงานประจำเพียงทางเดียวไม่สามารถการันตีความอยู่รอดได้อีกต่อไป
ท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อ วิกฤติเศรษฐกิจ และสงคราม ที่ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้นแต่เงินเดือนกลับโตไม่ทัน
จากความท้าทายที่ซับซ้อนเหล่านี้ กรอบความคิดในการทำงานแบบดั้งเดิมที่มุ่งเน้นการทำงานเชิงรับ หรือการไต่เต้าในองค์กรเพียงอย่างเดียวจึงใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป
คุณธนโชติชี้ว่าทางรอดคือการเปลี่ยนมุมมองไปสู่การทำงานเชิงรุก ที่มองหาโอกาสใหม่อยู่เสมอ และบริหารชีวิตการทำงานของตนเองเสมือนเป็น “พอร์ตโฟลิโอ” ที่ไม่ได้มีเพียงแค่งานประจำ แต่ยังต้องประกอบไปด้วยการลงทุน การสร้างรายได้เสริม หรือแม้กระทั่งการเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ เพราะในขณะที่ยุคก่อน ๆ ความขยันและการลงทุนอาจเพียงพอต่อความสำเร็จ แต่ในยุคนี้เราจำเป็นต้องบริหารจัดการชีวิตการทำงานให้หลากหลาย และเปลี่ยนจากการทำงานหนักเพียงอย่างเดียวมาเป็นการทำงานอย่างชาญฉลาดให้ได้
Work Life Festival 2025: สนามจริงที่รวมทุกโอกาสสู่ความสำเร็จของคนทำงาน
เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายที่ซับซ้อนของโลกการทำงานยุคใหม่ Future Trends และ All Money จึงได้ประกาศจัดงาน Work Life Festival 2025 ขึ้นในวันที่ 7-8 พฤศจิกายนนี้ โดยวางตำแหน่งให้เป็นระบบนิเวศที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับคนทำงานที่สำคัญคืองานนี้เปิดให้เข้าร่วมฟรี เพื่อทำลายกำแพงการเข้าถึงโอกาส ภายใต้เป้าหมายหลักในการปลดล็อกศักยภาพชีวิตให้ครบทั้ง 4 ด้านสำคัญคือ การงาน (Work) ความมั่งคั่ง (Wealth) สุขภาพ (Health) และ ความสุข (Fun)
โครงสร้างของงานถูกออกแบบมาอย่างครอบคลุม เริ่มจาก 2 เวทีหลักที่เปรียบเสมือนสองขุมพลังความรู้ เวที Skill Force Stage จะเป็นพื้นที่สำหรับอัปเดตทักษะที่จำเป็นต่อโลกอนาคตโดยตรงจากผู้เชี่ยวชาญแถวหน้า ขณะที่เวที Make Wealth Stage จะเน้นไปที่กลยุทธ์การสร้างรายได้และการลงทุนในยุคดิจิทัล เสริมทัพด้วย 4 โซนเอ็กซ์โปภาคปฏิบัติที่จับต้องได้ เริ่มจาก Jobs Zone ที่เปิดโอกาสให้คนหางานได้พบกับบริษัทชั้นนำกว่า 1,000 ตำแหน่ง Skill Expo ที่ให้คุณได้เลือกสรรเครื่องมือพัฒนาตัวเอง Tax & Investment Expo สำหรับการวางแผนการเงินอย่างมืออาชีพ และโซนสำคัญอย่าง Work Syndrome ที่พร้อมมอบโซลูชันในการดูแลสุขภาพกายและใจเพื่อการทำงานที่ยั่งยืน ทั้งหมดนี้จะถูกขับเคลื่อนโดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิและผู้สร้างแรงบันดาลใจกว่า 50 ชีวิต เพื่อให้งานนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่สร้างการเติบโตให้กับผู้เข้าร่วมทุกคนอย่างแท้จริง
เจาะลึก 3 แกนสำคัญ: พิมพ์เขียวความอยู่รอดในโลกดิจิทัล

ภายในงานแถลงข่าว ยังได้มีการเจาะลึกถึง 3 ประเด็นสำคัญที่เป็นเสมือนหัวใจของการเติบโตในยุคนี้ ผ่านการเสวนาที่เข้มข้น ประเด็นแรกเริ่มต้นที่ ทักษะการปรับตัว (Adaptability) โดย แทนรัก เชียงทอง ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด ไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์ (BINANCE TH) เน้นย้ำว่าโลกปัจจุบันได้ก้าวเข้าสู่ยุคปฏิวัติข้อมูลข่าวสารที่เทคโนโลยีอย่าง AI และ Blockchain เข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกภาคส่วนอย่างรวดเร็วและรุนแรง
คำถามสำคัญจึงไม่ใช่การตั้งรับหรือต่อต้าน แต่คือการจะอยู่ร่วมและคว้าโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงนั้นได้อย่างไร เธอมองว่า AI ไม่ใช่ผู้ร้าย แต่เป็นเครื่องมือที่ทำให้เราทำงานได้ชาญฉลาดขึ้น ในขณะที่ Blockchain และ Cryptocurrency ก็ได้เปิดประตูสู่โอกาสในการสร้างความมั่งคั่งในรูปแบบใหม่ ๆ ซึ่งการจะคว้าโอกาสนี้ไว้ได้ คนทำงานจำเป็นต้องมี Growth Mindset ที่พร้อมจะเรียนรู้สิ่งใหม่อยู่เสมอ ควบคู่ไปกับวินัยในการศึกษาข้อมูลด้วยตนเอง หรือ DYOR (Do Your Own Research) เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับการลงทุนในโลกที่เต็มไปด้วยความผันผวน
จากมุมมองด้านการปรับตัวสู่โลกภายนอก เวทีเสวนาได้ชวนกลับมาสำรวจโลกภายในผ่านประเด็น สุขภาพ (Health) โดย มรุพงษ์ กิจกลิกร กรรมการผู้จัดการ Aestheta Clinic Wellness and Aesthetic ชี้ว่าแนวคิด “Work-Life Balance” ที่พยายามแยกขาดเรื่องงานกับชีวิตอาจใช้ไม่ได้จริงอีกต่อไป แต่ต้องเปลี่ยนเป็น “Work-Life Integration” ที่ผสานทั้งสองสิ่งให้ดำเนินไปร่วมกันได้อย่างมีความสุข โดยมีสุขภาพเป็นแกนกลางที่สำคัญที่สุด
หัวใจของแนวคิดนี้คือการตระหนักว่าสุขภาพ คือสินทรัพย์ (Health is Asset) ที่มีค่าที่สุด เพราะการทำงานหนักจนสุขภาพพัง ก็ไม่ต่างอะไรกับการนำเงินเก็บทั้งชีวิตไปใช้กับการรักษาพยาบาลในบั้นปลาย ดังนั้น การลงทุนกับสุขภาพผ่าน Longevity Lifestyle ซึ่งครอบคลุมทั้งการกิน การนอน การออกกำลังกาย การจัดการความเครียด การเข้าสังคม และการหลีกเลี่ยงสารเสพติด จึงเป็นการลงทุนที่สำคัญที่สุดเพื่อการทำงานที่ยั่งยืน
และเพื่อเติมเต็มภาพให้สมบูรณ์ ประเด็นสุดท้ายได้ตอกย้ำถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดนั่นคือ การเรียนรู้ (Learning) โอชวิน จิรโสตติกุล CEO & Founder of FutureSkill กล่าวว่า “ทักษะคือพลัง” โดยเฉพาะในยุคที่ครึ่งชีวิตของทักษะ (Skill Half-Life) สั้นลงเหลือไม่ถึง 5 ปี และอาจเหลือเพียง 2.5 ปีในสายเทคโนโลยี ทำให้การเรียนรู้ตลอดชีวิตไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นหนทางรอดเดียว
โดยทักษะแห่งอนาคตที่สำคัญในปี 2030 สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มทักษะการคิดขั้นสูง เช่น การคิดเชิงวิเคราะห์และสร้างสรรค์ กลุ่มทักษะด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลอย่าง AI และ Data และกลุ่มทักษะด้านสังคมและภาวะผู้นำ เช่น การสร้างแรงบันดาลใจและบริหารจัดการคน
พร้อมกันนี้เขายังได้มอบเทคนิคการเรียนรู้ให้เร็วขึ้นผ่าน 3 ขั้นตอน คือการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน การสำรวจเพื่อรู้ช่องว่างทักษะของตนเอง และการเร่งสปีดการเรียนรู้ผ่านการมีพี่เลี้ยง (Mentor) การใช้ AI เป็นผู้ช่วย และการนำความรู้ไปใช้จริง
ดังนั้น Work Life Festival 2025 จึงเป็นกิจกรรมที่มุ่งนำเสนอองค์ความรู้และเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับคนทำงาน เพื่อใช้ในการปรับตัวและวางแผนอนาคต ท่ามกลางสภาพแวดล้อมการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
จงเป็นเช่นลุงเสรี: นิยามความมั่งคั่งใหม่ ที่เงินซื้อไม่ได้
Gamescom Asia x TGS 2025 ปักหมุดกรุงเทพฯ ฮับเกมแห่งใหม่
จากช่างไฟธรรมดา สู่วิทยากร: ความสำเร็จของชุมชนช่างไฟชไนเดอร์




