Share on
×

Share

ถอดรหัสความสุขวัย 40+ ด้วยพลังมหัศจรรย์ของคำว่า ‘ขอบคุณ’

ถอดรหัสความสุขวัย 40+ ด้วยพลังมหัศจรรย์ของคำว่า ‘ขอบคุณ’

ในยุคที่ผู้คนต่างแสวงหาความสุขและความสำเร็จในชีวิต งานวิจัยระดับโลกจากฮาร์วาร์ดที่ศึกษาชีวิตผู้คนยาวนานกว่า 85 ปี ได้ข้อสรุปที่เรียบง่ายอย่างน่าทึ่งว่า ความสัมพันธ์ที่ดี (Good Relationships) คือปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้มนุษย์มีความสุขและสุขภาพดีในบั้นปลายชีวิต แต่คำถามสำคัญที่ตามมาคือ เราจะสร้างและรักษาความสัมพันธ์ที่ดีเหล่านั้นไว้ได้อย่างไร?

ผศ.ดร.กฤตินี เพิ่มทรัพย์ นักเขียนและวิทยากรด้านการทำธุรกิจแบบญี่ปุ่น ได้ค้นพบคำตอบของคำถามนี้ ไม่ใช่จากทฤษฎีที่ซับซ้อน แต่จากคำสั้น ๆ เพียงคำเดียวที่ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ นั่นคือคำว่า “ขอบคุณ”

ประเด็นนี้กลายเป็นหัวใจสำคัญที่ ผศ.ดร.กฤตินี นำมาถ่ายทอดในหัวข้อ “วางใจอย่างไรให้มีสุข” ซึ่งตกผลึกจากประสบการณ์ส่วนตัวในช่วงวัย 40 ที่ต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพของคนในครอบครัว และการค้นหาความหมายของการมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข

จุดเปลี่ยนจากชมรมสมองใส สู่การค้นพบนักขอบคุณ

ผศ.ดร.กฤตินี เล่าถึงจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เธอเห็นพลังของคำขอบคุณอย่างเป็นรูปธรรม เมื่อครั้งที่ได้ไปบรรยายให้ ชมรมสมองใสใจสบาย ซึ่งเป็นกลุ่มผู้สูงวัยอายุ 60 ปีขึ้นไป เธอสังเกตเห็นว่าผู้สูงอายุในชมรมแบ่งออกเป็นสองกลุ่มชัดเจน กลุ่มหนึ่งมีสีหน้านิ่งเฉย และอีกกลุ่มหนึ่งดูสดใส เปี่ยมด้วยพลังและมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด

ความลับของกลุ่มหลังถูกเปิดเผยในช่วงพูดคุยท้ายการบรรยาย ผศ.ดร.กฤตินีพบว่า ผู้สูงอายุที่ดูมีความสุขเหล่านี้มีคุณสมบัติร่วมกันคือการเป็น นักขอบคุณ พวกเขากล่าวขอบคุณในสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ รอบตัวอย่างเป็นธรรมชาติ

คุณยายท่านหนึ่งเข้ามาขอบคุณที่การบรรยายช่วยยืนยันว่าสิ่งที่ท่านทำอยู่ทุกวันคือการขอบคุณลูกที่ดูแลเอาใจใส่ เป็นสิ่งที่ถูกต้องและสร้างความสุข

คุณครูเกษียณท่านหนึ่งเล่าว่า ท่านขอบคุณกำแพงที่ให้ร่มเงา ขอบคุณที่จอดรถ และไม่เคยคิดว่าสิ่งที่ทำเป็นเรื่องแปลก จนกระทั่งได้ฟังแนวคิดแบบญี่ปุ่น

ภาพเหล่านี้ทำให้ ผศ.ดร.กฤตินี ฉุกคิดและเชื่อมโยงกลับไปที่งานวิจัยของฮาร์วาร์ดว่า บางทีเครื่องมือที่ง่ายและทรงพลังที่สุดในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี อาจเริ่มต้นจากคำขอบคุณที่จริงใจนี่เอง

จากบทเรียนราคาแพง สู่พลังที่เปลี่ยนความสัมพันธ์ในครอบครัว

ผศ.ดร.กฤตินี ได้ย้อนกลับมามองประสบการณ์ของตัวเองและยอมรับว่าเคยทำลายน้ำใจคนใกล้ตัวโดยไม่รู้ตัว เธอเล่าถึงเหตุการณ์ที่สามีเพิ่งซื้อเครื่องซักผ้าใหม่และทดลองซักผ้าให้ด้วยความตื่นเต้น แต่แทนที่เธอจะขอบคุณ เธอกลับตำหนิว่า “ทำไมถึงซักเสื้อสีกับเสื้อขาวปนกัน” วินาทีนั้น รอยยิ้มของสามีก็ค่อย ๆ หายไป กลายเป็นบทเรียนราคาแพงที่ทำให้เธอตระหนักว่า การละเลยคำขอบคุณเพียงครั้งเดียว อาจสร้างรอยร้าวในความสัมพันธ์ได้

ในทางกลับกัน เธอได้เห็นพลังด้านบวกของคำขอบคุณจากคุณแม่ของเธอเอง ซึ่งหลังจากได้เรียนรู้เรื่องนี้ ก็เริ่มเปลี่ยนจากการเป็นคนชอบสั่ง มาเป็นการเอ่ยคำขอบคุณมากขึ้น ข้อความสั้น ๆ จากแม่ที่พิมพ์มาว่า “ขอบใจมากนะที่พาแม่เที่ยว” หลังจากกลับจากทริปญี่ปุ่น ทำให้หัวใจของเธอพองโตหรือที่เรียกว่า ใจฟู จนอยากจะพาแม่ไปเที่ยวอีกในทันที

บทเรียนนี้ชี้ให้เห็นว่า คำขอบคุณไม่ใช่แค่คำพูดแสดงมารยาท แต่มันคือเครื่องมือที่สามารถเปลี่ยนพลวัตในครอบครัว สร้างกำลังใจ และทำให้ผู้รับรู้สึกถึงคุณค่า จนอยากจะทำสิ่งดี ๆ ตอบกลับไปอีกไม่รู้จบ

เมื่อคำขอบคุณกลายเป็นกลยุทธ์มัดใจลูกค้า

พลังของคำขอบคุณไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในบ้านเท่านั้น แต่ยังสามารถนำมาใช้ในการทำงานและธุรกิจได้อย่างทรงพลัง ผศ.ดร.กฤตินี ได้ยกตัวอย่างที่น่าสนใจหลายกรณีที่แสดงให้เห็นว่า การทำงานด้วยความรู้สึกขอบคุณสามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างมหาศาล

วัฒนธรรมห้างไดมารูในญี่ปุ่น พนักงานทุกคนต้องโค้งขอบคุณลูกค้าที่เดินเข้าห้างในตอน 10 โมงเช้า แม้ลูกค้าจะยังไม่ได้ซื้อของเลยก็ตาม เจ้านายของเธอให้เหตุผลว่า แค่ลูกค้าเลือกมาที่ห้างเราก็น่าขอบคุณแล้ว เป็นการสร้างความรู้สึกที่ดีตั้งแต่แรกเห็น

ร้านกรีกโยเกิร์ตเล็ก ๆ  เจ้าของร้านเขียนโน้ตด้วยลายมือแนบมากับสินค้าว่าขอบคุณที่เอ็นดูร้านเล็ก ๆ นะคะ พร้อมประโยคปิดท้ายที่น่ารักว่าฝากติชมหรือรีวิวให้แม่ค้าหน่อยนะคะ ซึ่งทำให้ลูกค้ายินดีรีวิว 5 ดาวให้ด้วยความเต็มใจ

ไรเดอร์เดลิเวอรี่ แทนที่จะส่งรูปอาหารรูปเดียว ไรเดอร์ท่านหนึ่งส่งรูปหลายมุมพร้อมข้อความขอบคุณมากนะคะ ซึ่งความใส่ใจเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ ทำให้ลูกค้าเต็มใจกดให้ทิปและให้คะแนน 5 ดาวโดยไม่ต้องร้องขอ

ตัวอย่างเหล่านี้ตอกย้ำว่า คำขอบคุณคือวงจรเชิงบวก (Positive Loop) ที่สร้างความประทับใจ เปลี่ยนลูกค้าให้กลายเป็นมิตร และทำให้ผู้ทำงานเองก็ได้เห็นคุณค่าในงานของตนเองมากขึ้น

ขั้นสูงสุดของการขอบคุณ: ขอบคุณแม้ในฐานะผู้ให้

ผศ.ดร.กฤตินี นำมาแบ่งปัน คือแนวคิดการขอบคุณขั้นสูง นั่นคือ การขอบคุณแม้ว่าเราจะเป็นผู้ให้ ซึ่งเป็นมุมมองที่คนส่วนใหญ่มักนึกไม่ถึง

เธอได้เล่าเรื่องราวสุดประทับใจจากทวิตเตอร์ของหญิงสาวชาวญี่ปุ่นที่โพสต์ภาพข้าวกล่อง (เบนโตะ) ที่คุณพ่อทำให้เธอทานทุกวันตลอด 3 ปีในชั้นมัธยมปลาย พร้อมจดหมายจากพ่อที่มีใจความสำคัญว่า  “ขอบคุณที่ยอมกินเบนโตะของพ่อตลอด 3 ปีนะ ตลอด 3 ปีนี้มี่จังไม่เคยบ่นไม่เคยตำหนิพ่อ และพยายามทานเบนโตะจนหมดทุกครั้ง บางครั้งเบนโตะก็บูดบ้าง รสชาติไม่อร่อยบ้าง หรือหน้าตาไม่สวยจนหนูโดนเพื่อนแซวบ้าง พ่อขอโทษนะ แต่พ่อพยายามทำสุดฝีมือเลย ต่อจากนี้หนูคงไปทานข้าวที่มหาวิทยาลัยแล้ว ไว้กลับมากินเบนโตะที่พ่อทำบ้างนะ ขอบคุณสำหรับ 3 ปีที่ผ่านมาจ้ะ”

เรื่องราวนี้สะท้อนหัวใจของการเป็นผู้ให้ที่แท้จริง แทนที่คุณพ่อจะคาดหวังให้ลูกสาวขอบคุณที่ตนเองตื่นมาทำอาหารให้ทุกเช้า เขากลับเลือกที่จะขอบคุณลูกสาวที่ยอมรับความพยายามของเขา การขอบคุณในฐานะผู้ให้เช่นนี้ คือการละวางความคาดหวัง และมองเห็นคุณค่าในการกระทำของอีกฝ่ายอย่างแท้จริง ซึ่งสร้างความผูกพันที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม

ท้ายที่สุด ผศ.ดร.กฤตินี ได้ฝากข้อคิดไว้ว่า คำขอบคุณคือคำเล็ก ๆ ที่สามารถทำให้จิตใจเราพองฟู เสริมสร้างความสัมพันธ์ให้แข็งแกร่ง และช่วยให้เรามองเห็นคุณค่าของงาน จนถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่มากขึ้น เป็นเครื่องมือเรียบง่ายที่เราทุกคนสามารถเริ่มต้นใช้ได้ทันที เพื่อสร้างความสุขที่ยั่งยืนให้กับตัวเองและคนรอบข้าง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

เปิดฉาก ‘Thailand Space Expo 2025’ โชว์ศักยภาพไทย สู่ศูนย์กลางเทคโนโลยีอวกาศของภูมิภาค

วิกฤติ ‘The แบก’ สัญญาณเตือนวัย 40+ กับอนาคตสังคมสูงวัยไทย

อนาคตการศึกษา: พลิกบทบาทครู สู่ Facilitator จับคู่ AI สร้างห้องเรียนยุคใหม่

×

Share

ผู้เขียน